“บาดเจ็บหรือไม่”
“ไม่ ข้าไม่เป็นอะไร” หลี่เยี่ยนถิงตอบเสียงเบา สายตาหวานปนเศร้ามองไปยังหัวไหล่ของจางซงหยวน เสื้อของเขาขาดเท่านั้นไม่พอยังมีเลือดไหลออกมาอีกด้วย นางมองแล้วก็นึกหวาดเสียวเมื่อเห็นได้ว่าเลือดกำลังไหลซึมออกมาทุกขณะแล้วด้วย แล้วก็ต้องสะดุ้งตกใจเมื่อเสียงที่หน้าประตูดังขึ้นเบาๆ อย่างเกรงใจ
“นายท่านขอรับ”
จางซงหยวนไม่ได้สนใจบาดแผลของเขาเลยสักนิด ตาจับจ้องมองมาที่นางนิ่ง เมื่อมีเสียงเรียกที่ด้านนอกเขาก็ขานรับอย่างวางอำนาจอย่างเดิม
“เข้ามา”
บ่าวรับใช้ร่างสูงใหญ่ผิดจากชาวบ้านธรรมดาทั่วไปนำน้ำต้มสุกมาวางที่โต๊ะในห้อง อีกเดี๋ยวก็นำผ้าสะอาดมาวางให้อีกถาด
จางซงหยวนโบกมือไล่ให้ไปเมื่อทางนั้นมองมายังเลือดบนไหล่ที่ยังไหลไม่ยอมหยุด
เมื่อประตูห้องปิดลงจางซงหยวนลงมือทำแผลด้วยตัวของเขาเอง นางมองแล้วเม้มปากตัวเองแน่นจนเจ็บไปทั้งริมฝีปาก รู้สึกได้ว่าตนนั้นช่างแล้งน้ำใจนัก หากเข้าไปทำแผลให้ก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรดี เกรงเขาพูดจาเอาเปรียบนางอีก เมื่อทนกับความคิดว่าตนนั้นไร้ซึ่งคุณธรรมไม่ไหวก็หันหน้าหนีไปยังทางอื่น หลี่เยี่ยนถิงมองของรอบห้องนั้นแทนเพื่อข่มความรู้สึกผิดต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ทันใดนั้นเองเสียงฟ้าคำรามก็ดังครืนขึ้นเบาๆ ก่อนจะตามมาด้วยเสียงสายฟ้าฟาดตามลงมา
หลี่เยี่ยนถิงยกมือปิดหูของตนเองพร้อมกับเซถอยหลังไปจนติดอยู่ในมุมห้อง นางย่อตัวลงที่ตรงนั้นโดยที่มือยังคงปิดหูแน่นเพื่อไม่ให้ได้ยินเสียงฟ้าคำราม แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรนางมากนัก เพราะเสียงคำรามกลับดังมากขึ้น ดังขึ้นอีกราวกับฟ้ากำลังกลั่นแกล้งนางอยู่
นางกลัวเหลือเกิน เมื่อจำความได้นางก็อยู่ตัวคนเดียวในตำหนักร้าง สาวใช้ใบ้ผู้นั้นเป็นเหมือนวิญญาณและทำหน้าที่ให้หมดไปเพียงวันหนึ่งเท่านั้น
โตมากับความว้าเหว่ เดียวดายและไร้ซึ่งศักดิ์ศรีของราชนิกุล ครั้งที่ทำให้นางเกือบเป็นบ้านั่นนางจำได้ว่านางไปเดินเที่ยวเล่นและขากลับตำหนักนั้นฝนก็กระหน่ำตกลงมาอย่างหนัก นางวิ่งตากฝนแล้วก็หลงทางหาทางกลับไม่เจอ จนสายฟ้าฟาดลงไปยังที่ไกลๆ พร้อมเสียงคำรามดังลั่น นางกลัวมาก กลัวจนร้องไห้ออกมามันปนไปกับนำฝนจนแยกกันไม่ออก นางหาทางกลับตำหนักไม่เจอเสียทีเดินหลงไปทางไหนก็มีแต่ผู้คนเมินหน้าหนี อยู่แบบนั้นทั้งคืนสุดท้ายนางก็ลับมายังตำหนักร้างของตนได้อย่างทุลักทุเล แล้วก็นอนป่วยซมอยู่เป็นนาน จากนั้นนางกลัวทั้งฝนทั้งฟ้าเสมอมา
เสียงฟ้าร้องคำรามดังขึ้นอีกครั้ง ครานี้มันดังมากกว่าครั้งก่อน นางงอตัวลงจนเหมือนก้อนกลมเพียงลมหายใจเข้าเดียว แรงที่มากกว่านางหลายพันเท่าก็ดึงเอาตัวของนางออกจากซอกมุมตรงนั้น เอาเข้าไปไว้ในซอกอกของเขาแทน
มือของนางถูกดึงออก ก่อนที่มือหนาใหญ่ของจางซงหยวนจะยกขึ้นแนบไปกับใบหูทั้งสองข้างของนางแทน เพื่อไม่ให้ได้ยินเสียงฟ้าชัดเจน
สายตาสองคู่สบกัน ใบหน้าของจางซงหยวนไม่ชัดเจนนักอาจเพราะมีน้ำตาคลอเต็มหน่วยตาของนางอยู่นั่นเอง หลี่เยี่ยนถิงไม่ได้ยินเสียงฟ้าคำรามอีกนั่นก็เพราะมือหนาใหญ่ของจางซงหยวนช่วยปิดเสียงที่นางกลัวนั้นเอาไว้จนแนบชิด
เนื้อตัวสั่นเทาของนางที่สั่นอยู่ตลอดเวลาค่อยๆ หยุดสั่นลง นั่นก็เพราะไม่มีเสียงมาคอยทำให้นางกลัวอีกต่อไปแล้ว ไออุ่นจากฝ่ามือของเขาไหลวนที่ใบหูลามมาจนถึงแก้มนวลของนาง
“ขนาดนี้แล้ว ไม่เห็นว่าจะมีเรื่องใดไม่เหมาะสม”
เสียงทุ้มต่ำพูดโดยไม่ได้มีแววหยอกล้อเลยแม้แต่เพียงนิดเดียว นางอยากโกรธเขานักแต่ก็เกรงว่าจะได้รับคมดาบที่เอวของเขาเป็นของตอบแทนกลับมา
“หยุดเอาเปรียบเราได้แล้วท่านแม่ทัพ” จางซงหยวนขยับมือของเขาออกจางใบหูของนางเมื่อเห็นว่าฟ้าสงบลงบ้าแล้ว สายตาดุดันแววตาล้ำลึกของเขามองนางไม่วางตาขณะพูดขึ้นว่า “พี่ซีฮัน”
หลี่เยี่ยนถิงหายกลัวเสียงฟ้าคำรามนั้นแล้ว นางขมวดคิ้วด้วยความสงสัยว่าที่จางซงหยวนพูดนั้นหมายถึงสิ่งใด ตาจ้องมองกันเมื่อไม่ได้ยินคำพูดใดหลุดออกจากปากของเขาอีกนางจึงถามให้หายสงสัย
“ท่านหมายถึงสิ่งใด”
“ไม่มีคำเรียกว่า ‘ท่านแม่ทัพ’ อีกแล้ว ต่อไปนี้ ต้องเรียกว่า ‘พี่ซีฮัน’ ”
“แล้วเหตุใดเราต้องเรียกเช่นนั้นด้วย”
“กลับเข้าวังแล้ว ก็จะได้คำตอบเองเยี่ยนถิง”
“นี่ นี่ท่าน..”
“กล้าเรียกชื่อโดยไม่ต้องมีคำว่าองค์หญิงอย่างนั้นหรือ” จางซงหยวนถามพร้อมด้วยมุมปากโค้งขึ้นเล็กน้อย แววตาดุดันของท่านแม่ทัพเต้นเป็นประกายขบขันกับการวางอำนาจของคนตรงหน้า
“ใช่ ท่านกล้าเรียกแค่ชื่อขององค์หญิงได้อย่างไร”
“การจะเอ่ยชื่อคนสักคน เหตุใดต้องอาศัยเพียงความกล้าหรือไม่กล้าด้วย”
ได้ยินคำพูดโอ่ตน จองหองพองขนก็ให้นึกไม่พอใจขึ้นมาอีกครั้ง
“คงคิดว่าเป็นคนโปรดขององค์ฮ่องเต้”
หากต้องเอ่ยถึงบิดาของตนเองกับผู้อื่นโยเฉพาะกับคนโปรดของท่าน นางมิกล้าเรียกอย่างสนิทสนมสักครั้งว่า ‘เสด็จพ่อ’
“พี่ซีฮันไม่เคยคิดเช่นนั้น การจะเรียกชื่อกันอย่างสนิทสนมได้นั้นนั่นย่อมหมายความว่าเราสองคนสนิทกันมากพอ คนอื่นมาข้องเกี่ยวอะไรด้วย”
“เราจะสนิทสนมกันอย่างที่ท่านพูดได้อย่าง…” นางยังแย้งไม่ทันจบความดีเสียงคำรามลั่นของฟ้าก็ดังก้องขึ้น หลี่เยี่ยนถิงยกไหล่ค้อมตัวลง ยกมือกอดตัวเองเอาไว้แน่น ก่อนที่อ้อมกอดหนาใหญ่ของจางซงหยวนจะดึงเอานางเข้าไปกอดทับเอาไว้
“นี่อย่างไรที่เรียกว่าสนิทสนมกันมากพอ”
นางไม่มีปากไปเถียงอะไรกับเขาอีก ได้แต่ตัวสั่นอยู่ในอ้อมกอดของเขา ปล่อยในไออุ่นแทรกผ่านผ้าเปียกชื้นออกมาโอบรัดนางเอาไว้ทั้งตัว “ยังมีเรื่องให้เราต้องพูดคุยกัน”
“ไม่ เราไม่อยากพูดคุยอะไรตอนนี้”
หลี่เยี่ยนถิงเถียงแทรกเสียงของเขา พอฟ้าคำรามดังขึ้นมาอีกนางก็ห่อตัวลง เพียงหวังจะให้มันช่วยให้นางหายกลัวบ้าง แต่กลับไร้วี่แววเหล่านั้น
นางถูกเขากอดอยู่เป็นนาน แล้วก็ไม่คิดจะให้เขาคลายอ้อมแขนออก ไม่คิดจะดิ้นรนจากอ้อมกอดของจางซงหยวน นางอยู่ในอ้อมกอดของท่านแม่ทัพจางเช่นนั้นจนหลับไป
ตื่นมาอีกครั้งก็พบว่าตนนอนอยู่บนเตียงในห้องพักของโรงเตี๊ยมนั้น ไม่นานประตูห้องเปิดออก จางซงหยวนเดินนำหน้าบ่าวรับใช้ที่ยกน้ำมาอ่างใหญ่และอาหารสำหรับมื้อเช้าก็วางลงที่โต๊ะอีกฟากของห้อง
นางยกผ้าขึ้นปิดคลุมตนเอง
“ลุกขึ้นล้างหน้าล้างตาแล้วกินอะไรให้อิ่ม เราจะได้กลับกัน”
หลี่เยี่ยนถิงไม่รอให้เขาพูดอะไรอีก ทันทีที่คนออกไปจนหมดนางลุกไปล้างหน้าของนางแล้วก็ตรงไปที่โต๊ะที่จางซงหยวนนั่งรออยู่ กินอาหารด้วยกันเงียบๆ แล้วก็ออกไปยังด้านหลังของโรงเตี๊ยม