ภายในเมืองเสียนหยางตลอดสองเดือนที่ผ่านมาชาวบ้านต่างมีความสุขเมื่อสามารถมีรายได้จากการขายหญ้าป่า ชาวบ้านบอกกันปากต่อปากว่าคุณชายรองกู้หวังจิ้นรับซื้อหญ้าป่าในราคาจินละสามอีแปะ หมู่บ้านที่อยู่ห่างไกลจะมีคนจากจวนตระกูลกู้ออกไปรับซื้อถึงหมู่บ้าน แต่ถ้ามีใครต้องการจะนำเข้ามาขายที่ในเมืองเสียนหยางก็สามารถเอามาขายได้ที่จวนตระกูลกู้
ตลอดสองเดือนที่ผ่านมาทำให้ชาวบ้านมีรายได้ไม่ต่ำกว่าครอบครัวละสามถึงห้าตำลึงเงินตระกูลใหญ่ที่มีฐานะร่ำรวยอาจจะมองว่าเงินห้าตำลึงเป็นเงินจำนวนน้อยนิด แต่สำหรับชาวบ้านที่มีรายได้เดือนหนึ่งไม่ถึงหนึ่งตำลึงกลับมองว่ามันเป็นเงินจำนวนมากสำหรับพวกเขา
พอเข้าเดือนที่สามกู้ฮุ่ยหนิงสั่งให้เฉินชุนและเฉินฉือที่มีหน้าที่ออกไปรับซื้อสมุนไพรชิงเฮาตามหมู่บ้านบอกกับชาวบ้านว่า ตระกูลกู้จะรับซื้อสมุนไพรพวกนี้จนถึงเดือนเจ็ดเท่านั้น เมื่อฝนเริ่มตกลงมาทางตระกู้กูลจะไม่รับซื้อสมุนพวกนี้อีกแล้วและจะรับซื้ออีกครั้งเมื่อถึงฤดูร้อนปีหน้า
ชาวบ้านที่ได้ยินข่าวก็รีบเร่งขึ้นไปบนภูเขาเพื่อเก็บสมุนไพรมาขายให้ตระกูลกู้เป็นจำนวนมาก เพราะชาวบ้านกลัวว่าเมื่อถึงฤดูฝนจะไม่สามารถนำหญ้าพวกนี้มาขายได้อีกครอบครัวตนเองจะขาดรายได้ ดังนั้นจึงต้องรีบไปเก็บมาขายให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเก็บมาได้
ภายในจวนแม่ทัพกู้ตงหยางที่อยู่เมืองเสียนหยางกู้ฮุ่ยหนิงได้ขอร้องให้พี่ใหญ่สั่งให้ทหารมาสร้างโกดังเก็บสมุนไพรให้นางอย่างดีบริเวณลานบ้านที่เคยว่างเปล่าถูกใช้เป็นที่ตากสมุนชิงเฮาเต็มไปหมด เพราะแดดของฤดูร้อนที่เมืองเสียนหยางนั้นร้อนมากกู้ฮุ่ยหนิจึงสั่งให้บ่าวรับใช้นำสมุนไพรที่รับซื้อมาตากแดดไว้ที่ลานหน้าเรือนตากแดดไว้จนต้นชิงเฮาแห้งสนิทจึงให้นำไปเก็บไว้ภายในโกดังที่พี่ชายคนโตสร้างไว้ให้
กู้ฮุ่ยหนิงจัดการสิ่งต่าง ๆ ทั้งหมดภายใต้ชื่อขอกู้หวังจิ้งพี่ชายคนรองดังนั้นภายในจวนแม่ทัพกู้ตงหยาง และชาวเมืองเสียนหยางทุกคนต่างก็รับรู้ว่าทุกอย่างเป็นการสั่งการของคุณชายรองตระกูลกู้ มีเพียงคนที่ไว้ใจได้เท่านั้นที่รู้ว่าสิ่งนี้เป็นความคิดของคุณหนูกู้ฮุ่ยหมิง
ภายในห้องหนังสือตัวอักษรที่ถูกเขียนบนกระดาษปรากฏขึ้นตามมือที่ตวัดพู่กัน ตัวอักษรมีความหนักแน่นและอิสระเหมือนดังว่าเจ้าของตัวอักษรหล่านี้ผ่านร้อนผ่านหนาวมายาวนานหลายสิบปี แต่ผู้ที่เขียนอักษรเหล่านี้กลับเป็นเพียงเด็กผู้หญิงอายุสิบขวบเท่านั้น
“คุณหนูเรือนที่คุณหนูสั่งให้หาซื้อไว้เฉินฉือได้ซื้อเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ”
“ดี หยงอันส่งข่าวมาหรือยัง?”
“นี้เป็นจดหมายจากหยงอันเจ้าค่ะ”
กู้ฮุ่ยหนิงรับเอาจดหมายจากอันฉีมาเปิดอ่าน ก่อนที่จะยกยิ้มอย่างยินดี เรื่องที่นางสั่งให้หยงอันไปจัดการที่เมืองฟูอันเสร็จเรียบร้อยแล้ว เท่านี้ทุกอย่างที่เตรียมไว้ก็รอเพียงเวลาเท่านั้นหลังจากฤดูฝนผ่านไปกู้ฮุ่ยหมิงจะมีเงินจำนวนมากสำหรับนำไปลงทุนเปิดกิจการที่เมืองหลวง
“คุณหนูเรือนที่พวกเราซื้อไว้คุณหนูจะใช้ทำอะไรหรือเจ้าค่ะ?”
อันฉีถามด้วยความสงสัยอยู่ ๆ คุณหนูของนางก็บอกให้หาซื้อเรือนข้างนอกไว้อันฉีอยากจะรู้ว่าคุณหนูต้องการจะเอาไว้ทำอะไรวันนี้เพิ่งมีโอกาสได้ถาม
“ข้าจะเปิดสำนักศึกษาให้เด็ก ๆ”
“เปิดสำนักศึกษาจะเป็นไปได้อย่างไรกันเจ้าค่ะคุณหนู”
คุณหนูของนางคิดอะไรอยู่เปิดสำนักศึกษาไม่ใช่เรื่องที่เด็กอายุสิบขวบเช่นคุณหนูกู้ฮุ่ยหมิงจะสามารถทำได้ มันต้องใช้เงินจำนวนมากเพื่อจ้างบัณฑิตที่มีความรู้มาเป็นอาจารย์ที่สำนักศึกษา และพวกบัณฑิตที่ร่างกายอ่อนแอพวกนั้นก็ใช่ว่าจะยอมง่าย ๆ มีความสามารถแค่ท่องบทกลอนได้เล็กน้อยแต่ก็ทำตัวสูงส่งเหมือนตัวเองมากความสามารถที่สุดในโลก
“ข้ารู้แต่เรื่องนี้ตระกูลกู้ไม่สามารถออกหน้าได้ ดังนั้นจึงต้องให้เถ้าแก่ร้านน้ำชาออกหน้าแทนข้า”
“เช่นนั้นข้าจะไปแจ้งให้พวกบ่าวเตรียมรถม้าให้คุณหนูเจ้าค่ะ”
กู้ฮุ่ยหนิงมองตามหลังของอันฉีไปจนลับสายตา อันฉีเป็นเด็กกำพร้าที่มารดาของนางรับมาเลี้ยงไว้ที่จวนแม่ทัพเมื่อหลายปีก่อน ดังนั้นมารดาของกู้ฮุ่ยหนิงจึงรักและเอ็นดูอันฉีเหมือนดังเป็นคนในครอบครัว
ชีวิตก่อนนางไม่เข้าใจในสิ่งที่มารดาทำเอาแต่อิจฉาอันฉีที่ถูกมารดาเลี้ยงมาจนเติบโต กู้ฮุ่ยหนิงในเวลานั้นน้อยใจมารดาที่รับเอาลูกคนอื่นมาเลี้ยงแต่ทอดทิ้งนางให้อยู่กับท่านย่าที่จวนตระกูลกู้ในเมืองหลวงอย่างไม่สนใจไยดี ทำให้นางถูกอาสะใภ้บ้านรองและอาสะใภ้สามกลั่นแกล้งรังแกอยู่ที่จวนตระกูลกู้ท่านย่าก็ไม่เคยให้ความสนใจเลยว่าบ่าวในจวนจะรังแกกู้ฮุ่ยหนิงเช่นใด
ก่อนที่จะส่งกู้ฮุ่ยหนิงเดินทางมาที่เมืองชายแดนแห่งนี้อาสะใภ้รองให้เหตุผลว่า บิดา มารดาของนางต้องการให้กู้ฮุ่ยหนิงเดินทางมาอยู่เมืองชายแดนเพื่อครอบครัวจะได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน
อาสะใภ้รองและอาสะใภ้สามรวมถึงท่านย่าจึงจำใจต้องส่งนางมาตามคำสั่งของท่านพ่อแต่ความจริงแล้วอาสะใภ้รองต้องการให้กู้ฮุ่ยหมิงออกจากจวนตระกูลกู้เพื่อบุตรสาวของอาสะใภ้รองเอง เพื่อบุตรสาวของตนจะได้มีตระกูลใหญ่ในเมืองหลวงส่งแม่สื่อมาสู่ขอหมั้นหมายแต่งงานด้วยโดยที่ไม่มีกู้ฮุ่ยหนิงเป็นตัวขัดขวาง
ถ้ากู้ฮุ่ยหมิงซึ่งเป็นบุตรสาวของลูกชายคนโตยังอยู่ในจวนตระกูลต่อไป กู้หลี่หลินที่เป็นบุตรสาวของบ้านรองจะเป็นได้เพียงคุณหนูบ้านรองของตระกูลกู้เพราะตำแหน่งของคุณหนูใหญ่ตระกูลกู้จะเป็นของกู้ฮุ่ยหนิง อย่ามองว่าคุณหนูใหญ่คุณหนูรองเป็นเพียงแค่คำเรียกขานเท่านั้นในยุคนี้ที่ให้ความสำคัญกับลำดับขั้นทำให้บ้านใหญ่บ้านรองมีความแตกต่างกันเป็นอย่างมาก
กู้ตงหยางเป็นบุตรชายคนโตของตระกูลที่เกิดจากฮูหยินเอกเมื่อเป็นเช่นนี้กู้ฮุ่ยหนิงที่เป็นบุตรสาวของกู้ตงหยางเกิดมาจึงมีตำแหน่งเป็นคุณหนูใหญ่ของจวนตระกูลกู้ ทำให้อาสะใภ้รองไม่พอใจเป็นอย่างมากจึงได้คิดหาวิธีส่งกู้ฮุ่ยหนิงออกจากจวนตระกูลมาที่เมืองเสียนหยางที่ไกลถึงชายแดนจนสำเร็จ
“คุณหนูถึงร้านน้ำชาแล้วเจ้าค่ะ”
กู้ฮุ่ยหนิงลงจากรถม้าเดินเข้าไปภายในร้านน้ำชาที่กำลังเป็นที่นิยมของคนในเมืองเสียนหยางในเวลานี้ ภายในร้านถูกตกแต่งอย่างสวยงามและแปลกตา
กู้ฮุ่ยหนิงให้ช่างตกแต่งร้านน้ำชาของนางให้คล้ายกับร้านคาเฟ่ของยุคอนาคตที่นางเคยไปเกิดเมื่อชาติก่อน ทำให้ดูแปลกตาและเป็นที่สนใจของผู้คนที่เดินทางไปมาและพวกคุณหนูลูกเศรษฐีพ่อค้าที่มีฐานะร่ำรวย
ด้านหน้าของอาคารถูกออกแบบให้กลายเป็นร้านน้ำชา ส่วนอาคารด้านหลังที่มีขนาดสองชั้นกลับสร้างเป็นโรงเตี้ยมเอาไว้ให้ผู้คนที่เดินทางมาค้าขายที่เมืองเสียนหยางได้เข้าพักค้างแรม
ครึ่งปีที่ผ่านมากิจการร้านน้ำชาซิงไถเป็นที่กล่าวถึงเป็นอย่างมากทั้งความอร่อยของอาหารและความแปลกใหม่ของขนมที่ทำออกมาขาย ทั้งห้องพักที่ตกแต่งอย่างสวยงามสิ่งเหล่านี้สามารถดึงดูดลูกค้าให้แวะเวียนกลับมาพักที่ร้านน้ำชาซิงไถหลายครั้ง
“คุณหนูดื่มชาเจ้าค่ะ”
ภายในห้องรับรองส่วนตัวของร้านน้ำชาซิงไถหากมีใครเข้ามาพบเห็นภาพที่เถ้าแก่ร้านอย่างผิงฉวนรินน้ำชาให้เด็กน้อยวัยสิบขวบอย่างเคารพจะต้องแปลกใจเป็นอย่างมาก
“ผิงฉวนส่งคนไปที่หมู่บ้านสือเฉิงทางทิศตะวันออกที่อยู่ห่างจากเมืองเสียนหยางไปประมาณสามสิบลี้ ให้พวกเขาไปเชิญบัณฑิตแซ่กงนามหวู่อันมาเป็นอาจารย์ที่สำนักศึกษาของเจ้า”
“เจ้าค่ะคุณหนู”
“หาคนที่ไว้ใจได้ไปดูแลจวนที่ข้าซื้อไว้ ให้พวกเขาทำความสะอาดและตกแต่งตามแบบที่ข้าวาดไว้ หลังจากหมดฤดูฝนให้เปิดสำนักศึกษาทันที”
“คุณหนูจะให้ตั้งชื่อสำนักศึกษาว่าอะไรดีเจ้าค่ะ”
“สำนักศึกษาต๋าเฉินชุน”
กู้ฮุ่ยหมิงที่กำลังยกถ้วยชาขึ้นดื่มพึมพำชื่อที่คิดออกมา ต๋าเฉินชุนเป็นชื่อของอาจารย์ที่เคยสอนวิชาแพทย์แผนจีนให้กับกู้ฮุ่ยหมิงเมื่อชาติก่อน อาจารย์เฉินชุนเป็นคนดีมีเมตตามากท่านช่วยเหลือผู้คนด้วยความกรุณาไม่ต้องการสิ่งตอบแทนใด ๆ น่าเสียดายที่คนดีมักจะอายุสั้น กู้ฮุ่ยหนิงนำชื่อของท่านมาตั้งเป็นชื่อสำนักศึกษาเพื่อเป็นการระลึกถึงความเมตตาที่ท่านเคยมีให้กับตนเองเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว