เมืองเซบีช (sea beach)
เมืองเซบีชเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือไม่ถึงขั้นว่ามีฤดูหนาวตลอดทั้งปี ที่นี่มีทั้งหมดสามฤดู คือ ฤดูหนาว ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูใบไม้ร่วง จริง ๆ แล้วบนโลกนี้ทุกที่มีทั้งหมดสี่ฤดูทุกที่ ยกเว้นบางที่มีเพียงแค่สามหรือสองฤดูบางที่ก็แค่หนึ่งฤดูเท่านั้น เพราะเหตุผลบางอย่าง
เมืองซีบีชติดกับทะเลน่านน้ำในอาณาเขตแห่งหนึ่ง ตามแผ่นที่เมืองนี้เป็นหนึ่งในเมืองที่มีขนาดเล็กถึงเล็กที่สุดแต่สำหรับผู้คนในเมืองมันกว้างใหญ่พอสมควร ก่อนที่จะมีการปฏิวัติครั้งใหญ่เกิดขึ้นเมืองนี้เป็นหนึ่งให้เมืองที่ไม่เจริญสักเท่าไหร่เพราะหลังมีสงครามและโลกระบาดเกิดขึ้นตอนนั้นเป็นช่วงปีสองพันหกสิบถ้าให้เทียบตอนนั้นถือเป็นเมืองที่เจริญแล้วน่ะแหละ แต่เพราะความโลภที่อยากจะมีสิ่งอำนวยความสะดวกไว้ใช้ในเมืองของตนทำให้เกิดสงครามแย่งชิงความเป็นใหญ่จนสุดท้ายคนที่ล้มตายก็เป็นคนทั่วไปที่ไม่เกี่ยวข้องด้วยซ้ำ
วันเวลาผ่านไปยี่สิบปีทุกอย่างเริ่มเข้าที่ข้างทางแต่ไม่ดีพอที่จะปรับปรุงเมืองใหม่ด้วยระบบการปกครองอย่าง
‘ประธานาธิบดี’
การคอลลับชั่นที่เยอะขึ้น สงครามที่จะประทุได้ทุกเมื่อทำให้ผู้คนในเมืองอยากให้คนที่ขึ้นรับตำแหน่งซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายจะได้ไม่เกิดสงครามอีกอย่างว่า ที่บอกไปเพราะคนที่ตายไม่ใช่พวกเขา แต่ก่อนที่สงครามจะสงบได้มีโครงการให้เริ่มสร้างหุ่นยนต์ในปีสองพันแปดสิบสี่เพื่อความสะดวกสบายของมนุษย์แต่ผลไม่เป็นดังที่คาดเมื่อหุ่นยนต์เริ่มไม่ทำตามคำสั่งมีมากขึ้นทุกวันพวกเขาไม่มีทางเลือกเพราะไม่งั้นได้กลับไปในช่วงสงครามอีกเป็นแน่พวกเขาสั่งให้กำจัดหุ่นยนต์ทั้งหมดก่อนที่จะเกิดภัยที่จะตามมาแล้วหันไปสร้างแอนดรอยต์แทนซื่งได้ผลดีเกิดคาดอย่างถึงพวกเขามีชีวิตมีความนึกคิดแต่ก็ดีกว่าทำให้เกิดสงครามอีก
ในที่สุดปีสองพันเก้าสิบทุกอย่างคือเทคโนโลยี มีการอำนวยความสะดวกทุกที่ เข้าถึงทุกพื้นที่ในเมืองรวมถึงการปกครอง เศรษฐกิจ การงานทุกอย่างทุกคนในเมืองมีเงินใช้กันทุกคน เรียกได้ว่าคนเมืองนี้ไม่มีคำว่ายากจน (แต่ก็ไม่ถึงกับรวย) พวกเขาอยู่อย่างสุขสบายสงบสุข เมืองซีบีชเรียกได้ว่าเป็นอีกเมืองหนึ่งที่มีตรอกซอยเยอะพอสมควร มีตั้งแต่อักษรเอถึงวีมีสถานที่ทำงานให้ทุกพื้นที่ไม่ต้องกลัวว่าจะตกงานโดยมีงานทำได้หลากหลายรูปแบบ แต่ไม่มีพวกวิศวกรเนื่องจากว่าการสร้างสิ่งต่าง ๆ มีเครื่องจักรช่วยในการทำพร้อมกับพวกที่ทำงานสถาปัตยกรรมเท่านั้น แต่อย่างที่รู้เมืองนี้ถึงจะมีแอนดรอยต์แต่ก็ใช้มนุษย์ในการทำงานส่วนใหญ่ทำให้เมืองนี้เจริญที่สุดในแทบนั้น
แต่นี้เป็นเพียงแค่เริ่มต้นเท่านั้น..
ชานส์ยังอยู่ที่สถานนี เขานั่งคิดเรื่องที่เกิดขึ้นในห้องประชุมที่ห้องรับรองแขกเขาไม่เสียใจเลยที่พูดออกไปเขาไม่ได้พูดผิดหรือเกินเลยแม้แต่น้อยตัวตนของรอยสำหรับพวกเขาข้อมูลพวกนั้นมันก็คือตัวตนของชานส์เองหน่ะแหละ เขาบอกไปแล้วว่ารอยไม่มีตัวตนในสารบบไหนเลยแล้วจะเอาอะไรไปจับ
“บ้าบอสิ้นดี”
ประตูห้องเลื่อนเปิดผู้กำกับดีนเข้ามาพร้อมกับเดวิดและแฮร์รี่
“คุณควรโกรธ ผมไม่โทษคุณหรอกผู้อำนวยการโรจินเป็นพวกปากไวและหัวสูงเพราะเขาเป็นหัวหน้าเลยไม่มีพวกเราคนไหนกล้าขัดเขา สำหรับเรื่องเมื่อเช้าเราลงความเห็นกันและเห็นพ้องต้องกันว่าเธอต้องอยู่ภายใต้ความดูแลของเราเพื่อความปลอดภัยของตัวเธอเองขณะที่เราตามจับฆาตกร” เขานั่งลง
"ไม่ใช่พวกคุณจะใช้ผมเป็นเหยื่อล่อเพื่อล่อเขาให้ออกมาสิ้นคิดกันขนาดนี้เลยเหรอ ไหนพวกคุณบอกว่าแผนดีนักหนาหนิ"
"ชานส์ขอล่ะอย่าเพิ่งย้อนได้ไหม" เดวิดทำหน้าเบื่อหน่าย
"ไม่งั้นจะทำไมจะจับผมเข้าคุกข้อหาตวาดกลางห้องประชุมรึไง"
"ใจเย็นเพื่อน พวกผู้ใหญ่ก็ไม่คิดจะใช้แผนนี้แต่ถ้าเป็นอย่างที่นายว่านี้เป็นวิธีเดียวที่จะล่อเขาออกมาได้ ถึงจะดูแย่ก็เถอะ"
"เราอาจหยุดเขาได้ถ้าเราช่วยกันจับเขา" ผู้กำกับดีนพูดขึ้นบ้าง
"พูดติดตลกไปได้ รอยกำลังเลือดขึ้นหน้าเขาทำได้ทุกอย่างหน่ะแหละ ‘ฆ่าเพื่อความสนุกปลดปล่อยตัวเองจากความคับแค้นใจ’
“คุณคิดว่าเขาจะฆ่าใครเพิ่มอีกไหม” แฮร์รี่ถอนหายใจ
“อยู่แล้วเขาก็จะฆ่าอีกเรื่อย ๆ จนกว่าคนที่เกี่ยวข้องกับพ่อผมจะตายหมด”
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นเงียบ ๆ ผู้กำกับดีนยกขึ้นมาดู โทรศัพท์ในปัจจุบันนี้เป็นโทรศัพท์แบบมีฝาเปิด-ปิด แต่ลักษณะภายนอกนั้น เหมือนกับคริสตันสีฟ้าขาวสว่างโดยใช้พลังงานแสงอาทิตย์เป็นตัวชาร์ตพลังงานกระนั้นตอนกลางคืนก็ยังใช้งานได้โดยภายในบ้านทุกหลังคาเรือนจะมีระบบไฟแบบแสงอาทิตย์แต่ไม่เหมือนกับของจริงนัก เป็นแสงอาทิตย์ที่ทำขึ้นเพื่อคนที่ต้องการความสว่างแบบตอนกลางวันนับว่าเป็นโทรศัพท์ที่สะดวกสบายที่สุดในบรรดา
“ครับผม...เข้าใจแล้วครับ” เขาเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋าแล้วลุกขึ้น “มีคนมาหาคุณ” เขามองชานส์ก่อนลุกขึ้น ชานส์ไม่มีทางเลือกเลยต้องลุกตามไป
ทั้งสี่เดินไปตามทางเดินยาวมาที่ห้องของผู้กำกับดีน เขาเปิดประตูเข้าไปและมีชายหญิงคู่หนึ่งนั่งอยู่...ใส่เสื้อสูท
“ไม่”
“เลิกดื้อสักทีเถอะ” ผู้กำกับดีนผลักชานส์เข้าไปจนมาอยู่ในห้องเดวิดกับแฮร์รี่แยกตัวไปทำหน้าที่ ประตูเลื่อนปิดลง
ผู้ชายกับผู้หญิงที่ใส่สูทลุกขึ้น “คุณคือชานส์ โฮวินสันต์สินะ”
ชานส์ไม่ตอบเขาหันไปขอร้องผู้กำกับดีน “ได้โปรดผู้กำกับดีน”
“เบื้องบนสั่งมาผมต้องทำตาม”
“ไม่! คุณจะทำยังไงก็ได้ ทำยังไงก็ได้! แต่ไม่เอาเอฟบีไอ”
ผู้กำกับดีนยกมือเสยผม “คำสั่งมาจากเบื้องบน ผมขัดไม่ได้”
ชานส์มองอย่างไม่เชื่อสายตาหันไปเผชิญหน้ากับเอฟบีไอสองคน
“ชานส์ โฮวินสันต์”
“ครับ”
“ผมเจ้าหน้าที่ โคจิม่า คราวิ่น และคู่หูของผม เจ้าหน้าที่ เรจีน่า คราวิ่น คุณคงทราบว่าเรามาด้วยเรื่องอะไร...ใช่ไหม”
ชานส์นิ่งเงียบ ใช่เขารู้ดี
"อะไรวะเนี่ย"
ฉันเห็นเขาอยู่กับเอฟบีไอสองคนที่สถานนี ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อเขากับฉันแน่มาทำบ้าถึงนี่เนี่ย บ้าฉิบ!
“เวร” ฉันเปลี่ยนจากกล้องส่องทางไกลมาเป็นลำกล้องจากปืนไรเฟิลที่ใช้ประจำมือที่สั่นทำให้การเล็งเป้าหมายไม่ได้ดั่งใจนึกฉันต้องพยายามควบคุมอารมณ์ให้ดีกว่านี้แต่... “เวรเอ้ย” ฉันอยู่ในที่ที่เหมาะจะยิงแล้ว
รอจนแน่ใจเห็นช่องโหว่เพียงนิดเดียวเหนี่ยวไกได้เลย
ณ เสี้ยววินาทีกระสุนพุ่งทะลุกระจกเรียบร้อย
“ฮึย!”
ก่อนที่กระจกจะแตกแสงสะท้อนของกล้องจากปืนทำให้ชานส์เห็นมันก่อน
“หมอบ!” ทั้งสี่พร้อมใจกันหลบทันทีกระสุนซึ่งพุ่งเข้ามาทะลุกระจกหมายจะฆ่าเอฟบีไอสองคน ผ่านไปวินาทีหนึ่งทุกอย่างนิ่งเหมือนหยุดเวลาคนแรกที่รู้สึกตัว...ผู้กำกับดีน
“ไม่เป็นอะไรกันนะ”
“ครับ/ค่ะ”
ผู้กำกับดีนมองหากระสุน “ยิงจากตึกสูง” เงยหน้ามองตึกตรงข้าม “ยิงดิ่งลงมาฆ่าพวกคุณได้สบาย”
โคจิม่าลุกขึ้น “เขารู้แล้วมาเรามา”
ชานส์ลุกขึ้นบ้าง “กลับไปซะ”
ทั้งสามมองชานส์
“ได้โปรด อย่าเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้”
“คุณคิดว่าจะหยุดเขาได้อย่างนั้นเหรอ” สาวเอฟบีไอถามขึ้น
ชานส์ก้มมองมือตัวเองที่สั่นระริก “ไม่มีใครหยุดเขาได้จนกว่าเขาจะได้ในส่ิ่งที่ต้องการ”
“ผมเข้าใจดี” ผู้กำกับดีนเอ่ย “เพราะอย่างนี้ไงเราถึงต้องให้คุณอยู่ในความดูแลของเอฟบีไอ”
ชานส์มองผู้กำกับดีน
"เพราะคุณคือสิ่งที่ฆาตกรต้องการ" โคจิม่าพูดขึ้น
ชานส์นั่งพักอยู่ที่ห้องทำงานผู้กำกับดีนนั่งคิดทบทวนกับสิ่งที่ต้องตัดสินใจ เขาต้องตัดสินให้เด็ดขาดไม่อยากให้คนลอบข้างต้องมาตายเพราะเขาอีก สายตาเขามองยังเบื้องหน้าบนโต๊ะกาแฟแก้วมีซองสีน้ำตาลที่เปิดซองไว้แล้วข้างในเป็นเอกสารคุ้มครองพยานที่ทางเอฟบีไอสองคนนั้นเอามาให้เขา ถ้าเขาก้าวเข้าสู่กระบวนการคุ้มครองพยานการแลกเปลี่ยนต้องบอกทุกอย่างที่เกี่ยวกับตัวรอยให้พวกเขาฟังทุกอย่าง แต่...แต่ไหนแต่ไรเขาไม่ค่อยชอบเอฟบีไอหรือซีไอเอเลยพวกเขามักเข้ามายุ่งวุ่นวายกับเรื่องไม่เป็นเรื่องมากเกินไปหรือบางที่ก็ทำให้เป็นเรื่องใหญ่โต
ผ่านไปหนึ่งชั่วโมง เรจีน่า คราวิ่น สาวเอฟบีไอเดินเข้ามาเห็นชานส์กำลังนั่งดูอะไรบางอย่างในโทรศัพท์คริสตัน
“หวังว่าคุณจะยอมรับข้อเสนอของเรานะ”
“ถ้าไม่ล่ะ”
เรจีน่าไม่ตอบ เธอเดินไปนั่งโซฟาฝั่งตรงข้ามกับชานส์
“คุณต้องการ” เธอมองเขาอย่างท้าทาย “ฉันเชื่ออย่างนั้น”
“แหมคุณเรียนการอ่านใบหน้าคนมาด้วยเหรอ”
“ฉันฝึกการอ่านอากัปกิริยาผู้คนผ่านทางอารมย์ สีหน้า ท่าทาง นั้นคือสิ่งที่ฉันถูกฝึกมาตั้งแต่ทำงานที่เอฟบีไอ”
ชานส์ละสายตาจากโทรศัพท์คริสตันพอเห็นสายตาเธอ เขาเก็บโทรศัพท์คริสตันเข้ากระเป๋า
“งั้นบอกมาสิว่าคุณเห็นอะไรบาง”
เธอเงียบไปพักหนึ่งก่อนพูดขึ้น “คุณชั่งเป็นคนที่เก็บอาการได้ดีจริง ๆ ถ้าเทียบกับคนอื่น ๆ ที่นี่...แต่” เธอโน้มตัวมาข้างหน้า “สิ่งเดียวที่คุณปิดไม่มิดคือแววตาของคุณ”
ชานส์ยังคงนิ่งฟังไม่ปริปากพูดแต่อย่างใด
“คุณกลัวในสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นเพราะคุณคิดว่ามันเป็นความผิดคุณที่ทำให้คุณพ่อของคุณต้องตาย โกรธตัวคุณที่ไม่แข็งแกร่งพอจะปกป้องใครได้ โกรธที่คุณกลัวเขา...และยังปล่อยให้เขาครอบงำในจิตใจของคุณ”
“ช่างเป็นเอฟบีไอสาวที่น่าหมั่นไส” เขามองเธอไม่วางตา “เพราะแบบนี้ไงผมถึงไม่ชอบเอฟบีไอ” เขาลุกขึ้น “ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน ยุให้แตกคอกันเล่น...สนุกเหรอ”
เรจีน่าลุกขึ้นบ้าง “ฉันไม่สนว่าคุณจะว่ายังไงฉันเป็นแบบนี้อยู่แล้ว ฉันได้นิสัยนี้มาจากพ่อ”
“...”
“ก็นะ” เธอยักไหล่ “ฉันเป็นเอฟบีไอและมันเป็นหน้าที่ฉัน” เธอเดินจากไปก่อนออกจากห้องเธอได้พูดที่ท้ายไว้ “ถึงฉันจะเกลียดหน้าที่นี้ก็ตาม” แล้วเธอก็ออกไปทิ้งให้ชานส์อยู่ในห้องคนเดียว เขามองเอกสารหัวเราะออกมาเบา ๆ
"น่าสนใจดีแหะ"
เวลาล่วงเลยไปหลายชั่วโมงชานส์กลับมาที่บ้านเขาทิ้งเอกสารคุ้มครองพยานเขาไว้ที่สถานนีไม่จำเป็นสำหรับเขา เขาจะไม่มีวันเซ็นมันเพราะถ้าทำรอยจะต้องเล่นงานพวกเอฟบีไอหรืออาจลงมือฆ่าเหยื่อรายใหม่ไม่ว่าจะหนทางไหนรอยมีทางเลือกเสมอ
"เลิกคิดดีกว่า" เขาขึ้นไปข้างบนพอเปิดประตูถึงกับผงะ
"หวัดดี" รอยนั่งอยู่บนเตียง "แปลกใจเหรอ"
"ว่าชินแล้วนะแต่..." ชานส์ยักไหล่ "อยากดื่มอะไรไหม"
รอยกระพริบตาช้า ๆ เขาเดินไปหยิบรูปหนึ่งจากโต๊ะเครื่องแป้งมาดู "พิลึกนะคนส่วนใหญ่สติแตกไปแล้วถามมีคนแปลกหน้ามานั่งหน้าสลอนในบ้าน แต่นายถามว่าฉันอยากดื่มอะไรไหม จริงดิ" รอยหัวเราะร่วนเขาใช้ฝ่ามือเช็ดกระจกรูปภาพนั้นวางมันลงที่เดิม เดินไปหาชานส์ "คิดถึงวันวานจัง"
"อืม" ชานส์กลืนน้ำลาย
'คุณคือสิ่งที่ฆาตกรต้องการ'
คำพูดของโคจิม่าดังก้องในหัวชานส์ เขาพยายามยืนนิ่ง ๆ กลับตัวสั่นไม่หยุดเขากำลังกลัวตอนนี้รอยกำลังหน้าเลือดพร้อมฆ่าทุกคนที่ขว้างทางแล้วเขาเป็นหนึ่งในนั้นรึเปล่า เขาเกะกะรอยรึเปล่า...นะ แทนที่รอยจะฆ่าเขาหรือทำร้ายเขารอยกลับดึงเขาไปกอด...แน่นด้วย
"ขอโทษที่ทำให้นายเจ็บ ขอโทษที่ให้นายต้องมาเจอเรื่องแบบนี้นายไม่ควร ๆ เลยฉันน่าจะวางแผนให้รอบคอบกว่านี้นายเจ็บเพราะฉันแท้ ๆ" รอยผละออกสำรวจใบหน้าชานส์ "ขอบใจที่นายยังอยู่ฉัน...ฉันทำนายเจ็บตั้งสองครั้ง...ฉัน...ฉัน..." รอยกอดเขาอีกครั้งพร้อมร้องไห้เหมือนเขาระบายทุกอย่างออกมา
"ฉันไม่เป็นไร"
"ฉันต้องไปยังเหลืออีกหลายคนที่ฉันต้องจัดการ" รอยจับแขนชานส์มองเขาคาดคั้น "สัญญากับฉัน อย่ายุ่งกับคนพวกนั้นอีกพวกนั้นพยายามแยกเราทั้งคู่จากกันขอเวลาฉันอีกหน่อยหลังจากฉันจัดการทุกอย่างเสร็จเราจะไปจากเมืองนี้จะเป็นครอบครัวเดียวกันอีกครั้ง"
"นายควรไปจากที่นี่" ชานส์ส่ายหน้า "อย่ากลับมาที่นี่อีก"
"ว่าไงนะ"
"พวกเขาวางแผนจับนายจงใจใช้ฉันเป็นเหยื่ออีกคนของนายถ้านายไปพวกเขาก็ไม่สงสัยฉันหรอก ไม่ต้องห่วงรีบไปตอนยังมีเวลา"
"หมายความว่ายังไง" รอยถามเสียงเหี้ยม
ชานส์นิ่งเงียบ
"นายเป็นน้องฉัน ครอบครัวเดียวของฉันนายหน่ะเรอะเหยื่อของฉัน" ชานส์ก้มหน้าไม่ยอมตอบ รอยพยักหน้าเข้าใจ "เข้าใจล่ะพวกมันต้องชดใช้ที่คิดแบบนั้น ฉันจัดการทุกอย่างเองนายคอยดูอยู่เงียบ ๆ อย่ามาวุ่ยวายเด็ดขาด"