องค์หญิงหลี่เยี่ยนถิงขึ้นมาจึงสั่งการให้บ่าวคนสนิมตามหลังไปโดยไว ด้วยกลัวว่านางจะกลับไปทันที่เมฆฝนนั่นจะโปรยปรายลงมา
เส้นทางทั้งหมดของเมืองนี้ทั้งเมืองจางซงหยวนรู้จักอย่างดี ปิดตาเดินหรือขี่ม้าไป เขาไม่มีทางพลาดเป็นอันขาด
ร่างเล็กเดินมาได้ไกลโข ทันทีที่ได้ยินเสียงตามมาที่ด้านหลังนางรีบก้าวขาให้ไวขึ้นไปอีก
“จงใจเลี่ยงเส้นทางเดิน ตั้งใจหลบผู้ใดหรือ”
เสียงถามดังมาจากหลังม้าไม่ได้ทำให้เยี่ยนถิงตกใจเท่าใดนัก ตอนที่ถูกเขาดึงตัวขึ้นไปบนหลังม้าหัวใจของนางเต้นไวกว่านี้เสียอีก เท่านี้นับว่าน้อยนิดนัก
เมื่อไม่ได้คำตอบอย่างที่คาดการณ์ไว้ ม้าสีดำตัวใหญ่ก็ถูกกระตุ้นให้เดินไวมากขึ้นแล้วเข้าไปขวางตรงเบื้องหน้าขององค์หญิงหลี่เยี่ยนถิงทันที
หลี่เยี่ยนถิงชะงักแล้วถอยหลังไปหลายก้าวก่อนเอ่ยถาม
“ข้าขวางทางเดินท่านแม่ทัพหรือไม่”
ไม่มีเสียงตอบจากแม่ทัพใหญ่ ม้าถูกกระตุ้นให้เดินมาใกล้นางมากขึ้นก่อนจะพบว่าตัวนางถูกเขาดึงขึ้นไปนั่งที่บนหลังม้าด้วยกันแล้ว
หลี่เยี่ยนถิงตัวแข็งทื่อ ไม่กล้าร้องโวย ไม่กล้าดิ้นรน หรือหากจะพูดให้ถูกนางอาจกลัว หรือไม่ก็ตกใจมากจนตัวแข็งไปหมด จนปากร้องโวยวายไม่ออกต่างหาก
เมื่อตั้งสติได้ก็พบว่าม้าเดินมาเป็นระยะทางไกลพอสมควรแล้ว หลี่เยี่ยนถิงเม้มปากน้อยๆ ค่อยเปิดปากพูด
“ปล่อยข้าลงจากหลังม้าได้หรือไม่”
“ไม่ได้” จางซงหยวนตอบแล้วบังคับม้าให้ไปยังอีกเส้นทาง
“นี่ นี่ท่าน”
“ฟ้าครึ้มมาทางนั้นแล้ว ไม่นานฝนคงตกหนัก หาที่หลบฝนก่อน หรือไม่ก็...”
หลี่เยี่ยนถิงพึมพำเบา “หวังว่าจะไม่ใช่จวนของท่านอีกนะ”
แววตาของจางซงหยวนเป็นประกายวาววับขึ้นเมื่อได้ยินตัวเลือกแบบที่เขาไล่ต้อนให้นางเป็นผู้เอ่ยมันออกมาเอง
“เช่นนั้นก็ไปยังจวนของกระหม่อมตามที่พระองค์ต้องการเถิด”
“ไม่ ข้าไม่ได้ต้องการ ไม่ได้หมายความเช่นนั้น”
เสียงของนางออกจะสั่นอยู่บ้าง ชั่วเพียงพริบตาเดียวมุมปากของแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่แห่งแคว้นขยับโค้งขึ้นอีกเล็กน้อยก่อนจางหายไป จางซงหยวนไม่ได้ต่อความใดกับคำพูดใดของนาง แล้วก็ไม่ได้พาม้ามุ่งหน้าไปยังเส้นทางกลับเข้าเมืองหลวงแต่ กลับพาฉีกไปยังอีกทาง หลี่เยี่ยนถิงดิ้นรนจะลง แต่ถูกอ้อมแขนแข็งแรงของจางซงหยวนกักเอาไว้ พร้อมด้วยเสียงบอกที่ดังใกล้ใบหูของนาง
“สาส์นนั่น”
หลี่เยี่ยนถิงขยับตัวหนีแต่แล้วก็ไม่อาจพ้นไปจากอ้อมกอดนั้นได้ นางบอกอย่างโมโห “มีคนบอกข้าแล้ว ท่านไม่ต้องพูดเรื่องนี้อีกได้หรือไม่”
จางซงหยวนเงียบไปครู่เดียว เอ่ยถามใหม่ “ใครที่บอกเรื่องสาส์นกับพระองค์ แล้วผู้นั้นบอกว่าอย่างไร”
“บอกว่าอย่างไรย่อมไม่เกี่ยวกับท่าน”
“ย่อมต้องเกี่ยว หากเป็นความมั่นคงขององค์ฮ่องเต้และเป็นเรื่องที่พัวพันถึงองค์หญิงสามในอ้อมกอดของกระหม่อมผู้นี้”
ตอนที่จางซงหยวนพูดถึงอ้อมกอด แขนของเขาที่สัมผัสนางอยู่ก็กระชับมากขึ้นกว่าเดิม หลี่เยี่ยนถิงโกรธจนหน้าแดง นางร้องสั่งเขาดังสุดเสียงเลยทีเดียว “ท่านแม่ทัพ ปล่อยข้าลง ท่านไม่ควรทำหยามเกียรติองค์ฮ่องเต้เช่นนี้”
“กระหม่อมทำเรื่องใดที่เป็นการหยามเกียรติองค์ฮ่องเต้อย่างนั้นหรือ”
แม้จะแทนตัวเองว่าต่ำศักดิ์กว่าแต่น้ำเสียงและท่าทางที่ใช้กับนางหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ ดูออกจะวางอำนาจเสียด้วยซ้ำ หลี่เยี่ยนถิงเห็นแล้วตัวสั่นด้วยความโมโห
“ท่านทำเช่นนี้มิเท่ากับเป็นเอาเปรียบข้าและหยามหมิ่นเสด็จพ่อหรอกหรือ”
“องค์หญิงกำลังพูดถึงเรื่องใด ใช่เรื่องตอนนี้ หรือกำลังพูดถึงเรื่องในคืนนั้น”
นางได้ยินเขาถามทวนถึงเรื่องเมื่อคืนนั้นใบหน้าของนางพลันออกร้อนขึ้น ร้อนจนเหมือนกับมีไฟลามไหม้บนผิวของตนเอง
“พอได้หรือไม่ ข้าไม่อยากพูดถึงเรื่องนั้น”
“ไม่พูดย่อมไม่พูด ใครจะบังคับพระองค์ได้”
หลี่เยี่ยนถิงไม่เคยถูกผู้ใดทำให้โกรธได้ขนาดนี้มาก่อน เพียงแค่เขาพูดจายียวนด้วยใบหน้านิ่งขรึมจะบึ้งก็ไม่บึ้งจะยิ้มก็ไม่ยิ้มก็สามารถทำให้นางหงุดหงิดได้แล้ว นางเม้มปากแน่นไม่อยากพูดถึงเรื่องคืนนั้นแม้จะอยากพูดอยากถามให้หายสงสัยก็ตามทีว่าเขากล้าทำเรื่องต่ำช้าข่มเหงนางในตอนที่ไร้สติได้อย่างไร ช่างไม่สมกับเป็นแม่ทัพใหญ่ของแคว้นเอาเสียเลย แต่กลับไม่กล้าพูดเสียอย่างนั้น
“หากเป็นเรื่องคืนนั้น กระหม่อมกำลังคิดว่าเราต้องพูดคุยกันสักครั้ง ก่อนที่พระองค์...”
ขณะที่จางซงหยวนหยิบเอาเรื่องคืนนั้นขึ้นมาพูดอีกครั้งนั่นเอง ลมหอบใหญ่ก็พัดเอาคำพูดที่เขากำลังจะเอ่ยออกมาให้หยุดอยู่เพียงเท่านั้น แม่ทัพผู้ใหญ่แห่งแคว้นกระชับสายคล้องม้าให้แน่นมากขึ้น และนั่นก็เท่ากับว่าสองแขนแข็งแรงของเขากอดรัดแน่นขึ้น เนื้อแนบเนื้อมากยิ่งกว่าเดิมเสียอีก
ต้นไม้ใหญ่ที่ม้าสีดำของจางซงหยวนกำลังเดินมาถึงพลันถูกลมหอบนั้นพัดใส่กิ่งก้านเก่าแก่ที่หักอยู่แล้วครึ่งกิ่งให้หักล้มทับลงมา จางซงหยวนพยายามรั้งม้าให้รุดไปยังเบื้องหน้าแต่ช้าเกินไป เขาใช้ลำตัวบดบังไม่ให้ถูกคนในอ้อมกอด จนตัวเองได้รับบาดเจ็บเสียเอง
หลี่เยี่ยนถิงค้อมตัวหลบไปกับหลังม้าเมื่อเห็นว่าตนไม่ได้บาดเจ็บอะไรเพราะมีร่างหนาใหญ่ของจางซงหยวนกอดรัดก็เปลี่ยนจากความรู้สึกโมโหเป็นอ่อนไหวขึ้นในหัวใจในทันที และเมื่อสติกลับคืนมาแล้วนั้น หลี่เยี่ยนถิงค่อยออกแรงดิ้นให้ตัวเองหลุดพ้นจากอ้อมกอดของเขา แต่กลับพบว่าแขนของจางซงหยวนกอดรัดนางแน่นมากกว่าเดิม
หลังจากลมหอบใหญ่พัดมาฝนค่อยๆ ลงเม็ดตาม จากเม็ดฝนเพียงไม่มากบัดนี้เทกระหน่ำอย่างไม่ลืมหูลืมตา จางซงหยวนควบคุมม้าของตนเองพาตรงไปยังอีกทิศทางแทนที่จะกลับเข้าเมืองหลวง
เบื้องหน้าคือโรงเตี๊ยมเล็กๆ ทันทีที่ม้าหยุดตรงหน้าโรงไม้นั้นแล้ว คนด้านในก็ออกมารับหน้าทันที
“ท่านแม่ทัพเชิญด้านในขอรับ”
“คนเยอะหรือไม่” จางซงหยวนถามสั้นๆ คนถูกถามกดใบหน้าลงต่ำขณะตอบ “มีไม่มากขอรับ บ่าวให้เด็กๆ กันไว้ที่อีกฟากของร้านทางด้านโน้นแล้วขอรับ”
จางซงหยวนไม่ได้แสดงถามอะไรอีกเขาสั่งอย่างคนที่คุ้นเคยกับอำนาจการสั่งการมาเป็นอย่างดี
“นำน้ำสะอาดล้างแผลไปที่ห้องพักด้านบน”
“ขอรับ”
หลี่เยี่ยนถิงจำต้องปล่อยให้เขาพาตัวลงมาจากบนหลังม้า นางเดินตามจางซงหยวนเข้าไปด้านใน ไปยังห้องที่คนของโรงเตี๊ยมพาไป เข้าห้องมาแล้วคนผู้นั้นก็ค้อมตัวเร้นกายจากไปโดยไว นางเห็นชัดขึ้นเมื่อเข้ามาในห้องที่แขวนโคมสว่างจ้าเต็มไปหมด เห็นว่าจางซงหยวนได้รับบาดเจ็บ ยังไม่ทันได้เอ่ยปากถามเขา เสียงทุ้มต่ำแฝงอำนาจเอ่ยถามขึ้น
“บาดเจ็บหรือไม่”