ร่างไร้ลมหายใจของกู้ฮุ่ยหนิงถูกม้วนด้วยเสื่อหนึ่งผืนก่อนที่จะถูกชายสองคนแบกขึ้นบ่าแล้วนำไปโยนขึ้นบนรถม้าคันเก่า คันหนึ่งที่ไม่เป็นที่สะดุดตาก่อนที่คนขับรถ้ม้าจะบังคับม้าขับมุ่งหน้าไปยังสุสานไร้ญาติบนหุบเขาที่อยู่ไกลออกไป
วิญญาณของหญิงสาวที่เพิ่งหมดลมหายใจจ้องมองดูรถม้าที่นำร่างของตนไปจนลับสายตาด้วยแววตาที่โกรธแค้น บัดนี้เมื่อร่างกายที่มีเลือดเนื้อได้หมดลมหายใจไปด้วยความไม่ยินยอมทำให้วิญญาณของกู้ฮุ่ยหนิงเฝ้าติดตามจ้าวลู่เหวินด้วยความเกลียดชังและต้องการจะล้างแค้น
แต่ไม่ว่านางจะทำเช่นไรวิญญาณของกู้ฮุ่ยหนิงก็ทำได้เพียงแค่ทะลุผ่านร่างกายของจ้าวลู่เหวินไปเท่านั้น วิญญาณที่ไร้ร่างกายของกู้ฮุ่ยหนิงทะลุผ่านกายของจ้าวลู่เหวินไปมาไม่ว่านางจะพยายามคว้าจับอย่างไรก็จับได้เพียงความว่างเปล่าไม่สามารถสัมผัสอีกฝ่ายได้แม้แต่ปลายเส้นผม
เมื่อถึงยามเช้าวิญญาณของฮุ่ยหนิงติดตามจ่าวลู่เหวินไปยังลานประหาร ทำให้ได้เห็นบิดาและมารดาของตนที่อยู่ในชุดผ้าฝ้ายเก่า ๆ ของนักโทษประหาร รวมถึงคนรับใช้ภายในตระกูลกู้ที่ถูกจับมาทั้งหมด
“ไม่นะ!! จ้าวลู่เหวิน!! แก จะทำเช่นนี้กับครอบครัวข้าไม่ได้นะ!!”
ไม่ว่าวิญญาณของกู้ฮุ่ยหนิงจะร้องตะโกนเสียงดังด้วยความไม่พอใจเช่นไร ร่างสูงขององค์ชายสี่จ้าวลู่เหวินที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัดสินของเจ้าหน้าที่ศาลข้างลานประหารก็ไม่ได้รับรู้ถึงการมีอยู่ของวิญญาณกู้ฮุ่ยหนิงเลยสักนิด
“ท่านพ่อ ท่านแม่ลูกขอโทษ ลูกอกตัญญูยิ่งนักถึงได้พาหมาป่าตาขาวตัวนี้เข้ามากัดกินคนในเรือนของเรา”
วิญญาณของกู้ฮุ่ยหนิงคุกเข่าร้องไห้ต่อหน้าบิดาของตนอย่างเศร้าเสียใจ ไม่ว่านางจะทำเช่นไรก็ไม่สามารถแตะต้องหรือห้ามปรามจ้าวลู่เหวินได้เลยไม่ว่าจะพยายามอย่างไรสิ่งที่ได้ก็ยังคงเหมือนเดิมคือความว่างเปล่า ในเวลานี้นางเป็นเพียงอากาศธาตุที่ไม่สามารถช่วยเหลือคนในครอบครัวของตนเองได้สิ่งที่ทำได้มีเพียงแค่เฝ้ามองดูคนในตระกูลกู้ที่ประหารชีวิตไปทีละคนต่อหน้าต่อตา
เมื่อเห็นบิดาและมารดาถูกดาบประหารในมือของเพชฌฆาตตัดคอทำให้วิญญาณของกู้ฮุ้ยหนิงกรีดร้องด้วยความเสียใจไม่ว่านางจะพยายามแค่ไหนก็ไม่อาจจะห้ามดาบที่ถูกยกขึ้นและตวัดตัดคอของบิดามารดาได้
“ม๊ายยยย!!!! ท่านพ่อ!! ท่านแม่!! จ้าวลู่เหวินข้ากู้ฮุ่ยหนิงขอสาปแช่งเจ้าขอให้เจ้าไม่ได้ตายดี”
เสียงกรีดร้องโหยหวนของวิญญาณกู้ฮุ่ยหนิงดังก้องไปทั่วลานประหาร แต่อนิจจาผู้คนมากมายที่มายืนมองดูการประหารนักโทษกบฏอย่างเนืองแน่นในเวลานี้ กลับไม่มีผู้ใดสามารถได้ยินเสียงร่ำไห้อย่างเศร้าโศกเสียใจของวิญญาณกู้ฮุ่ยหนิงเลยสักคน
คนแล้วคนเล่าที่คนในจวนของอดีตแม่ทัพกู้ตงหยางถูกนำขึ้นไปบนลานประหารเลือดของคนที่ถูกตัดหัวไหลเจิ่งนองเหมือนดังสายน้ำ สีแดงของเลือดสะท้อนแสงแดดเป็นประกายแลดูน่ากลัวผู้คนที่มายืนดูการลงโทษประหารชีวิตของกบฏต่างก็เบือนหน้าหนีและแยกย้ายกันจากไปเพราะทนเห็นภาพที่น่าหวาดกลัวเช่นนี้ไม่ไหว จนกระทั่งเวลาผ่านไปเกือบหนึ่งชั่วยามคนในจวนของอดีตแม่ทัพตระกูลกู้ไม่มีใครมีชีวิตรอดเลยสักคน
วิญญาณของกู้ฮุ่ยหนิงนั่งเฝ้าศพของบิดามารดาตนเองด้วยความโศกเศร้าเสียใจ
“เป็นเพราะข้า ข้าทำให้ท่านพ่อ ท่านแม่ต้องตาย ทำให้ทุกคนในตระกูลกู้ต้องถูกประหารชีวิต”
วิญญาณของกู้ฮุ่ยหนิงร่ำไห้อย่างเสียใจ ภาพของคนในตระกูลกู้ถูกดาบของเพชฌฆาตตวัดตัดลำคอทีละคน ๆ ยังคงเป็นภาพติดตาของกู้ฮุ่ยหนิง
เสียงบ่นพึมพำของวิญญาณหญิงสาวดังวนเวียนพูดคำเดิมช้ำ ๆ กลับไปกลับมาเหมือนดังคนเสียสติ
"เป็นเพราะข้าจึงทำให้ท่านพ่อท่านแม่ต้องมาพบชะตากรรมเช่นนี้ เพราะความเอาแต่ใจของข้าจึงทำให้จวนของอดีตแม่ทัพที่กล้าหาญต้องถูกใส่ร้ายจนสิ้นชื่อ"
ท่านพ่อของข้าเป็นถึงแม่ทัพพิทักษ์ชายแดนตลอดครึ่งชีวิตที่ผ่านมาทำศึกเพื่อแผ่นดินอย่างกล้าหาญ แต่สุดท้ายต้องมาจบชีวิตด้วยข้อหากบฏทำให้ชื่อเสียงมีมลทินไปตราบนานเท่านานให้คนรุ่นหลังสาปแช่งช่างเป็นเรื่องที่อัปยศอดสู่ยิ่งนัก
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่เมื่อถึงยามค่ำคืนดึกสงัดวิญญาณของกู้ฮุ่ยหนิงที่กำลังนั่งเฝ้าร่างไร้วิญญาณของคนตระกูลกู้บนภูเขาที่ห่างไกล จึงได้เห็นเกวียนมุ่งหน้ามาที่สุสานไร้ญาติไม่นานพวกเขาเหล่านั้นก็นำร่างไร่วิญญาณของบิดาและมารดาของนางไป ทำให้วิญญาณของกู้ฮุ่ยหนิงลอยตามเกวียนที่บรรทุกศพของบิดามารดาของตนไป ไม่รู้ว่าเป็นใครที่เป็นผู้ต้องการจัดการกับศพของคนตระกูลกู้
“ชินอ๋องศพของท่านแม่ทัพกู้และฮูหยินกู้ถูกใส่ไว้ในโลงฝั่งคู่กันเสร็จเรียบร้อยแล้วขอรับ”
“ศพของคุณหนู่ใหญ่กู้ฮุ่ยหนิงเล่า”
“ถูกนำไปฝั่งไว้ข้าง ๆ ที่หลุมฝังศพของพี่ชายทั้งสองของนางแล้วขอรับ”
“อืมม”
คนที่ยืนอยู่ตอบรับเพียงแผ่วเบาก่อนที่จะโบกมือให้องครักษ์ของตนเอง องครักษ์ถอยออกไปยืนเฝ้าระวังความปลอดภัยอยู่ห่างออกไปอย่างรู้หน้าที่
ร่างสูงเงยหน้าขึ้นมองดูก้อนเมฆบนท้องฟ้าที่กำลังบดบังดวงจันทร์ก่อนที่จะถอนหายใจออกมาแผ่วเบา
“เสียดายที่ท่านแม่ทัพกู้ต้องมีชะตากรรมเช่นนี้จะโทษใครได้ถ้าไม่โทษบุตรสาวของเขาที่โง่เง่ายอมเป็นหมากให้คนชั่วหยิบใช้”
หนึ่งในสองคนที่ยืนอยู่เงียบ ๆ อดไม่ได้จึงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูแล้วมีความเศร้าและความอาลัยเจือปนความเวทนาอยู่ในนั้น
“อืม”
ร่างสูงของชายหนุ่มอีกคนได้แต่พยักหน้ายอมรับกับคำพูดของอีกฝ่าย
วิญญาณของกู้ฮุ่ยหนิงจ้องมองดูชายหนุ่มทั้งสองคนที่กำลังยืนคู่กันด้วยดวงตาเบิกกว้าง นางจำได้ว่าชายหนุ่มที่ใส่ชุดตัดเย็บด้วยผ้าไหมอย่างดีสีน้ำเงินเข้มนั้นคือชินอ๋องจ้าวเฟยฉี
ชินอ๋องจ้าวเฟยฉีมีตำแหน่งเป็นถึงพระอนุชาของโอรสสวรรค์ผู้ที่ครองบัลลังก์มังกรอยู่ในเวลานี้ ตัวนางและองค์ชายสี่ผู้เป็นสามีพบเจอชินอ๋องยังต้องทำความเคารพและเรียกขานอีกฝ่ายว่าเสด็จอาอย่างนอบน้อมเหมือนเข้าพบฮ่องเต้
ชินอ๋องติดตามท่านแม่ทัพใหญ่ที่เป็นญาติทางฝ่ายมารดาไปอยู่ที่เมืองชายแดนตั้งแต่อายุได้สิบขวบ อายุสิบหกปีนำกำลังทหารออกทำศึกกับเผ่าแดนเถื่อนที่อยู่นอกแคว้นได้รับชัยชนะกลับมาพวกศัตรูที่อยู่นอกแคว้นต่างหวาดกลัวชินอ๋องเป็นอย่างมาก
อายุยี่สิบกว่าปีได้รับฉายาว่าแม่ทัพปีศาจสามารถบัญชากองทัพรบชนะชนเผ่ารอบนอกแคว้นได้ ทำให้ฮ่องเต้พอพระทัยมาจึงได้แต่งตั้งเป็นแม่ทัพพิทักษ์แผ่นดิน อยู่รักษาเมืองชายแดนจนกระทั่งอายุได้ยี่สิบสี่ปีจึงได้เดินทางกลับเข้ามาที่เมืองหลวง เพราะสงครามสงบพวกชนเผ่าใกล้ไกลต่างก็ส่งทูตมาขอเชื่อมสัมพันธไมตรีกับแคว้นจ้าวเพราะหวาดกลัวความโหดเหี้ยมของแม่ทัพปีศาจ
กู้ฮุ่ยหนิงเคยได้ยินเรื่องเล่าลือว่าก่อนที่ชินอ๋องจะเดินทางไปอยู่ที่กองทัพชายแดนกับท่านตาของเขานั้น ได้เกิดเหตุการณ์ไฟไหม้ที่ตำหนักฤดูร้อนภายในพระราชวัง ชินอ๋องในเวลานั้นอายุเพียงแปดเก้าปีได้เสี่ยงอันตรายเข้าไปช่วยชีวิตขององค์รัชทายาทที่กำลังติดอยู่ภายในกองเพลิงในเวลานั้นองค์รัชทายาทมีอายุเพียงห้าขวบ ในเหตุการณ์นั้นจึงทำให้ใบหน้าของชินอ๋องถูกไฟไหม้และเป็นรอยแผลเป็นที่น่าเกลียดอย่างมากต้องสวมหน้ากากปกปิดรอยแผลเป็นตลอดเวลา
กู้ฮุ่ยหนิงแต่งงานกับองค์ชายสี่จ้าวลู่เหวินหลายปีแต่เคยพบเจอชินอ๋องที่วังหลวงนับครั้งได้ ทุกครั้งที่พบเห็นได้แต่มองอีกฝ่ายอยู่ไกล ๆ เพราะเป็นงานเลี้ยงภายในวังหลวงมีผู้คนมากมายและบรรยากาศรอบ ๆ ตัวของชินอ๋องนั้นแลดูน่าหวาดกลัวจึงทำให้ไม่มีใครอยากเข้าไปอยู่ใกล้
ส่วนคนที่กำลังยืนสนทนาอยู่กับชินอ๋องในยามนี้ก็คือป๋อหลินที่ปรึกษาขององค์ชายใหญ่อดีตองค์รัชทายาทที่ถูกปลดไปแล้ว กู้ฮุ้ยหนิงมองคนทั้งสองด้วยความงุนงงทำไมทั้งสองคนถึงได้มาอยู่ด้วยกันสายข่าวของจ้าวลู่เหวินไม่เคยรายงานเลยว่าชินอ๋องและป๋อหลินรู้จักกันมาก่อน
“องค์ชายสี่จ้าวลู่เหวินเพิ่งได้รับแต่งตั้งเป็นองค์รัชทายาทได้ไม่นานทำไมถึงได้รีบร้อนรื้อสะพานทิ้ง?”
ป๋อหลินถามคนที่ยืนอยู่ข้างตนด้วยความสงสัย