เช้าวันต่อมา...
ร่างเล็กในชุดนักศึกษาเปิดประตูห้องออกมา ประจวบเหมาะกับห้องตรงข้ามที่เปิดออกมาพอดี เมื่อสายตาของเธอและน่านฟ้าสบตากันโดยมิได้นัดหมาย จากนั้นปันปันก็ส่งยิ้มหวานให้พร้อมกับเสียงใสๆ เอ่ยทัก
“สวัสดีค่ะพี่น่านฟ้า จะไปไหนแต่เช้าคะ”
“พี่จะไปเยี่ยมเพื่อนที่โรงพยาบาลครับ ปันจะไปไหน ให้พี่ไปส่งไหม?”
“ไม่เป็นไรดีกว่าค่ะเดี๋ยวปัน นั่งแท็กซี่ไปเองดีกว่า” เธอปฏิเสธด้วยความเกรงใจ
“ไม่ต้องเกรงใจ ถ้าไปที่เดียวกัน จะไปนั่งแท็กซี่ทำไม ไปครับเดี๋ยวพี่ไปส่ง” น่านฟ้าไม่พูดเปล่า แต่กลับเดินไปช่วยคนตัวเล็กถือกระเป๋าแล้วเดินเข้าลิฟต์ไปหน้าตาเฉย ส่วนเธอเองก็รีบวิ่งเข้าไปในลิฟต์
“พี่น่านฟ้า เดี๋ยวปันถือเองก็ได้ค่ะ”
“ไม่เป็นไร พี่ช่วยถือ” น่านฟ้าดึงสายสะพายกระเป๋าขึ้นบนไหล่กว้าง ส่วนปันปันก็เอาแต่มองด้วยความเกรงใจ แต่ก็ไม่กล้าปฏิเสธเขา แขนอีกข้างพาดเสื้อกาวน์เอาไว้
พอออกมาจากลิฟต์น่านฟ้าก็เดินตรงไปยังลานจอดรถ ก่อนจะเปิดประตูให้เธอเข้าไปนั่ง
“กลัวเลือด ทำไมถึงอยากเป็นหมอหรอ” น่านฟ้าเอ่ยถามสิ่งที่คาใจ
“คือ ปันชอบช่วยเหลือคนค่ะ แต่แค่มันมีภาพติดตาจากบางเหตุการณ์ เลยทำให้ทุกครั้งที่เห็นเลือดเยอะๆ แล้วช็อก”
“แล้วแบบนี้จะไม่เป็นอุปสรรคในการรักษาคนไข้หรอ”
“ปกติปันตรวจทั่วไปค่ะ ไม่ได้ไปกับแผนกฉุกเฉินแบบนั้น วันนั้นฉุกเฉินไม่พอ ปันเลยถูกพี่หมอเรียกไปช่วยชั่วคราว” น่านฟ้าพยักหน้าเข้าใจ
“โชคดีจัง ถ้าวันนั้นปันปันไม่ถูกเรียกไปช่วย เราคงไม่ได้เจอกัน” คำพูดของน่านฟ้าทำเอาร่างเล็กรู้สึกหน้าร้อนขึ้นมา แต่ก็แค่แวบเดียวเท่านั้น
“โชคดีอะไรล่ะคะ ปันไปเป็นภาระพี่น่านมากกว่า” ปันปันหัวเราะเบาๆ กับความโก๊ะของเธอ
“ไม่หรอกครับ ถือว่าเป็นการเจอกันที่ประทับใจ” น่านฟ้าเอ่ยเชิงขัน
ทั้งคู่พูดคุยกันตลอดทาง แถมยังคุยกันถูกคอเสียด้วย จนรถแล่นมาถึงลานจอดรถของโรงพยาบาล เนื่องจากโรงพยาบาลเป็นเอกชน ไม่ว่าจะเป็นลานจอดรถ หรือที่ต่างๆ ก็มักจะดูหรูหรามีระดับไปทุกโซน เพราะเจ้าของต้องการให้คนไข้รู้สึกสะดวกสบาย การดูแลของที่นี่ก็ถือว่าดีมาก บริการดีจนขึ้นชื่อโรงพยาบาลที่ดีที่สุดของจังหวัด
“ขอบคุณที่ให้ปันติดรถมาด้วยนะคะ ปันขอตัวไปทำงานก่อนนะคะ”
“ครับ ไว้เจอกันครับ” น่านฟ้าตอบพร้อมกับยืนมองร่างเล็กเดินเข้าลิฟต์ไปจนสุดสายตา
“ไม่ได้ป่วย แล้วมาทำอะไรที่โรงพยาบาล!” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นจากด้านหลัง ทำให้น่านฟ้าที่ยืนยิ้มอยู่นั้นรีบหันไปมองต้นเสียงที่ดูเหมือนจะหาเรื่องเขา
“เสือก โรงบาลมึงหรอ”
“ตอนนี้ไม่ใช่ อีกหน่อยก็ไม่แน่” คำตอบของปลาบปลื้มทำเอาร่างสูงขมวดคิ้วมุ่น
“มึงต้องการอะไร”
“เลิกยุ่งกับอัญชัน”
“ทำไมกูต้องฟังมึง มึงเป็นพ่อกูหรอ”
“กูเตือนมึงดีๆ แล้วนะ” ปลาบปลื้มพูดจบก็เดินกระแทกไหล่น่านฟ้าเข้าลิฟต์ไป ทิ้งให้เขายืนงงกับคำพูดที่ปลาบปลื้มทิ้งท้ายเอาไว้
“อะไรของแม่งวะ!” เจอตัวป่วนแต่เช้าเลย แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็เดินขึ้นลิฟต์ไป แล้วไปเยี่ยมเพื่อน
อาการเบื้องต้นของเพื่อนเขาตอนนี้ดีขึ้นมากแล้ว เริ่มพูดเริ่มคุยได้แล้ว ดีหน่อยที่ไม่ได้ความจำเสื่อม แต่ก็ยังออกจากโรงพยาบาลไม่ได้เพราะกระดูกที่แขนและขายังไม่เข้าที่ น่าจะได้อยู่ดูอาการเป็นเดือน และมันก็เป็นสัญญาณที่ดีที่จะได้ทำให้เขาและหมอสุดสวยเจอกันบ่อยๆ
“ไง อยากซ่า กูเตือนมึงแล้ว” น่านฟ้ากล่าว
“กูคิดว่ากูคุมได้ ใครจะไปคิดวะว่าโค้งนั้นจะลื่น” เติร์ดเอ่ย อย่างไม่ค่อยสะทกสะท้านเท่าไหร่ นี่ขนาดเจ็บปางตายยังคิดไม่ได้
“มันไม่ได้ลื่นไอ้เวร มึงน่ะไม่ฟังกู ใครเขาเข้าโค้งด้วยความเร็วขนาดนั้น”
“บ่นจังวะ ถ้าจะบ่นทีหลังไม่ต้องมาเยี่ยมนะรำคาญ”
“กูอยากมา แต่ไม่ได้อยากมาเยี่ยมมึงนะ กูอยากมาเจอคุณหมอ”
“เด็กมึงน่ะหรอ ที่ชื่อฝ้ายป้ะ”
“หมอไอ้เวร ไม่ใช่พยาบาล”
“เดี๋ยวนี้ไต่ระดับ เล่นหมอเลยหรอ” เติร์ดแซว
“เป็นนักศึกษาแพทย์ รู้จักกับไอ้ชิเพื่อนกูด้วย”
“เบาๆ ลงหน่อย”
“เอาน่ากูไม่ได้มั่ว มีขาประจำ ถ้าได้คบกับคนนี้ก็เลิก”
“ระวังขาประจำจะโวยวายนะมึง กูเตือนไว้”
“ไม่มีทาง ลองโวยวายดิไม่ได้จากกูแม้แต่บาทเดียว ถ้าโง่ก็ลองดู”
“รู้ว่ารวย แต่อยากให้ระวังตัว ไม่มีใครชอบหรอกนะที่โดนสะบัดทิ้ง มันต้องมีสักคนของมึงที่โวยวาย ถ้าคนเข้าใจก็ดีไป รอดตัว แต่ถ้าไม่เข้าใจระวังคนของมึงจะเดือดร้อน” น่านฟ้าคิดตาม แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไร เพราะเขาคิดว่าเขาคอนโทลได้ ไม่เหมือนอชิเพื่อนรักของเขาที่ เอาไปทั่วเมื่อก่อน แต่ก็อย่างว่าแหละมันได้แล้วมันไม่ได้สานต่อ ต่างจากเขาที่กกเอาไว้เป็นขาประจำแล้วเสนอเงินทอง สิ่งของให้ เอาไว้แก้เหงา เขามั่นใจว่าถ้าวันหนึ่งเขามีตัวจริง คนพวกนี้เขาจัดการได้สบายอยู่แล้ว
เมื่อเยี่ยมเพื่อนเสร็จ น่านฟ้าก็ขอตัวกลับ แต่ก่อนที่จะกลับก็เดินไปเดินมามองหาคุณหมอสุดสวยก่อน อย่างน้อยได้เห็นก่อนกลับได้คุยกันสักประโยคก็พอได้น้ำหล่อเลี้ยงหัวใจ
วี ว่อ วี ว่อ วี ว่อ
เสียงไซเรนของรถพยาบาลแล่นเข้ามาจอดที่ทางเข้าห้องฉุกเฉิน ร่างเล็กที่กำลังจะเดินไปพักเที่ยงหยุดนิ่งเมื่อได้ยินเสียงไซเรนดังแว่วๆ เข้ามาในหู รถฉุกเฉินจอดสนิทพร้อมกับหมอและพยาบาลแผนกฉุกเฉินที่วิ่งไปที่รถกันให้จ้าละหวั่น
ตึก ตัก ตึก ตัก!
เสียงหัวใจของปันปันเต้นดังโครมคราม ทุกอย่างในร่างกายหยุดชะงักแน่นิ่งไม่กล้าเคลื่อนไหว แถมยังได้ยินแว่วๆ มาว่าคนไข้ที่พามานั้นเป็นหญิงชราที่เดินข้ามถนนแล้วถูกรถยนต์พุ่งชนที่ทางม้าลายก็ทำให้พาลจินตนาการเห็นภาพวันวานที่เคยเกิดขึ้น
หัวใจของคนตัวเล็กยังคงเต้นถี่ มือไม้สั่น ทุกคนรอบตัวเคลื่อนไหวกันหมดยกเว้นเธอที่ยืนแข็งทื่อ แน่นิ่งอยู่ตรงนั้นคนเดียวอย่างกับคนที่สติเลื่อนลอย
หมับ พรึ่บ!!
ในขณะที่ประตูรถฉุกเฉินกำลังเปิดออกพร้อมกับรถเข็นเตียงที่กำลังจะเข็ญออกมา แต่แล้วร่างเล็กก็ถูกดึงเข้าไปกอดเอาไว้ ใบหน้าของปันปันกระแทกไปที่แผงอกแกร่งของน่านฟ้าอย่างจัง กลิ่นกายหอมอ่อนๆ โชยเข้ามาเตะที่จมูก ความสดชื่นจากเขาทำให้เธอรู้สึกผ่อนคลาย การกระทำของเขาทำให้ดวงตากลมเบิกโต ดึงสติของเธอที่เหม่อเมื่อครู่ให้กลับมา แต่พอดวงตาคู่สวยสบประสานเข้ากับดวงตาสีน้ำตาลเข้ม หัวใจดวงน้อยก็เต้นแรงราวกับมีใครตีกลองอยู่ข้างใน
“กลัวเลือดไม่ใช่หรอ อย่ามองเลือดเต็มเลย” เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยขึ้น และมันยิ่งทำให้เธอยิ่งใจเต้นแรงขึ้นไปอีก นี่เขากำลังปกป้องเธอจากสิ่งที่กลัว ทำไมถึงได้รู้สึกอบอุ่นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทุกครั้งที่เธอต้องเผชิญกับสิ่งที่กลัว เธอมักจะอยู่คนเดียว ไม่เคยมีใครคิดยื่นมือเข้ามาช่วย คิดแค่ว่าเธอเป็นคนประหลาด เป็นหมอ เรียนหมอ แต่ก็กลัวเลือด บ้างก็ถูกมองว่าเป็นตัวถ่วง บ้างก็ถูกมองว่าเรียกร้องความสนใจจากผู้ชาย แต่ใครจะรู้ จะเข้าใจว่าอาการที่เธอเป็นอยู่แบบนี้ เธอเองก็ไม่ได้อยากเป็นเลย พยายามทำให้ตัวเองหยุดกลัว แต่ก็ไม่เคยสักครั้งที่จะกล้าเผชิญกับมัน จนวันนี้ที่เขาเข้ามา มันทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นหัวใจ รู้สึกปลอดภัยอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
เสียงรถเข็นเตียงห่างออกไปพร้อมกับทุกอย่างที่เข้าสู่โหมดปกติ ปันปันรีบเรียกสติของตัวเองกลับมาก่อนที่จะผละตัวให้ออกห่างจากเขา
“เอ่อ...ขอบคุณนะคะ” ปันปันโค้งตัวขอบคุณเขา ดวงตาคู่สวยหลุบลงต่ำ
“ตัวสั่นเชียว ไม่ต้องกลัวนะ”
“เอ่อ ปันไม่เป็นอะไรแล้วค่ะ แค่สตั้นนิดหน่อย ยังไงก็ขอบคุณพี่น่านมากๆ เลยนะคะ”
“ไม่เป็นไรครับ ทำไมมายืนอยู่นี่คนเดียวได้ จะไปไหน?”
“จะไปพักกลางวันค่ะ ไปด้วยกันไหมคะ เดี๋ยวปันเลี้ยง”
“ดีเลยครับ กำลังหิวเลย” น่านฟ้ายกยิ้มเมื่อร่างเล็กเอ่ยปากชวน
“ดีค่ะ งั้น ทานในโรงพยาบาลได้ไหมคะ พอดีปันไม่มีรถ”
“ได้หมดเลยครับ แต่ถ้าอยากออกไปกินข้างนอกพี่พาไปได้นะ พี่มีรถ” เขาเสนอ
“งั้นรบกวนหน่อยนะคะ” เป็นอันว่ารู้กัน สรุปทั้งคู่ก็ขับรถออกไปทานข้างนอก
“ปันพักถึงตอนไหน พี่จะได้เลือกร้านถูก”
“ปันพัก1ชั่วโมงค่ะ ทานร้านใกล้ๆ ก็ได้ค่ะ”
“ครับ” จากนั้นน่านฟ้าก็หักพวงมาลัยรถยนต์ไปจอดเลียบหน้าร้านอาหารตามสั่งข้างๆ ทาง
“ร้านนี้อร่อยค่ะ ปันเคยมากิน” ร่างเล็กเอ่ยพร้อมกับรอยยิ้มสดใส
“สมัยเรียนพี่ก็มากินบ่อย”
“ว๊าว จริงหรอคะ พี่น่านชอบกินอะไรคะ”
“พี่ชอบกินฉู่ฉี่ปลาดอลลี่”
“จริงหรอคะ ปันก็ชอบ” ร่างเล็กตาเป็นประกายเมื่อเจอคนที่ชอบเมนูเดียวกัน
“หื้ม จริงหรอ”
“ค่ะ”
“ป้าครับ เอาฉู่ฉี่ปลาดอลลี่ แล้วก็ไข่เจียวปูครับ” น่านฟ้าหันไปสั่งอาหารทันทีที่นั่งลงบนเก้าอี้หวาย
“ได้เลยค่ะ แหน่ะแฟนหรอคะคุณน่าน ปกติมากับเพื่อนวันนี้มากับสาวน่ารักเสียด้วย” คำพูดของป้า ทำเอาปันปันหน้าเห่อร้อน แต่ก็ต้องรีบปฏิเสธ
“เอ่อ...”
“ครับป้า” ปันปันตกใจตาโตเมื่อน่านฟ้าไปตามน้ำเสียอย่างนั้น
“งั้นเดี๋ยวรอสักครู่นะคะ เดี๋ยวป้าจะรีบทำเลย” ทันทีที่ป้าเดินห่างออกไปปันปันก็รีบเอ่ยขึ้นเสียงดุทันที
“พี่น่าน ไปตอบแบบนั้นได้ยังไงกันคะ”
“เอาน่า จะได้ไม่ต้องพูดยืดยาว” แม้ปากจะพูดไปแบบนั้นแต่ในใจกลับหัวเราะร่าชอบใจ
“อ้อ”
ไม่นานนัก อาหารที่สั่งก็มาเสิร์ฟ จนครบ ระหว่างทานอาหารน่านฟ้าก็ชวนปันปันคุยนั่นคุยนี่กัน ไม่คิดว่าจะคุยกันถูกคอ แถมยังไม่รู้สึกอึดอัดระหว่างที่อยู่ด้วยกันด้วย ยิ่งคุยก็ยิ่งรู้สึกสบายใจ
“ต้องขอโทษจริงๆ ค่ะ ที่วันนั้นปันดันทำหน้าที่ไม่ดีพอ พอดีวันนั้นปันอ่านหนังสือดึก แล้วก็รู้สึกเพลียด้วย พอเห็นเลือดพี่น่านปันเลยสลบไปแบบงงๆ”
“งงเลย เป็นผู้ป่วยแท้ๆ แต่กลับต้องอุ้มคุณหมอ ก็แปลกๆ ดี แต่ก็รู้สึกดีนะที่ได้รู้จักปัน”
“แฮะๆ แล้วพี่น่านไปรู้จักกับพี่ชิได้ไงคะเนี้ย พี่ชิไม่ได้ชอบแข่งรถนี่คะ”
“เรียนคณะเดียวกันน่ะ แล้วก็คงมีอะไรเหมือนกันแหละถึงได้ยังเป็นเพื่อนกันอยู่”
“หึๆ แล้วทำไมพี่น่านถึงชอบแข่งรถล่ะคะ ถึงขั้นเปิดสนามเองเลย คงชอบมากๆ เลยใช่ไหม”
“คงเพราะความเร็ว มันทำให้ตื่นเต้นมั้ง ใจเต้นแรงดี ไม่ต้องคิดเยอะเพราะคิดแค่ว่าจะทำยังไงให้ชนะ” น่านฟ้าตอบด้วยรอยยิ้ม หากแต่แววตาของเขามันกลับดูว่างเปล่าและโดดเดี่ยวจนน่าตกใจ
“มีอะไรอยากระบายกับปันไหมคะ?” คำพูดของปันปัน ทำน่านฟ้าชะงักนิ่ง ก่อนจะมองหน้าของเธอด้วยความสงสัย
“ไม่มีครับ พี่มีความสุขดี พี่โอเค สบายมาก” น่านฟ้ายิ้มตอบอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เธอจับพิรุธได้เพราะเขาฝืนยิ้มออกมา แม่ว่าเธอจะเรียนหมอทั่วไปแต่เธอเคยเรียนวิชาบูรที่เป็นวิชาจิตวิทยามา เธอพอจะรู้ว่าอาการของคนที่แสดงออกมาแบบไหนรู้สึกยังไง และที่สำคัญแววตาไม่สามารถโกหกได้
“ถ้ามีอะไรให้ปันช่วย หรืออยากให้ปันเป็นที่ปรึกษาบอกปันได้เลยนะ เรื่องบางเรื่องเก็บไว้คนเดียวก็มีแต่จะเครียดนะคะ อีกอย่างปันสัญญาว่าปันจะไม่บอกใคร” ร่างเล็กเอ่ยบอกพร้อมกับยิ้มกว้างๆ ให้ร่างสูงตรงหน้า รอยยิ้มหวานๆ ของเธอทำให้น่านฟ้านั้นยิ้มตามออกมาอย่างไม่รู้ตัว อยู่ๆ รอยยิ้มของเธอก็เหมือนเป็นยาใจที่หล่อเลี้ยงจิตใจของเขา ความเศร้าภายใต้รอยยิ้มอยู่ๆ ก็ค่อยๆ จางลง
“ขอบคุณครับ ไว้...ถ้าไม่ไหวพี่จะบอกปันคนแรกเลยนะ”
“แค่นึกถึงปันคนแรก ปันก็ดีใจแล้วค่ะ” ปันปันกล่าวด้วยเสียงสดใส “แต่ตอนนี้คงต้องกลับไปทำงานแล้วล่ะค่ะ เดี๋ยวจะโดนดุ ถ้าเป็นแบบนั้นพี่น่านก็ช่วยปันไม่ได้นะคะ เพราะพี่หมออาร์ตดุมากเลย”
“ฮ่าๆๆ โอเคครับ ป้าครับคิดตังค์ครับ”
“ทั้งหมด250ค่ะ”
“นี่ครับ ไม่ต้องทอน” น่านฟ้ายื่นธนบัตรสีม่วงให้ป้า
“พี่น่าน ปันบอกจะเลี้ยงเอง พี่น่านจะจ่ายทำไมคะ” น่านฟ้าไม่สนใจคำพูดของปันปันชิงจ่ายตัดหน้า
“แล้วมาอีกนะคะคุณน่าน”
“ครับป้า ไปเร็วเดี๋ยวสายนะ” น่านฟ้ารีบชิ่งเดินออกจากร้านอาหารไปทันที ส่วนเธอก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆ ให้ป้าเจ้าของร้าน ก่อนจะวิ่งตามเขาออกไป