หล่อนตั้งท่าที่จะเดินทางไปในทันทีเลย กำลังขยับฝีเท้าเพื่อจากไป แม้จะถือว่าในยามนี้เรียกว่าเช้าตรู่มากก็ตาม ที่ตื่นแบบนี้เขาเรียกว่าลุกตื่นแบบไก่โห่เหมือนคนเห่อการทำงานในวันแรกด้วย
หญิงสาวแต่งกายสวยในชุดเสื้อกระโปรงสีอ่อนๆคาดด้วยเข็มขัดเส้นโตส่วนเส้นผมนั้นรวบเกล้าพันยกสูง ในที่ทำงานมีแต่สายตาที่มองมาอย่างชื่นชม แม้รินรวีเพียงแค่มาเรียนรู้งาน แต่หญิงสาวก็เรียนรู้ได้อย่างว่องไว จนคนสอนชมเปาะ
“คุณรวีนี่สอนเป็นเร็วค่ะ”
“ขอบคุณพี่อ้อมค่ะ” รินรวีตอบผู้สอนงานแก่หล่อน การศึกษาและการเรียนรู้ไม่ใช่เรื่องยากหรอก ถ้าเอาใจใส่ เป็นอีกสามวันแล้ว ที่รินรวีได้พบเจอกับบรรยากาศของการทำงาน แม้จะดูวุ่นวายไปบ้างของออฟฟิศ ซึ่งมีผู้คนหลากหลายและแผนก แต่ก็แบ่งส่วนกัน ลูกชายของเจ้าของบริษัทต่างหากที่เขาดูเหมือนจะไม่ใส่ใจในสิ่งเหล่านี้อย่างจริงจังเลย เพราะในความเป็นจริง เขาจะเป็นผู้ครอบครองในวันยังค่ำ
เมื่อคืนนี้เขาไม่ได้มารบกวนหล่อนอีกหลังจากนั้น แต่ก็วุ่นวายแกมตกใจกลัวเหมือนกัน กับท่าทีเหล่านั้น ที่รินรวีไม่อาจจะเดาความได้ แต่รินรวีเชื่อว่า ถึงอย่างไรเสือก็ต้องเป็นเสืออยู่วันยังค่ำ
หล่อนเรียนรู้งานในคราวนี้เวลานั้นปาเข้าไปถึงสิบโมงเช้าแล้ว แปลก ที่รู้สึกว่า เวลานั้นช่างผ่านไปโดยง่ายดาย และถ้าเป็นตอนนี้ ที่รินรวียังไม่ได้ตัดสินใจเข้ามาทำงาน หล่อนคงจะขลุกอยู่ที่ห้อง หรือไม่ก็เตร็ดเตร่อยู่มุมใดมุมหนึ่งในตัวบ้าน สวนดอกไม้ ทุ่งหญ้า
ประตูบานกระจกถูกผลักเข้ามาพร้อมด้วยร่างสูงในชุดสูทหนาสีเทาอ่อนก้าวเข้ามา พร้อมด้วยสายตากวาดมองนิดหนึ่ง ปรัณย์แต่งกายเนี๊ยบตั้งแต่เส้นผมจรดเท้าเลยทีเดียว แต่รินรวีที่เผลอมองนิดหนึ่งแล้ว หล่อนแอบค่อนเบา
“หล่อก็หล่อเถอะ พ่อคุณชายตื่นสาย เวลาป่านนี้แล้วเพิ่งมาทำงาน”
“นี่ขมุบขมิบอะไรกัน” น้ำเสียงที่หล่อนบ่นเบาออกมานั้นทำให้เขาได้ยิน แต่รินรวีตอบ
“เปล่า ฉันไม่ได้ว่าคุณ”
“แล้วว่าใคร”
“คนที่นอนอยู่ที่บ้านต่างหาก”
“แล้วไป” เสียงตอบจากเขาเหมือนจะผ่านเลยไปจากตรงที่หล่อนนั่งลงทำงาน เอ๊ะวันนี้หล่อนรู้สึกแปลกใจ ที่เขาไม่ได้เหน็บเอาผู้หญิงคนนั้นติดสอยมาด้วย แต่หัวใจของรินรวีก็ชืดชาเกินที่จะต้องมารับรู้ กับท่าทางของผู้หญิงแบบนั้นก็ตาม รินรวีไม่ได้คิดดูถูก แต่รินรวีก็เชื่อว่า หล่อนมองคนไม่ผิดหรอก เลิกสนใจเสียที ต่อไปนี้ชีวิตนี้มีแต่หล่อนเพียงอย่างเดียว ก็เพราะรับรู้เงื่อนไขของเขาอย่างดิบดี
หากร่างสูงตรงยังไม่ละสายตาจากไปพร้อมคิ้วเรียวเข้มขมวดเข้าหากัน
“แล้วเรื่องฝึกงานของเธอไปถึงไหนแล้วล่ะ”
“ไม่ต้องมาล้อเลียนฉันหรอกย่ะ ฉันทำได้ดีที่สุดก็แล้วกัน”
“จะพยายามเชื่อ ขอให้เป็นอย่างนั้นเถอะ” จากนั้นรองเท้าหนังก็กระแทกเดินจากไป ภายในห้องของท่านประธาน ที่บรรดาพนักงานทุกคนรู้ดี
ฝ่ายของรินรวีต้องมาถอนหายใจอีกครั้ง นี่มีใครจะเชื่อบ้างหรือเปล่าว่า หล่อนและเขาผ่านการแต่งงานมาแล้ว เป็นสามีภรรยา แต่ท่าทางการวางตัวไม่ยักกะเหมือน รินรวีทราบตรงนี้อยู่เช่นกัน แต่จะให้หล่อนเล่นให้เนียนขนาดไหน ถึงขนาดเอาตัวเองเข้าใกล้เขานะหรือ หล่อนไม่เอาหรอก บอกได้เลยว่าตัวเขานั้นห่างจากสเปกต์หล่อนมากที่สุด ถึงแม้หน้าตานั้นจะสอบผ่าน แต่จิตใจล่ะ สอบตก
นี่เขาทักทายหล่อนเหมือนว่าหล่อนเป็นเพื่อน พนักงานทุกคนในห้องนี้ย่อมได้ยิน แต่รินรวีจะไม่รู้สึกสิ่งใดทั้งสิ้น ในสิ่งที่เขาพยายามกดและหมิ่นแคลนหล่อน ซึ่งหล่อนอยากจะมองเขาให้เป็นอากาศธาตุด้วยซ้ำ จิตใจของหล่อนจะได้ไม่ต้องจำและนำมาคิด
และที่นี่รินรวีกำลังนั่งอยู่ตามลำพัง ลองทำตามที่พี่เลี้ยงช่วยสอนโปรแกรมต่างๆ ปรากฏว่าเธอทำได้ สบายมาก รู้สึกดีใจจนอมยิ้ม แต่ที่ต้องหุบยิ้มในเวลาต่อมา ก็มีหญิงสาวคนหนึ่งร้องเจื้อยแจ้วดังมาแต่ไกลแบบไม่อายผู้คน
“ปรัณย์ขา จะมาทำงานทั้งทีไม่ชวนแก้วเลย” รินรวีอยากจะปิดหูในการรับฟังกับเสียงพวกนี้ หล่อนไม่ต้อนรับ กับน้ำเสียงที่จงใจแสดงความหวานบาดจิต หรือจะแปร๋แปร๋นจริตของผู้หญิงคนนี้ รินรวีกำลังคิดอยู่อย่างเดิมว่า เธอยังเป็นอากาศธาตุที่ว่างเปล่าเดียวดาย สัญญากับตัวเองไว้ว่าจะไม่เข้าไปยุ่งกับปรัณย์
แล้วถ้าหากเขามายุ่งกับหล่อนล่ะ ปัญหามันอยู่ตรงนี้ เบือนสายตาไปทางอื่น ไม่แม้แต่จะมองร่างของแก้วกานต์ที่ปรี่เข้ามาด้วยท่าทางและสีหน้าร่าเริงหล่อนตรงเข้าไปในห้องของปรัณย์ที่ทำงานประจำอย่างรู้ดี
เสียงนั้นดังมากพอที่จะทำให้พนักงานที่ทำงานอยู่ตรงนั้นได้ยินเสียงนั้นแจ่มชัด และหากจะมาย้อนถามกับรินรวีว่า เธออับอายไหม กับการที่ผู้หญิงแปลกหน้าคนหนึ่ง ถึงแม้จะเป็นคู่รักเขาก็ตามทีเถอะ ไม่ได้มีสิทธิ์อะไรด้วยซ้ำ เหมือนกับที่จดทะเบียนสมรสกับหล่อน รินรวีต่างหากที่ถูกต้องตามกฏหมาย แต่ความจริงแล้วหล่อนไม่เคยยกเรื่องนี้มาอ้าง หรือเพื่อให้ใครรับทราบและชื่นชมเลย มันไม่จำเป็น อีกอย่างพนักงานในบริษัทนั้นได้รู้สถานะแท้จริงของหล่อนไปแล้ว
หากในสายตาของพนักงานนั้น แก้วกานต์คงเป็นผู้หญิงหรือกิ๊กที่มาเกาะแกะสามีของคนอื่น หล่อนมีความรู้สึกว่าแก้วกานต์นั้นปรารถนาในตัวของปรัณย์ปานจะกลืนกินเขาได้เลยทีเดียว
เมื่อปรัณย์เห็นว่าแก้วกานต์เดินมาถึงโต๊ะของเขาแล้ว ปรัณย์เองเริ่มทำงาน เขาอยู่หน้าจอ หน้าที่ของผู้บริหารก็ตรวจตราดูงานสำคัญที่เลขาส่งมาอีกที
“ไหนว่า จะให้แก้วเข้ามาเป็นเลขาไงคะ ลุงประทักษ์ยังพูดวันนั้นเลย”
หล่อนนำคำนี้มาบอกเขา ปรัณย์ก็จำได้ เพียงแต่เขายังไม่ว่างที่จะคุยกับหล่อน เพราะสายตาของเขาจดจ่ออยู่ที่จอคอม ซึ่งแก้วกานต์เห็นว่าเขาทำงานอยู่ หล่อนไม่กล้าขัด เพราะน้ำเสียงของเขาเงียบไปด้วย ท่าทีของหล่อนที่กำลังกระดี๊กระด๊าอย่างเปรมปริ่มเลยเปลี่ยนไป แม้จะหน้าหงิกหน้างอเพราะการรอคอยแต่หล่อนก็ต้องอดทน
หล่อนทิ้งให้มันผ่านไปถึงสิบห้านาที คราวนี้เลยตัดสินใจถามเขาแบบเดิมอีกครั้ง
“จำได้ไหมคะ ที่คุณลุงประทักษ์เองก็ไม่ขัด ที่อยากจะให้แก้วมาเป็นเลขาของปรัณย์”
เขาได้ยินเสียงของหล่อนอีกครั้ง ยอมรับปรัณย์กำลังไม่มีสมาธิ หากแต่เพียงชั่วครู่ก็วางมือจากแป้นและคีย์บอร์ด หันมาทางหล่อน พลางยิ้มให้
“แก้วนั่งพักผ่อนไปก่อน ตอนนี้ผมกำลังยุ่งอยู่ ประเดี๋ยวตอนเที่ยงจะพาออกไปทานข้าว”