“ไอ้...” ทันทีที่ริมฝีปากเป็นอิสระ เธอก็เตรียมจะพ่นคำด่า แต่คำพูดเหล่านั้นก็ถูกกลืนหายด้วยฝีมือเขาอีกครั้ง กระทั่งหนำใจชายหนุ่มจึงค่อยๆ ผละออกมา เพื่อจะก้มลงไปอีกครั้ง แต่ครั้งนี้รายนั้นกลับปิดปากแน่น มีเพียงสายตาอาฆาตพยาบาทเท่านั้นที่บ่งบอกความรู้สึกเจ้าตัวได้เป็นอย่างดี
“ฮ่าๆๆ” แทนที่จะกลัวแต่เขากลับหลุดขำ เมื่อได้เห็นสายตาที่ราวกับจะฆ่าคนได้ของเธอ “โอเคๆ อยากให้เรียกพี่ใช่ไหม ได้สิ แต่ต้องมีข้อแลกเปลี่ยนนะ”
“อะไร” เธอถามเสียงห้วนพลางมองสายตาเจ้าเล่ห์ของอีกฝ่ายด้วยความระแวดระวัง
“เลิกมองว่าผมเป็นเด็ก” สีหน้าเขาจริงจัง ในขณะที่คนปากไวก็ตอบกลับทันควัน
“ก็นายเด็ก ไม่ให้มองว่าเป็นเด็ก แล้วจะให้มองเป็นอะไร”
“เป็นผัวไง” เขาตอบกลับอย่างกำลังเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน
“ไอ้...” คนปากไวไม่ทันจะได้หลุดคำผรุสวาทออกมา อีกฝ่ายก็แทรกขึ้นทันควัน
“เผื่อคุณจะลืมว่ามีแค่เมียเท่านั้นที่ผมยอมให้ด่า และถ้าคุณด่า นั่นก็แปลว่าคุณยอมรับว่าเราเป็นผัวเมียกัน ถ้าเป็นอย่างนั้นถึงผัวจะจูบจนเมียปากเปื่อยก็คงไม่เป็นไร” ว่าแล้วคนอยากจูบก็ยื่นหน้าลงไปหาอีก
“นี่ อย่ามาทำรุ่มร่ามกับฉันนะ” เธอเอามือยันหน้าอีกฝ่ายพร้อมกับเบี่ยงหน้าหลบ
“ขอร้องล่ะ เลิกแกล้งฉันสักที แค่นี้ฉันก็รู้สึกแย่มากพอแล้ว อย่าให้ฉันต้องรู้สึกสมเพชตัวเองไปมากกว่านี้เลย” เธอโพล่งออกมาด้วยสีหน้าปิ่มจะร้องไห้ ก็ไม่รู้จะโทษตัวเองหรือโทษโชคชะตากันแน่
“มีอะไรให้น่าสมเพช ในเมื่อเรื่องที่เกิดขึ้นเราต่างก็รู้สึกดีด้วยกันทั้งคู่”
“ดีบ้าอะไร มีแต่นายสิที่รู้สึกดีที่ได้ปลดปล่อย ได้ทำตามอารมณ์ความต้องการของตัวเอง โดยไม่ต้องคิดถึงผลที่จะตามมา เพราะสำหรับนายมันก็แค่เซ็กซ แต่สำหรับฉันมันไม่ใช่ พูดไปเด็กอย่างนายก็ไม่เข้าใจหรอก” คำว่าเด็กที่ออกจากปากเธอทำให้เขาเสียงเข้มขึ้น
“ก็ลองพูดมาสิ”
“ฉันเพิ่งเสียตัว แล้วก็เป็นการเสียตัวที่เรียกร้องอะไรไม่ได้ แม้แต่เสียใจตอนนี้ฉันยังทำไม่ได้เลย ฉันยังมีเพื่อน มีสังคม ที่สำคัญฉันมีครอบครัว แค่คิดว่าถ้ามีใครรู้เรื่องนี้เข้า ฉันจะทำยังไง ชีวิตฉันจะเป็นยังไงต่อไป” เห็นสีหน้าเป็นทุกข์ อีกทั้งน้ำเสียงยังสั่นเครือของเธอ เขาเองก็ไม่ชอบใจนัก
“กะอีแค่มีผัวเด็ก ทำอย่างกับเรื่องคอขาดบาดตาย ลองถ้าเป็นผู้หญิงคนอื่นมีแต่จะเชิดอกภูมิใจ เคยได้ยินไหมที่เขาว่ากินเด็กเป็นอมตะน่ะ”
“แต่ต้องไม่ใช่เด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะอย่างนาย” นทีเพียงเลิกคิ้วกับความคิดนี้ ก่อนจะปล่อยให้เธอคิดแบบนั้นต่อไป
“ลองคิดดูนะถ้าใครรู้เรื่องนี้ อาจจะเป็นพ่อแม่นาย หรือไม่ก็ญาติพี่น้องนาย ถ้าพวกเขารับไม่ได้แล้วไปแจ้งความ ชีวิตฉันจะเป็นยังไง แล้วถ้าฉันต้องติดคุกเพราะข้อหาอนาจาร ครอบครัวฉันล่ะ พวกเขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน” คนที่ยังถูกคร่อมจนขยับไปไหนไม่ได้ทำได้เพียงโอดครวญ
“เผื่อคุณยังไม่รู้ พ่อแม่ผมตายหมดแล้ว” เจติยาได้ฟังถึงกับชะงักพลางเม้มปาก ก่อนจะพึมพำออกมาเบาๆ ด้วยความรู้สึก
“ขอโทษ”
“ทำไมต้องขอโทษ คุณไม่ได้ฆ่าพ่อแม่ผมนี่ คนที่ต้องขอโทษคือคนที่เป็นต้นเหตุต่างหาก” นัยน์ตาเขาแข็งกร้าวขึ้นมา แต่ก็เพียงแวบเดียว
“แต่ถึงยังไงนายก็ยังมีญาติพี่น้อง เกิดพวกเขาเอาเรื่องขึ้นมา ฉันก็ไม่รอดอยู่ดี” เธอบอกเสียงเนือยๆ ประหนึ่งคนสิ้นหวัง
“ถ้าไม่นับคุณตาที่อยู่ต่างประเทศ ที่เจอหน้ากันแทบจะนับครั้งได้ ผมก็คงมีน้าเพลิงเป็นญาติเพียงคนเดียว เชื่อเถอะ...คนอย่างเขาไม่เอาเวลาอันมีค่ามาทำเรื่องหยุมหยิมแบบนั้นแน่ๆ ผมเอาหัวเป็นประกัน” เจติยานิ่งไปพักหนึ่งอย่างกำลังใช้ความคิด กระทั่งใบหน้าที่คร่ำเครียดในคราแรกก็เปลี่ยนไป
“งั้นฉันก็ไม่ต้องติดคุกแล้วน่ะสิ” เธอยิ้มกว้างราวกับว่าได้ถูกปลดแอกอันหนักอึ้งออกไป
“ก็ไม่แน่” เขายักไหล่ ในขณะที่รอยยิ้มเธอพลันหุบฉับ
“หมายความว่ายังไง” หญิงสาวถามเสียงแข็ง
“นี่มันแค่เริ่มต้น ตอนจบของเรื่องจะเป็นยังไงมันก็ขึ้นอยู่กับคุณนะ” เขายิ้มให้ แต่ในสายตาเธอมันกลับเป็นรอยยิ้มของความร้ายกาจที่ซ่อนความน่าสงสัยเอาไว้
“เอาเป็นว่าผมขอดูพฤติกรรมคุณก่อน ถ้าคุณไม่ดื้อ พูดจาว่าง่าย เรื่อง...” เขาพูดไม่ทันจบประโยค เธอก็แหวขึ้นมาเสียงเขียว
“นี่ ฉันไม่ใช่เด็กนะ”
“ก็นั่นน่ะสิ คุณเองก็ไม่ชอบใช่ไหมล่ะที่ถูกมองว่าเด็ก ผมก็รู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน”
“มันจะเหมือนกันได้ยังไง ในเมื่อนายยังเด็กจริงๆ ส่วนฉันไม่ใช่” เธอยักคิ้วให้อย่างผู้ชนะ
“งั้นถ้าเด็กอย่างผมจะเรียกคนแก่อย่างคุณว่าป้าก็ได้น่ะสิ” คำว่าป้าของเขาทำคนถูกเรียกถลึงตาขึ้นมาทันที
“ไอ้บ้า ฉันไม่ได้แก่ขนาดนั้นสักหน่อย”
“เอาเป็นว่าถ้าคุณไม่แก่ ผมเองก็ไม่ใช่เด็ก ตกลงไหม” คนถูกบังคับให้ตอบได้แต่พยักหน้าแบบขอไปที
“มันต้องแบบนี้สิ ถ้าคุณน่ารักว่าง่ายแบบนี้ เรื่องก็จะได้จบแบบง่ายๆ แต่ถ้าไม่ อะไรที่คุณกลัว มันก็อาจจะเกิดขึ้น” เขาว่าพลางไล้ปลายนิ้วไปบนแก้มนุ่มๆ ของเธออย่างอ้อยอิ่ง
“ขู่ฉันเหรอ” เธอถามเสียงเขียวนัยน์ตาขุ่นขวาง
“จะว่างั้นก็ได้ ถ้ามันจะทำให้คุณไม่ลืมว่าตัวแปรสำคัญที่สุดของเรื่องคือผม ไม่ใช่ญาติพี่น้องอะไรนั่น แล้วถ้าจะมีใครเรียกร้องอะไรจากคุณก็ต้องเป็นผม ไม่ใช่คนอื่น” เขาบอกด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ ตรงข้ามกับคนโดนขู่ที่กำลังเดือดพล่าน
“ต้องการอะไรก็ว่ามา” น้ำเสียงหญิงสาวห้วนจัด ในขณะที่เขาก็ตอบกลับมาด้วยท่าทีสบายๆ เช่นเดิม
“จ่ายค่าปิดปากผมสิ”
“คิดเอาไว้ไม่มีผิด สุดท้ายก็ไม่พ้นเรื่องเงิน นายนี่มันเลวจริงๆ แบล็กเมลฉันเพื่อปอกลอกเงิน สิ่งที่นายทำมันก็ไม่ต่างอะไรกับการขายตัวเพื่อแลกเงินหรอกนะ อยากได้เท่าไหร่ก็ว่ามา แต่บอกไว้ก่อนนะ พนักงานที่เงินเดือนไม่ต่างจากเงินทอนอย่างฉัน ไม่ได้มีเงินถุงเงินถังพอให้นายถลุงได้มากมายนักหรอกนะ” ถึงจะอยากจบเรื่องให้เร็วที่สุด แต่เรื่องเงินก็ยังเป็นปัญหาใหญ่ของเธอ
“ก็แล้วใครว่าผมอยากได้เงินล่ะ” คนที่กลัวถูกกรรโชกทรัพย์ถึงกับขมวดคิ้ว พลันเคมีในสมองก็เริ่มทำงานทันที