หลังจากสิ้นสุดฤดูฝนสำนักศึกษาต๋าเฉิงซุนได้เปิดสอนอย่างเป็นทางการมีนักเรียนทั้งหมดสามสิบคนและได้บัณฑิตกงหวู่อันมาเป็นอาจารย์สอนภายในสำนักศึกษา มีเด็กบางส่วนเป็นเด็กกำพร้าที่กู้ฮุ่ยหนิงให้เถ้าแก่ร้านน้ำชาซิงไถรับเลี้ยงดูและส่งเสียให้เรียนหนังสือคนพวกนี้จะกลายเป็นกำลังสำคัญสำหรับกิจการของกู้ฮุ่ยหมิงในอนาคต
และมีบางคนที่กู้ฮุ่ยหนิงเห็นว่าหน่วยก้านพอใช้จึงได้รับเข้ามาฝึกพิเศษเป็นกองกำลังลับส่วนตัวของตนเองกู้ฮุ่ยหนิงใช้หมู่บ้านร้างที่ห่างจากเมืองเสียนหยางขึ้นไปบนภูเขาประมาณสี่สิบลี้เป็นที่ฝึกกองกำลังของตนเอง
เหตุผลที่กู้ฮุ่ยหนิงให้ผิงฉวนส่งคนไปรับกงหวู่อันที่อยู่หมู่บ้านห่างไกลมาอยู่ที่สำนักศึกษาเพราะชาติก่อนกงหวู่อันมีความรู้ความสามารถถึงขนาดได้เข้าสอบจิ้นซื่อที่เป็นการสอบต่อหน้าพระพักตร์ของฮ่องเต้ และเขายังสามารถสอบผ่านได้ลำดับที่สองในปีนั้นอีกด้วยแถมกงหวู่อันได้รับแต่งตั้งตำแหน่งปั๋นเหยียนและเป็นกำลังสำคัญให้กับองค์ชายสี่
ในเมื่อชาตินี้กู้ฮุ่ยหนิงได้มาเกิดใหม่แทนที่จะปล่อยให้กงหวู่อันได้พบองค์ชายสี่และกลายเป็นกำลังสำคัญที่ช่วยเหลือองค์ชายสี่แย่งชิงตำแหน่งรัชทายาทในอีกหลายปีข้างหน้าง ไม่สู้ในเวลานี้นางแย่งคนมาเสียก่อนที่ทั้งสองจะได้พบหน้ากันเท่านี้กงหวู่อันก็กลายมาเป็นหมากในมือของนางเพื่อใช้ต่อสู้กับองค์ชายสี่จ้าวลู่เหวินได้แล้ว
ส่วนผิงฉวนและหยงอันกู้ฮุ่ยหมิงได้ช่วยเหลือชีวิตของคนทั้งสองไว้ด้วยความบังเอิญในวันที่ออกไปเที่ยวเล่นนอกเมืองกับองครักษ์เมื่อครึ่งปีก่อน ผิงฉวนและหยงอันเป็นพี่น้องฝาแฝดกันดูเหมือนว่าทั้งคู่จะเป็นบุตรของสำนักฝึกยุทธภายในสำนักคงจะเกิดเรื่องหรือมีการทรยศหักหลังกันเกิดขึ้นจึงทำให้ทั้งสองพี่น้องถูกคนตามไล่ล่าสังหารและกู้ฮุ่ยหนิงได้ให้อันฉีช่วยทั้งสองคนไว้
เวลาผ่านไปไม่หวนกลับพิรุณร่ำลาผ่านพ้นเหมันต์มาเยือนเกล็ดหิมะขาวโปรยปรายไปทั่วพื้นดิน ชั่วพริบตาวสันตฤดูก็มาถึงอีกคราวเวียนครบบรรจบของฤดูคิมหันต์ เพียงพริบตากู้ฮุ่ยหนิงมาอาศัยอยู่ที่เมืองชายแดนได้หนึ่งปีแล้วเวลาช่างผ่านไปไวเหมือนดังสายลมพัดไม่หวนคืน
แต่แล้วเมื่อถึงยามโฉ่วในค่ำคืนที่อากาศร้อนอบอ้าวของฤดูคิมหันต์ภายในจวนแม่ทัพกู้กลับเกิดความวุ่นวายขึ้น บ่าวไพร่ภายในเรือนถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาช่วยกันตักน้ำดับไฟที่กำลังลุกไหม้ที่เรือนนอนของคุณหนูกู้ฮุ่ยหนิง เพลิงได้ลุกไหม้นานเกือบหนึ่งชั่วยามทุกคนจึงสามารถช่วยกันดับไฟได้แต่เรือนนอนของคุณหนูกู้ฮุ่ยหนิงถูกไฟไหม้จนไม่เหลือสภาพเดิม และถึงแม้องครักษ์จะสามารถช่วยเหลือชีวิตของคุณหนูกู้ฮุ่ยหนิงออกมาจากกองเพลิงได้แต่คุณหนูกู้ฮุ่ยหมิงก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส
เพลิงไหม้จวนของท่านแม่ทัพกู้ผ่านไปไม่กี่วันข่าวลือเกี่ยวกับอาการบาดเจ็บของคุณหนูกู้ฮุ่ยหนิงบุตรสาวของท่านแม่ทัพกู้ตงหยางได้แพร่กระจายออกไปทั่วเมืองชายแดนทั้งใกล้และไกล บ่าวรับใช้ในจวนที่ได้พบเห็นใบหน้าของคุณหนูกู้ฮุ่ยหนิงต่างยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่าใบหน้าด้านขวาที่เคยงดงามของคุณหนูกู้ฮุ่ยหนิงถูกไฟไหม้จนเสียโฉมเกิดเป็นรอยแผลขนาดใหญ่
หลายวันผ่านไปข่าวลือว่าท่านแม่ทัพกู้และฮูหยินต่างทุกข์ใจกับรอยแผลเป็นที่ใบหน้าของบุตรสาวครอบครัวตระกูลกู้ส่งคนออกสืบเสาะหายาทาลบรอยแผลเป็นจากไฟไหม้มาให้บุตรสาวแต่ไร้ผล สุดท้ายจึงต้องส่งบุตรสาวไปรักษาตัวกับหมอเทวดาที่อยู่บนภูเขาห่างไกลออกไปหลายร้อยลี้เพื่อรักษาใบหน้าให้หายจากอาการบาดเจ็บเวลาผ่านไปนานจากวันเป็นเดือนจากเดือนเป็นปีข่าวบุตรสาวของท่านแม่ทัพกู้ก็ถูกกาลเวลาทำให้ผู้คนลืม
ถึงแม้จะไม่มีใครสามารถรู้ได้ว่าในยามนี้รอยแผลเป็นที่ใบหน้าของคุณหนูกู้ฮุ่ยหนิงจะหายสนิทหรือยัง แต่เมื่อเวลาผ่านไปหลายปีผู้คนก็ลืมเลือนเรื่องนี้ไปแล้วเพราะแต่ละครอบครัวต่างก็วุ่นวายทำงานหาเลี้ยงครอบครัวของตนเองจะมีใครมีเวลามานั่งคอยฟังข่าวของคุณหนูผู้ได้รับบาดเจ็บทุกวันกัน
“คุณหนูท่านยิ้มอะไรอยู่เจ้าค่ะ”
กู้ฮุ่ยหนิงเหลือบตามองอันฉีที่กำลังยกขนมเข้าให้ตนด้วยรอยยิ้มปีนี้อันฉีที่ติดตามนางมาหลายปีก็กลายเป็นหญิงสาวหน้าตาสวยงามคนหนึ่ง เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหกแค่พริบตาเดียววิญญาณของนางก็ย้อนกลับมาอยู่ร่างนี้ได้สี่ปีกว่าแล้วเหลือเวลาอีกไม่นานกู้ฮุ่ยหนิงจะต้องเดินทางกลับไปเมืองหลวงตามที่เคยเกิดขึ้นเมื่อชาติก่อน
“จดหมายจากเมืองหลวงหยงอันเขียนมาบอกว่ากงหวู่อันสอบได้อันดับสองได้รับแต่งตั้งตำแหน่งปั๋งเหยียน”
“ท่านหวู่อันช่างมีความสามารถยิ่งนัก”
“ใช่หวู่อันไม่ทำให้ข้าผิดหวัง ไม่เสียแรงที่ข้าสั่งให้หยงอันดูแลเขาอย่างดี”
“คุณหนูพูดเหมือนรู้ล่วงหน้าว่าท่านบัณฑิหวู่อันจะสอบได้ตำแหน่งปั๋งเหยียนเลยนะเจ้าค่ะ”
“เพ้อเจ้อ ใครจะสามารถรู้อนาคตได้ข้าแค่เห็นความพยายามในการอ่านตำราของเขาต่างหาก”
อันฉีพยักหน้าอย่างเห็นด้วยคุณหนูของนางไม่ใช้เทพเซียนจะสามารถรู้ล่วงหน้าได้อย่างไร อันฉีมองดูเจ้านายของนางด้วยแววตาชื่นชมนางรับใช้คุณหนูกู้ฮุ่ยหนิงมานานถึงสี่กว่าแล้วพบว่าคุณหนูเป็นหญิงสาวที่ฉลาดมาก ไม่ว่าเรื่องใดที่เกิดขึ้นขอเพียงคุณหนูของนางเป็นคนลงมือจัดการทุกเรื่องจะได้รับการแก้ไขทันทีแม้แต่คุณชายใหญ่ยังเคยเขียนจดหมายมาขอคำปรึกษาคุณหนูของนางเรื่องทำศึกกับพวกแคว้นเป่ยเหลียงอยู่บ่อยครั้ง
แถมวรยุทธ์ของคุณหนูก็เก่งกาจยิ่งนักเพียงไม่กี่ปีมีฝีมือก้าวหน้ากว่าคุณชายทั้งสองคนเสียอีกในเวลานี้อันฉีไม่ใช่คู่ต่อสู้ของคุณหนูกู้ฮุ่ยหนิงอีกต่อไปแล้วแม้แต่ใบหน้าก็มีความงดงามยิ่งนัก แต่อันฉีไม่เข้าใจว่าทำไมคุณหนูต้องให้คนแพร่ข่าวลือว่าตนเองใบหน้าเสียโฉมเป็นรอยแผลเป็นจากไฟไหม้ด้วยเล่านางไม่เข้าใจเลยจริง ๆ
“อันฉีเจ้าไปเก็บของได้แล้ว”
“เก็บทำไมกันเจ้าค่ะ คุณหนูจะให้ข้าไปไหน?”
อันฉีรู้สึกแปลกใจที่อยู่ ๆ ก็ถูกสั่งให้เก็บข้าวของ
“ข้าจะกลับจวนแม่ทัพแล้วเจ้าไปเก็บของเถอะ”
“ทำไมอยู่ ๆ คุณหนูถึงอยากจะกลับจวนละเจ้าค่ะ”
กู้ฮุ่ยหนิงไม่ได้ตอบคำถามของบ่าวรับใช้แต่กลับก้มอ่านหนังสือที่อยู่ในมือต่อไปอย่างไม่สนใจ
อันฉียู่ปากอย่างขัดใจก่อนที่จะยอมกลับออกไปเตรียมเก็บข้าวของตามคำสั่งของผู้เป็นเจ้านาย คุณหนูของนางแม้อายุจะเพียงแค่สิบสี่ปีแต่ทำตัวเหมือนคนผ่านโลกมานานหลายสิบปีไม่ยินดียินร้ายกับเรื่องราวต่าง ๆ คนที่สามารถทำให้คุณหนูกู้ฮุ่ยหมิงยิ้มได้ก็มีเพียงคนในครอบครัวเท่านั้น
ร่างบางของหญิงสาววัยสิบสี่ปีมองตาหลังของสาวใช้คนสนิทด้วยแววตาขบขันอันฉีอายุมากกว่านางหลายปีแต่กลับมีนิสัยเหมือนเด็กทำอะไรไม่รู้จักโตเรื่องนี้จะโทษอันฉีก็ไม่ได้เพราะหญิงสาววัยนี้แท้จริงควรจะมีอารมณ์ความรู้สึกเหมือนอันฉี
ชาติก่อนกู้ฮุ่ยหนิงก็มีอารมณ์ความรู้สึกเหมือนดังเช่นหญิงสาวทั่วไปเช่นนี้แต่ในยามนี้แม้ร่างกายของกู้ฮุ่ยหนิงจะเป็นเพียงหญิงสาวอายุสิบสี่ปีแต่แท้จริงวิญญาณของนางมีอายุหลายพันปีจะให้มีอารมณ์ความรู้สึกเหมือนดังดอกไม้แรกแย้มเช่นชีวิตก่อนก็ไม่ได้เสียแล้ว
ภายในหุบเขาที่กู้ฮุ่ยหนิงอาศัยอยู่ถูกสร้างให้เป็นฐานทัพเพื่อฝึกฝนองครักษ์ส่วนตัวของตนเอง กู้ฮุ่ยหนิงนำประสบการณ์ที่เคยฝึกเมื่อชาติก่อนมาฝึกให้กับองครักษ์สามร้อยคนทุกคนเคยเป็นทหารภายใต้คำสั่งของพี่ใหญ่ของนาง แต่กู้ฮู่ยหมิงได้เลือกคนที่มีฝีมือและความสามารถแยกมาฝึกต่างหากทหารทุกคนที่นางเลือกมาล้วนเป็นคนที่ไม่มีครอบครัว กู้ฮุ่ยหนิงให้สัญญากับทุกคนที่เลือกติดตามนางว่าจะให้พวกเขาอยู่ดีกินดีไม่มีวันอดและไม่ทอดทิ้งใครไว้ข้างหลัง ดังนั้นหน่วยกล้าตายทั้งสามร้อยคนจึงเต็มใจมอบความซื่อสัตย์และภักดีให้กับคุณหนูกู้ฮุ่ยหนิง
ปลายนิ้วเรียวสวยลูไล้หยกเนื้อดีที่อยู่ในมือไปมาอย่างใช้ความคิดต้องขอบคุณชินอ๋องที่ได้มอบหยกชิ้นนี้ให้กับกู้ฮุ่ยหนิงเมื่อสี่ปีก่อนในตอนที่นางช่วยชีวิตของเขาไว้ เพราะความลับภายในหยกชิ้นนี้ถึงทำให้สามารถฝึกฝนองครักษ์ให้เป็นยอดฝีมือขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว
เรื่องนี้ต้องย้อนไปเมื่อสามปีก่อนช่วงฤดูร้อนเพราะอากาศที่ร้อนอบอ้าวทำให้ร่างกายกู้ฮุ่ยหนิงทนไม่ไหวจึงทำให้เลือดกำเดาไหลออก
จากจมูกมากมาย วันนั้นอันฉีตกใจจนทำอะไรไม่ถูกด้วยความรีบร้อนจึงไปรื้อกล่องยาของกู้ฮุ่ยหนิงออกมา
“คุณหนูนี้หยกของผู้ใดกันเจ้าค่ะ”
อันฉีที่กำลังรื้อกล่องยากล่องเล็กกลับเจอหยกแขวนอยู่ภายในกล่องยาของกู้ฮุ่ยหมิงจึงได้นำออกมา
“ของข้าเองข้าคงจะลืมไว้นานแล้ว”
กู้ฮุ่ยหนิงรับเอาหยกที่อยู่ภายในมือของอันฉีมาเก็บไว้อย่างรวดเร็ว ตั้งแต่ปีก่อนที่นางได้ช่วยชีวิตชินอ๋องไว้นางก็ลืมเรื่องหยกที่อีกฝ่ายได้มอบไว้ให้ไปเสียสนิท เมื่อวันที่จะเดินทางกลับจวนตนเองได้นำหยกใส่ไว้ในกล่องยาเพื่อไม่ให้พี่ชายสังเกตเห็นนับตั้งแต่วันนั้นมากู้ฮุ่ยหนิงก็ไม่เคยเปิดกล่องยาอีกเลย ถ้าวันนี้ไม่ใช่เพราะอันฉีต้องการหายามาให้นางกู้ฮุ่ยหนิงก็คงจะไม่ได้เห็นหยกชิ้นนี้อีก
“คุณหนู!!! เลือดกำเดาของท่านไหลอีกแล้ว”
อันฉีอุทานด้วยความตกใจเมื่อเห็นว่าจมูกของคุณหนูของนางมีเลือดไหลออกมาอีกแล้ว กู้ฮุ่ยหนิงรู้สึกตัวช้าไปจึงทำให้เลือดกำเดาของนางหยดลงโดนหยกที่ถืออยู่ในมืออย่างไม่ตั้งใจ
“คุณหนู!!!”
“ข้าไม่เป็นอะไรไปเอาน้ำเย็น ๆ มาให้ข้าล้างหน้าก็พอ”
“เจ้าค่ะ”
อันฉีรีบร้อนเดินออกจากเรือนไปเพื่อไปตักน้ำทันที
กู้ฮุ่ยหนิงนอนหงายอยู่บนเตียงนอนพร้อมกับยกหยกที่อยู่ในมือขึ้นมองอย่างพิจารณา ในคืนที่ได้รับหยกจากชินอ๋องเพราะฟ้ายังไม่ทันสว่างนางจึงมองไม่เห็นลวดลายที่แกะสลักบนหยกชิ้นนี้ แต่พอยามสายมีชาวบ้านจำนวนมากนำต้นสมุนไพรมาขายกู้ฮุ่ยหนิงจึงรีบร้อนเก็บหยกไว้ในกล่องยาพอผ่านไปนานหลายวันนางจึงลืมเรื่องหยกนี้ไป