“ฮัลโหล! พราวแกอยู่ไหน ฮัลโหล! แกได้ยินฉันไหมเนี่ย” ไม่ใช่แค่เสียงที่ดังทะลุขึ้นมากลางปล้อง แต่คุณเธอยังเดินผ่ากลางวง ทำเอาบรรดาสาวขาเมาท์มองตามกันเลิ่กลั่ก ประหนึ่งว่าเพิ่งรู้ตัวว่าในห้องนี้ไม่ได้มีแค่พวกเธอ
“อืม! ได้ยิน แกมีอะไรรึเปล่า ฉันกำลังทำงาน แค่นี้ก่อนนะ” คำตอบสั้นๆ คล้ายกับจะรีบวางสายของเพื่อน ทำคนที่กระวนกระวายเป็นทุนเดิมรีบโพล่งออกมา
“เดี๋ยวสิ ฉันมีเรื่องจะบอก เรื่องสำคัญมาก โดยเฉพาะกับแกไอ้พราว” ถ้าเรื่องความอยากรู้อยากเห็นเป็นจุดอ่อนของสาวๆ ละก็ หนึ่งในนั้นก็คงไม่พ้นเพื่อนของเธอ
“อื้ม! เรื่องอะไรเหรอ” เจติยาถึงกับหยักยิ้มมุมปากหลังเพื่อนติดกับดักเข้าให้แล้ว
“ก็เรื่องท่านประธานของแกไง” คนที่ได้โอกาสรีบโพล่งออกมาทันควัน เพราะคิดว่าอีกฝ่ายจะต้องยิ่งอยากรู้มากขึ้น แต่ผิดคาด
“เจ ไว้ค่อยคุยกันวันหลังนะ วันนี้ฉันไม่สะดวก”
“ไม่พราว มันเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย ยังไงวันนี้แกก็ต้องฟังฉัน แกรู้ไหมคนเขาลือกันให้แซ่ดว่า…ท่านประธานเป็นมาเฟีย” เพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะวางสาย เธอจึงรวบรัดตัดความ โยนหัวข้อสนทนาหวังกระตุ้นความอยากรู้ให้เพื่อนอยากรู้มากขึ้น แต่ก็ยังไม่เป็นผล
“เจ แค่นี้ก่อนนะ ฉันกำลังยุ่ง”
“นี่แกไม่ตกใจเลยรึไง นั่นมาเฟียเลยนะเว้ย เกิดวันดีคืนดีเราทำอะไรไม่ถูกใจเขาขึ้นมา เราไม่ถูกฆ่าหมกป่าเลยรึไง เออใช่ แกทำงานกับเขาโดยตรงนี่ ไม่ได้การละ แกต้องลาออกเดี๋ยวนี้พราว ฉันจะลาออกเป็นเพื่อนแกเอง แล้วเดี๋ยวเราไปสมัครงานที่อื่นพร้อมกัน”
“มาเฟียไม่ใช่สัตว์ที่ทำร้ายใครไม่เลือก และถึงฉันจะร้าย ฉันก็ไม่เคยคิดจะทำร้ายพริบพราว แต่คนอื่นก็ไม่แน่” เจติยาได้ยินถึงกับทำตาโตจนแทบจะถลนออกมาจากเบ้า เมื่อนี่ไม่ใช่เสียงของเพื่อนเธอ แต่คงเป็นเสียงของคนที่ตัวเองเพิ่งพูดถึง ที่สำคัญดันพูดในทางที่ไม่ดีเสียด้วย ความตกใจบวกกับคิดอะไรไม่ออกทำให้เธอรีบกดวางสายทันควัน (ถ้าอยากรู้ว่าอาการฝั่งนั้นเป็นยังไง ติดตามได้ในเรื่อง I’m yours ยกหัวใจให้คลั่งรักยัยเลขา นะคะ)
“เวรแล้ว พราวฉันขอโทษ หวังว่าแกจะไม่เป็นอะไรนะ ขอพระคุ้มครองนะเว้ยเพื่อน” เธอได้แต่รำพึงรำพันอยู่กับโทรศัพท์มือถือในมือ แต่ทันใดนั้นก็เหมือนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
“เอ๊ะ! แต่เมื่อกี้เขาบอกจะไม่ทำอะไรไอ้พราวนี่หว่า เฮ้อ! ค่อยวางใจหน่อย เฮ้ย! แล้วที่บอกว่ากับคนอื่นก็ไม่แน่ล่ะ หมายถึงเรารึเปล่าวะ ฉิบ...แล้ว จะโดนอุ้มฆ่าหมกป่าไหมวะเนี่ย” เธอได้แต่คิดแล้วก็ปาดเหงื่อ
เพราะคำขู่ของมาเฟียที่ยังฝังอยู่ในหัว อีกทั้งกิตติศัพท์ความโหดร้ายที่ได้ยินมาจากเพื่อนร่วมงาน จึงทำให้ลานจอดรถในวันนี้ดูน่ากลัวกว่าทุกๆ วัน
เจติยาที่กำลังเดินมาเอารถตามปกติอดหวาดหวั่นไม่ได้ ความรู้สึกเหมือนกำลังถูกจ้องมองทำให้เธอต้องรีบสาวเท้าเร็วขึ้นจนแทบจะกลายเป็นวิ่ง กระทั่งมาถึงรถของตัวเอง
“เฮ้อ! สงสัยจะฟุ้งซ่านจนคิดไปเอง” เธอถอนหายใจอย่างโล่งอก แต่ระหว่างที่ยื่นมือไปเปิดประตูรถ ทันใดนั้นเธอก็ถูกจู่โจมจากทางด้านหลัง ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก ยังไม่ทันจะได้ร้องขอความช่วยเหลือ ผ้าคลุมสีดำก็ครอบลงมาบนหัว อีกทั้งมือของคนร้ายก็ยังปิดปากเธอเอาไว้ ทำให้ไม่สามารถดิ้นรนขัดขืน
ความสิ้นหวังกอปรกับความกลัวที่กำลังถาโถมให้เธอชาวาบตั้งแต่หัวจรดเท้า พลันคำขู่ของมาเฟียก็ดังก้องขึ้นมาในหัว...หรือเธอจะโดนอุ้มฆ่าจริงๆ
เจติยาถูกดันตัวให้เข้าไปในรถคันหนึ่งก่อนที่ผ้าคลุมจะถูกเปิดออก เธอแทบไม่กล้าลืมตามอง เพิ่งเข้าใจอาการกลัวจนตัวสั่นก็วันนี้ แต่ถึงกระนั้นก็ยังทำใจดีสู้เสือ ลืมตาเผชิญหน้ากับมาเฟียที่ร้ายกว่าเสือ
“...” รอบตัวพลันเงียบสงัด หลังได้สบตากับคนที่คิดว่าร้ายกว่าเสือ กระทั่งได้เห็นรอยยิ้มของเสือตรงหน้า
“โฮ! ไอ้บ้า ไอ้ทุเรศ ไอ้คนนิสัยไม่ดี รู้ไหมว่าฉันตกใจแค่ไหน ฉัน...ฮึกๆๆ ฉันนึกว่าฉันจะโดนอุ้มฆ่าแล้วซะอีก ฮือๆๆ” เธอร้องไห้โฮอย่างสุดจะกลั้น ก่อนจะโถมตัวรัวกำปั้นทุบที่อกอีกฝ่ายด้วยความอัดอั้น บอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไร ทั้งตกใจทั้งหวาดหวั่น แต่ในความหวาดหวั่นก็มีความโล่งใจแฝงอยู่ เพียงแค่ได้เห็นว่าคนคนตรงหน้าไม่ใช่เสือร้าย ส่วนจะเป็นเสือผู้หญิงไหมนั้น เธอเองก็ไม่แน่ใจ
“โอ๋ๆๆ ไม่ต้องกลัวนะ ผมอยู่นี่ทั้งคน ไม่มีใครทำอะไรคุณได้หรอก” นทีได้โอกาสดึงเธอมากอดเอาไว้แนบอก
“ก็มีแต่นายนั่นแหละที่ทำ” เธอบอกเสียงแข็งพลางเช็ดน้ำตาแล้วผลักเขาออกแรงๆ
“จับฉันมาทำไม” เธอจ้องเขาเขม็งด้วยสีหน้าเอาเรื่อง
“ก็ที่รักชอบหนีหน้า เอะอะหนีตลอดเลย ผมก็เลยทำให้เห็นว่าไม่ว่าที่รักจะพยายามแค่ไหน ก็ไม่มีวันหนีผมพ้นยังไงล่ะ แล้วถ้าคราวหน้ายังคิดจะหนีอีก ผมคงต้องทำมากกว่านี้ อาทิเช่น...จับที่รักขังเอาไว้ดีไหมคะ” เธอรู้ดีว่าคำพูดหวานหูกับรอยยิ้มที่แต่งแต้มบนใบหน้า มันก็แค่ภาพลวงตา แท้จริงแล้วเขากำลังขู่เธออยู่ต่างหาก
“ฉะ...ฉันเปล่าหนี คือวันนั้นฉันรีบ แล้วถ้าพนักงานตำแหน่งเล็กๆ อย่างฉันไปทำงานสาย มันก็ดูไม่ดีใช่ไหมล่ะ” เธอแก้ตัวออกไปข้างๆ คูๆ
“แล้วทำไมไม่ปลุก รู้ใช่ไหมว่าผมไปส่งคุณได้” เขาถามพลางยื่นหน้ามาใกล้ ในขณะที่เธอก็ผงะถอยพร้อมกับพยายามหาข้อแก้ตัว
“ก็นายหลับ เขาว่าปลุกคนที่กำลังหลับสบายๆ มันบาปนะไม่รู้รึไง” ยิ่งเธอพยายามแก้ตัว เขาก็ยิ่งยื่นหน้าเข้ามาใกล้ คนไม่มีทางหลบเลี่ยงจึงต้องยอมรับออกมาในที่สุด
“เออ...ฉันหนี พอใจรึยัง”
“แน่นอนว่าไม่พอใจ ผมเลยต้องใช้วิธีนี้ไง” เขายอมผละออกมานั่งเอนหลังด้วยท่าทีสบายๆ แต่ก็ยังไม่วายวาดแขนลงบนพนัก คล้ายกำลังโอบเธอไว้กลายๆ พร้อมกับหันไปสั่งคนรถเสียงเข้ม
“ออกรถ”
“ไม่ๆๆ เดี๋ยวสิ นายจะทำแบบนี้ไม่ได้ นายจะพาฉันไปไหน” เธอเลิ่กลั่กกระวนกระวายทันทีที่รถเริ่มเคลื่อนตัว
“พาไปเข้าหอมั้ง” เขาตอบส่งๆ พร้อมกับหลับตาเอนศีรษะลงบนพนัก
“ที่นี่เป็นลานจอดรถบริษัท ยังไงก็ต้องมีกล้องวงจรปิด ถ้าไม่อยากเดือดร้อนรีบปล่อยฉันลงดีกว่า ถ้านายรู้ว่าเจ้าของบริษัทนี้เป็นใคร โหดร้ายแค่ไหน นายจะเสียใจที่บุกมาหยามเขาถึงถิ่นแบบนี้นะ” เธอขู่ เพราะคิดว่าความเป็นมาเฟียของเจ้านายอาจช่วยได้