“ซอ ซออยู่ตรงไหน ซื้อตั๋วแล้วหรือยัง?” กรวิชญ์พูดด้วยน้ำเสียงร้อนรน สายตายังคงมองหาศศิกาญจน์ไปตามที่นั่งด้านหน้าเรื่อยมาถึงเกือบถึงประตูหลัง
“เอ่อ…ซื้อแล้วค่ะ ขึ้นรถแล้วด้วย”
“ซอขึ้นคันไหน ซอลงมาหาพี่เดี๋ยวนี้ เดี๋ยวพี่ไปส่งเอง พี่ขอคุณลุงแล้ว คุณลุงอนุญาตให้พี่ไปส่งซอที่ไร่กาแฟได้ แต่ถ้าไม่ลงมา พี่จะโทร.บอกคุณลุงว่าซอโกหก ซอไม่ได้ไปกับแป๋ว เพราะแป๋วไปกระบี่”
หญิงสาวถลึงตา หัวใจดวงน้อยหล่นตุบ
‘ซวยแล้ว’
“ไม่เป็นไรค่ะพี่กร รถทัวร์ที่ซอโดยสารกำลังจะออกแล้วค่ะ แค่นี้นะคะ” หญิงสาวรีบตัดสายทิ้งทันที
เมื่อรถทัวร์เริ่มเคลื่อนตัวออกไป เธอค่อยๆ ดึงตัวกลับเข้าที่ สายตาเหลือบมองไปนอกหน้าต่างหาคนที่โทร.เข้ามาเมื่อครู่ เป็นจังหวะเดียวกับที่กรวิชญ์มองเข้ามาในตัวรถแล้วเจอหน้าเธอพอดี เขาทำท่าจะวิ่งตามรถทัวร์ แต่ศศิกาญจน์รีบโบกมือลาและทำหน้าเยาะเย้ยใส่เขา
‘ลาขาด ตั้งหลักได้แล้วจะกลับมาหาทางจัดการกับพวกแก’
เธอบ่นกับตัวเอง แล้วถอนหายใจอย่างแรงด้วยความโล่งอก
“เอ่อ...คุณโอเคไหมครับ” ภาษิตเอ่ยถามด้วยความห่วงใยเมื่อเห็นท่าทางแปลกๆ ของหญิงสาว
“ค่ะ เอิ่ม...เมื่อกี้ ซอต้องขอโทษด้วยนะคะที่เสียมารยาทใช้อกคุณเป็นหลุมหลบภัย” หญิงสาวยิ้มแหยๆ มองหน้าชายหนุ่มตรงหน้าอย่างรู้สึกผิด
“ไม่เป็นครับ” เขาพูดด้วยท่าทีเขินเล็กน้อยอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน พลางยกมือซ้ายลูบท้ายทอยไปมา “ใช้อีกก็ได้นะครับ ไม่คิดค่าบริการ” อยากรู้เหมือนกันว่าเมื่อครู่เธอหลบอะไร
เห็นสายตาสงสัยแต่มีมารยาทที่จะไม่เปิดปากถามก็รู้สึกว่าชายตรงหน้าไว้วางใจได้ ทั้งที่ในยามปกติ เธอเองก็ไม่ใช่คนไว้วางใจใครง่ายๆ หากไม่ชัดเจนก็ไม่คิดจะเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวให้ใครรู้
“คือ...เมื่อครู่ ฉันหลบไอ้พี่เลี้ยงโรคจิตค่ะ”
“พี่เลี้ยงโรคจิต!” สายตาของชายหนุ่มที่ทอดมองดวงหน้าสวยหวานเพิ่มความอยากรู้มากขึ้นไปอีก
ระหว่างทาง ศศิกาญจน์จึงอธิบายเรื่องสายที่โทร.มาเมื่อครู่ คือ พี่เลี้ยง ลูกติดของภรรยาคนใหม่บิดา ที่จ้องจะเคลมเธอ จนเธอต้องหนีไปทำงานที่ลำปางให้เขาฟัง ภาษิตฟังเรื่องราวแล้วรู้สึกเห็นใจเธออย่างมาก พลอยทำให้อารมณ์ของเขาขุ่นเคืองไปด้วย
“ผมว่าคุณซอตัดสินใจถูกแล้วครับที่หาทางหลบเลี่ยงไปให้ไกลจากคนชั่วแบบนั้น”
ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง รถทัวร์ก็เลี้ยวเข้าปั๊มเพื่อเติมน้ำมัน สายตาคู่หวาน เหลือบไปเห็นกรวิชญ์สวมกางเกงยีนส์ เสื้อยืดคอกลมสีดำ รองเท้าผ้าใบ กำลังปิดประตูรถกระบะแล้วเดินตรงมาหาเธอบนรถทัวร์ทันที มือเรียวยกขึ้นปิดปากที่อ้าค้างด้วยความตกใจ
“ขับรถตามมาเลยเหรอ ซวยแล้ว”
อาการเลิ่กลั่ก ท่าทางตกใจของหญิงสาวที่เขากำลังจะหาโอกาสแลกไลน์เพราะสนใจอยากทำความรู้จักเธอมาก ทำให้ภาษิตขมวดคิ้วเล็กๆ เขาชอบผู้หญิงสวย แต่ไม่เคยถูกใจแล้วคุยกับใครสบายใจเท่ากับเธอ
“เป็นอะไรหรือเปล่าครับคุณซอ”
“ยินดีที่ได้รู้จักและร่วมทางนะคะคุณภาษิต แต่ซอต้องไปแล้วละค่ะ พี่เลี้ยงของซอตามมา เขาต้องลากตัวซอกลับไปแน่ๆ ”
หญิงสาวบอกลาภาษิต แล้วลุกขึ้นพรวดคว้ากระเป๋า แทรกตัวออกจากที่นั่ง รุดไปยังประตูด้านหลังรถทัวร์ทันที เขาเบี่ยงตัวหลบทางให้เธอแบบงงๆ ที่จริงอยากจะรั้งแขนบางนั้นไว้ แต่พอเห็นผู้ชายท่าทีร้อนรนที่เพิ่งขึ้นรถแล้วกำลังเดินตรงมาทางเขา ก็รู้ได้ทันทีว่าหญิงสาวกำลังหนีอะไร
ภาษิตจึงแสร้งทำปากกาตกลงพื้นแล้วก้มลงเก็บขวางทางเดินเพื่อถ่วงเวลาให้เธอ
“เฮ้ย! หลบไปสิวะ เกะกะ!” ร่างสูงท่าทางดุดัน มองผู้ชายผิวพรรณสะอาดตรงหน้า
“รีบร้อน อะไรนักครับคุณ คุณเหยียบปากกาผมแล้วเห็นไหม”
“เสือกมาทำหล่นทำห่าอะไรตอนกูจะเดิน หลบเร็ว!”
“อ้าว พูดแบบนี้…”
ภาษิตหล่อเหลา ผิวพรรณสะอาด แลดูสำอาง จนหลายคนคิดไม่ถึงว่านอกจากรักการเดินทางท่องเที่ยว มีความสามารถในการถ่ายภาพ เขายังถนัดในเรื่องเชิงมวย เพราะบิดาเป็นเจ้าของแบรนด์ฟิตเนสชื่อดัง มีสาขาหลายแห่งทั่วประเทศ มีโรงยิมสอนมวยไทย ซึ่งภาษิตหัดชกมวยจนความสามารถโดดเด่นเข้าตา มีค่ายมวยมาทาบทามเพียง แต่เขาไม่ได้คิดจะเอาดีในเส้นทางนั้น แค่ฝึกฝนไว้เป็นศิลปะป้องกันตัว
เมื่อเห็นสายตาที่ค่อยๆ เอาเรื่องขึ้นของอีกฝ่าย มองออกว่าใจนักเลงไม่เบา ภาษิตจึงค่อยๆ เบาลง ขณะที่ชายหนุ่มทั้งคู่กำลังยึกยักหลบทางกันไปมาบนรถทัวร์นั้น ร่างสวยของศศิกาญจน์ก็รีบวิ่งหนีออกมาหน้าปั๊มน้ำมันอย่างไม่คิดชีวิต จนมาหยุดหันรีหันขวางตรงกลางถนน นึกขอบใจเพื่อนร่วมทางคนนั้นที่ช่วยกันท่าไอ้ปลิงยักษ์นั่นไว้
ทว่า หญิงสาวไม่ได้มองว่าจุดที่กำลังยืนอยู่ตอนนี้ มันไม่ปลอดภัย เสียงเบรกดังลั่นทำให้หญิงสาวหันกลับมาพบกับรถสปอร์ตสีดำราคาแพงที่กำลังวิ่งมาด้วยความเร็ว เธอหลับตาปี๋ ส่งเสียงกรีดร้องด้วยความตกใจกลัว
“ว้าย!”
พลันร่างเล็กก็ทรุดตัวลงกับพื้นถนนราวกับขาของเธอไม่มีเรี่ยวแรงที่จะยืนต่อ คนขับรถหัวเสียเล็กน้อย
“อะไรกันวะ” เพราะมั่นใจว่าเบรกทันและไม่ได้ขับรถชนหญิงสาวที่นอนกองอยู่ตรงหน้ารถ แต่เธอตกใจจนล้มไปเอง หรือบางทีอาจเป็นพวกมิจฉาชีพที่แสร้งวิ่งมาตัดหน้ารถเพื่อเรียกค่าทำขวัญ เหตุการณ์แบบนี้ เขาเคยเจอมาแล้ว ไม่รู้พวกมิจฉาชีพ พวกเหลือบไรสังคม มันทำไมถึงใช้แต่ลูกไม้เดิมๆ
“ฮึ! ลูกไม้เดิมๆ อีกแล้ว” เขาพลิกข้อมือซ้ายกลับมาเพื่อดูเวลาจากนาฬิกาสีเงินเงาวับราคาเจ็ดหลัก
“เอ้า ก็ได้ ฉันยังพอมีเวลาเล่นกับแก มาลองดูกันซิว่า แม่สาวน้อยคนนี้จะมาไม้ไหนกัน” เจ้าของรถหรูพูดเสร็จก็เปิดประตูเพื่อลงไปดูคนที่วิ่งตัดหน้ารถของเขา
เมื่อประตูรถสปอร์ตที่เป็นเป้าสายตาของทุกคนและมีเพียงไม่กี่คันในโลกเปิดออก ปรากฏร่างสูงใหญ่ของ พ่อเลี้ยงจอมทัพ เดินมาหยุดยืนบังแสงแดดจ้าที่กำลังส่องลงมาตรงร่างเล็กที่ฟุบอยู่หน้ารถของเขา พ่อเลี้ยงหนุ่มย่อตัวลงมาประคองร่างเล็กขึ้นมา กลิ่นกายหอมจางๆ พานลอยมาแตะที่จมูกจนเขาเผลอดึงร่างบอบบางเข้ามาในอ้อมกอด
“ตั้งใจเป็นลมตัดหน้ารถผม อยากได้เท่าไหร่”
ศศิกาญจน์ค่อยๆ หรี่ตามองโครงหน้าหล่อเหลาที่ถูกล้อมกรอบไปด้วยเคราบางๆ เขียวครึ้มที่เพิ่งโกนมาไม่กี่วัน แม้ว่าความหล่อจะถูกบดบังด้วยแว่นกันแดดราคาแพง จนมองไม่เห็นดวงตาคมเข้ม ดุดัน แต่หวานล้ำกับใครบางคนได้เช่นกัน เพียงแต่น้อยคนจะพบเห็น และขนคิ้วที่หนาแน่นรับกับจมูกที่โด่งรั้นราวกับเทพบุตร แต่ทว่าในระยะประชิดขนาดนี้ก็ทำให้หัวใจของเธอเต้นผิดจังหวะกันเลยทีเดียว
หญิงสาวปรือตามองหนุ่มตรงหน้าอย่างหลงใหล พลันหลับตาพริ้มซุกใบหน้าขาวเข้าไปที่อกแกร่งราวกับลูกแมวน้อยกำลังหาที่หลบภัย เพราะเห็นว่ากรวิชญ์วิ่งลงมาจากรถโดยสารปรับอากาศ แล้วกำลังมองหาเธอ
จอมทัพชะงักไปเล็กน้อย ไม่คิดว่ามิจฉาชีพเดี๋ยวนี้จำเป็นต้องสวยมากขนาดนี้ แล้วที่ประหลาดใจคือวิธีการเรียกค่าเสียหายแบบใหม่ มันดูประหลาด ถึงเขาจะหล่อและรวย แม้ว่าเธอจะสวยแต่ก็คือมิจฉาชีพ
“รีบไสหัวเธอออกไปจากอกฉันเดี๋ยวนี้เลย แม่สาวน้อย” ถ้าการพบเจอกับเธอเป็นไปแบบปกติ เขาคงไม่เอ่ยคำนี้ออกมา แต่แม่นี่ นอกจากเป็นมิจฉาชีพ ยังอ่อยเก่ง คิดเหรอว่าคนอย่างพ่อเลี้ยงจอมทัพ คาเตอร์ จะเก็บผู้หญิงกลับบ้านไม่เลือก โดยเฉพาะผู้หญิงที่เก็บได้บนถนน ฝันไปเถอะ!
“ฉันขอโทษค่ะ แต่คุณอย่าเพิ่งขยับได้ไหม ฉันขอซบอีกหน่อย”
“เฮ้ย!” ความหงุดหงิดพลุ่งพล่าน “หน้าด้าน เธอทำแบบนี้กับเหยื่อผู้ชายทุกคนเลยรึไง?”