“อื้อ…!” อีกครั้งที่เธอเอามือปิดปากกั้นเสียงกรี๊ด หลังพบว่าตัวเองเปลือยเปล่า ไม่มีเสื้อผ้าติดตัวแม้แต่ชิ้นเดียว มาถึงตอนนี้ต่อให้พยายามมองในแง่ดี แต่หลักฐานมัดตัวขนาดนี้ จะให้คิดเป็นอื่นก็คงเป็นการหลอกตัวเอง แต่เพื่อยืนยันว่าเธอเองก็ไม่ใช่คนที่มองโลกในแง่ร้ายจนเกินไป เจติยาจึงค่อยๆ ยื่นมือไปแง้มผ้าห่มของฝั่งโน้นบ้าง
‘ “…” แล้วก็เป็นอีกครั้งที่เธอต้องเอามืออุดปากตัวเองไว้ ก็ไม่รู้ว่าระหว่างเสียตัวกับการเห็นร่างเปลือยๆ ของผู้ชาย อย่างไหนที่ทำให้ตกใจมากกว่ากัน
ยังไม่ทันจะหายตกใจ เจติยาถึงกับชะงักนิ่งตัวแข็งทื่อ เมื่อชายที่นอนอยู่ข้างๆ จู่ๆ ก็ขยับพลิกตัวหันหน้ามาทางเธอ ความตกใจแกมตื่นเต้น ทำเอาหัวใจเต้นแรงจนแทบทะลุออกมานอกอกจนต้องหลับตาปี๋ แต่ทุกอย่างกลับดูเงียบจนผิดปกติ หญิงสาวจึงค่อยๆ ลืมตา แล้วก็พบว่ารายนั้นยังคงอยู่ในห้วงนิทรา ตอนนี้เองที่เธอมีโอกาสได้สังเกตใบหน้าชายข้างๆ ชัดๆ และพยายามนึกทบทวนว่าอะไรทำให้เธอมานอนอยู่บนเตียงกับผู้ชายคนนี้ ทันใดนั้นสิ่งที่ฉายชัดขึ้นมาในความรู้สึกเธอคือ…
“หล่อ" ถึงแม้จะมีเพียงแสงรำไร แต่ใบหน้าคมเข้มกลับเด่นชัดจนเธอเผลอครางออกมา และก่อนที่เธอจะหลงมัวเมาไปกับภาพลักษณ์ของชายข้างๆ จนลืมจุดประสงค์เดิม เธอรีบสะบัดหน้าไล่ความคิดฟุ้งซ่าน แล้วดึงสติกลับมาด้วยการพยายามนึกทบทวนถึงเหตุการณ์เมื่อคืนอีกครั้ง
ใช่…เมื่อคืนเธอคุยโทรศัพท์กับผู้เป็นพ่อ และถูกยื่นคำขาดว่าให้กลับไปแต่งงาน แต่เมื่อเธอต่อต้านไม่ยอมทำตาม จึงจบลงด้วยการทะเลาะกันเหมือนเช่นเคย ต่างกันก็แค่ครั้งนี้ผู้เป็นพ่อไม่ยอมปล่อยผ่าน มิหนำซ้ำยังหาผู้ชายเตรียมไว้ให้ ไม่ใช่แค่ขู่เหมือนที่ผ่านๆ มา ความขัดเคืองสิ้นหวังกอปรกับช่วงเวลานั้นเธอดันยืนอยู่หน้าผับหรูพอดี พลันความคิดชั่ววูบก็สั่งให้เธอก้าวเท้าเข้าไป
แอลกอฮอล์แก้วแล้วแก้วเล่าถูกกรอกเข้าปากเพื่อคลายความกลัดกลุ้ม กระทั่งภาพทุกอย่างค่อยๆ พร่าเลือน สติสัมปชัญญะที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดรับรู้เพียงว่ามีใครบางคนมานั่งดื่มด้วย แน่นอนเธอจำไม่ได้ว่าคุยอะไรกับคนคนนั้น และทุกอย่างก็ดูเลือนรางจนยากจะปะติดปะต่อ แต่กลับมีอย่างหนึ่งที่ชัดเจนราวกับฝังอยู่ในจิตใต้สำนึก คือ…ผู้ชายคนนั้นหล่อมาก และใช่…ผู้ชายคนนั้นก็คือผู้ชายคนที่นอนอยู่ข้างๆ เธอตอนนี้
“โอ๊ย! ทำบ้าอะไรลงไปวะเนี่ย” เจติยากุมขมับด้วยสีหน้าเครียดจัด ทั้งกลัว ทั้งสับสน แล้วก็เสียใจปะปนกันไปหมด อยากร้องก็ร้องไม่ออก แบบนี้สินะที่เขาเรียกว่าน้ำตาตกใน
“เลิกฟุ้งซ่านได้แล้วเจติยา เสียใจตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์ ถ้าจะโทษก็โทษตัวแกเองนั่นแหละ หาเรื่องใส่ตัวแท้ๆ แล้วจะเอาไงต่อดีล่ะทีนี้” เธอพึมพำพลางเหลือบไปมองคนที่ยังหลับลึกอย่างใช้ความคิด พลันความคิดบางอย่างก็แวบเข้ามา
“ไม่ๆๆ แกจะถามหาความรับผิดชอบจากความสัมพันธ์ฉาบฉวยแบบนี้ไม่ได้ แล้วแกก็ไม่ได้อยากให้หมอนั่นมารับผิดชอบด้วย” เธอส่ายหน้าหวือ พลางก่นด่าในการกระทำชั่ววูบของตัวเอง กระทั่งความคิดอีกด้านก็ค้านขึ้นมา
“แต่บางทีผู้ชายคนนี้อาจช่วยให้แกไม่ต้องแต่งงานกับไอ้ตี๋ที่พ่อหาให้ก็ได้นี่ เฮ้ย! แต่แกอาจต้องแต่งกับหมอนี่แทนนะเว้ย ไม่ได้ๆ ไม่ว่ากับใคร ฉันก็ยังไม่อยากแต่งทั้งนั้น โอ๊ย! เอาไงดีวะทีนี้” เธอขยี้หัวตัวเองแรงๆ ด้วยความสับสน หลังความคิดตีกันไปมาให้วุ่นไปหมด กระทั่งตัดสินใจได้ในที่สุด
“เอาวะ ถอยไปตั้งหลักก่อนดีกว่า อย่างน้อยฉันก็ยังไม่พร้อมเผชิญหน้ากับหมอนี่ตอนนี้” คิดได้ดังนั้นเธอจึงรีบลุกออกจากเตียง แต่เพราะไม่สามารถรั้งผ้าห่มมาคลุมเรือนร่างเปลือยเปล่าของตัวเองได้ เพราะผ้านั่นมันดันมีแค่ผืนเดียว และมันก็ดันคลุมร่างเปลือยเปล่าของผู้ชายคนนั้นอยู่ แน่นอนเธอไม่อยากเห็นเนื้อตัวล่อนจ้อนนั่น ที่สำคัญเธอไม่อยากให้มีอะไรมาทำให้ผู้ชายคนนั้นตื่น ดังนั้นทุกอย่างจึงเป็นไปอย่างทุลักทุเล กระทั่งมือเธอปัดป่ายไปโดนบางอย่างบนโต๊ะข้างหัวเตียง
ตุ้บ…เจติยาชะงักตาโต รู้สึกหัวใจคล้ายจะหยุดเต้น ด้วยกลัวว่าเสียงนั้นจะทำให้คนข้างๆ ตื่น แต่เมื่อเหลือบไปมองแล้วเห็นว่าเขายังนอนนิ่งดังเดิม เธอจึงค่อยหายใจได้ทั่วท้อง ครั้นพอหันกลับมาก็ยิ่งโล่งใจ เมื่อของที่ตนปัดตกลงพื้นไม่ใช่แก้วหรือขวดไวน์ที่วางอยู่ แต่เป็นเพียงกระเป๋าสตางค์ เห็นดังนั้นเธอจึงรีบก้มลงไปเก็บ แล้วก็เป็นอีกครั้งที่รู้สึกคล้ายว่าหัวใจจะหยุดเต้น เพียงเพราะเห็นบัตรนักศึกษาในกระเป๋าสตางค์นั่น
“นักศึกษา?” เธอเผลออุทานด้วยความตกใจ และเสียงนั่นก็ดังพอที่จะทำให้คนที่เคยหลับสนิทเริ่มขยับ โชคดีที่เขาเพียงแค่ขยับพลิกตัว ทำให้คนที่เคยยืนแข็งทื่อก่อนหน้าได้สติรีบเก็บเสื้อผ้าที่ตกอยู่บนพื้นขึ้นมาใส่ และไม่ลืมที่จะวางกระเป๋าสตางค์ลงที่เดิม
“นี่มันวันซวยอะไรของฉันวะเนี่ย เสียตัวไม่พอ ยังจะโดนคดีพรากผู้เยาว์ด้วย เฮ้อ! หวังว่าเราคงไม่ต้องเจอกันอีกนะ” เธอมองคนที่ยังหลับพลางถอนหายใจหนักๆ ก่อนเดินออกไป โดยไม่รู้เลยว่าตัวเองได้ทิ้งความวุ่นวายเอาไว้เบื้องหลัง