“เกี่ยวตรงที่ฉันแคร์คุณไง” เป็นอีกครั้งที่เขาชะงัก ก่อนจะเผลอยิ้มออกมาอย่างลืมตัว พลันต้องมาหยุดยิ้มเพราะประโยคหนึ่งของเธอที่มันยังวนเวียนอยู่ในหัว
“เธอจะแคร์คนที่เธอไม่คิดจะติดต่ออีกทำไม” เขายังคงยืนหันหลังให้ ในขณะที่เธอยังทำหน้างง อดคิดไม่ได้ว่าอีกฝ่ายกำลังงอนหรือไม่ก็กำลังน้อยใจเรื่องเมื่อตอนกลางวัน
คนหนึ่งใจลอยเพราะยังคิดไม่ตก ส่วนอีกคนก็กำลังร้อนใจเมื่อยังไม่ได้คำตอบ และเมื่อเห็นว่าเธอนิ่งเงียบไปนานสองนาน เขาจึงหันกลับมา ทำเอาคนที่ไม่ทันตั้งตัวถึงกับร้องเสียงหลง
“ว้าย!” เป็นเพราะคนใจร้อนที่หันมาแบบปุบปับ ทำให้มือที่ยังจับชายเสื้อถูกเหวี่ยงจนเสียหลัก โชคดีที่เขาโจนมารับไว้ได้ทัน ไม่อย่างนั้นเธอคงหงายหลังล้มตึงไม่เป็นท่า และด้วยท่าทางในตอนนี้ทำให้เธอเผลอคิดสะระตะไปอีกทาง
‘อย่างกับฉากสวีทในละคร นางเอกล้มแต่พระเอกก็เข้ามารับไว้ได้ทัน ถ้าเหมือนในละครงั้นฉัน...ก็นางเอกน่ะสิ ส่วนเขาก็...’ เธอมองหน้าอีกฝ่ายที่ห่างกันไม่ถึงคืบ ก่อนจะสวมวิญญาณนักเขียนเขียนนิยายให้ตัวเองกลายเป็นนางเอกอย่างสมบูรณ์
‘อ๊าย! ใกล้ขนาดนี้ ตามองตาขนาดนี้ ฉากต่อไปก็คงไม่พ้น...จูบ’ ว่าแล้วแม่นางเอกก็หลับตาอย่างรอคอย กระทั่งการรอคอยสิ้นสุดลง
“ตุ๊บ! อั๊ก! โอ๊ย!” จูบที่รอคอยกลายเป็นจุกแบบไม่ได้ตั้งตัว เพราะเขา...ดันปล่อยมือจากเธออย่างไม่ใยดี เป็นให้เธอต้องลงไปนั่งแหมะอยู่กับพื้น
“เพ้อเจ้อ” เขาแก้เก้อด้วยการเสมองไปทางอื่น ก่อนจะแอบอมยิ้มน้อยๆ ทีแรกก็ไม่ได้ตั้งใจจะปล่อยมือจากเธอหรอก แต่พอได้ยินคำว่าจูบ มือไม้มันก็ไร้เรี่ยวแรงเลยเผลอปล่อยมือในที่สุด
“คุณน่ะสิเพ้อเจ้อ เพ้อที่ปล่อยฉันเนี่ย ทำไมร้ายล่ะ ไม่เห็นเหมือนพระเอกในละครเลยสักนิด”
“เธอเองก็ไม่เหมือนนางเอก เพราะไม่มีนางเอกที่ไหนเพ้อเจ้อเหมือนเธอ” โดนเขาตอกกลับ เธอถึงกับเม้มปาก
“ผู้ชายปากร้ายอย่างคุณก็เป็นพระเอกไม่ได้เหมือนกันนั่นแหละ บ้าชะมัด! นอกจากไม่ได้เป็นนางเอกยังต้องมาเจอผู้ร้ายปากเสียอีก เจ็บทั้งตัวเจ็บทั้งใจแล้วก็เจ็บก้นด้วย” จะไม่เจ็บได้ยังไงก็เล่นก้นจ้ำเบ้าลงไปขนาดนั้น
“ช่วยหน่อย เจ็บอะ” คนที่ยังนั่งแหมะอยู่กับพื้นยื่นมือขอความช่วยเหลือ แต่ให้ตายเถอะ หน้าอ้อนๆ ที่กำลังกะพริบตาปริบๆ กับเสียงงุ้งงิ้งงอแงของแม่คุณกำลังทำเขาเสียอาการจนต้องยื่นมือไปประคองเธอแบบไม่รู้ตัว
“อุ๊ย!” เธออุทานด้วยสีหน้าขัดเขิน เพราะแรงดึงของเขาที่ทำให้คนตัวเล็กๆ อย่างเธอเสียหลักเซปะทะกับอกเขา ราวกับฉากกุ๊กกิ๊กของพระนางในละคร ต่างกันก็แค่จริตของคุณเธอที่ไม่ได้มีความเป็นนางเอกเอาซะเลย
‘เซอย่างกับนางเอกในละคร นี่มันเบลล่าชัดๆ เซเก่ง ล้มเก่ง แล้วก็ต้องซบเก่งด้วย’ ว่าแล้วแม่นางเอกสายมโนก็ซบหน้าลงไปที่อกแกร่งของเขาทันที กระทั่งมีบุคคลที่สามสี่ห้าเข้ามา
“อูว!” สามหนุ่มผงะกับภาพที่เห็น ทำให้คนที่ถูกบังคับให้สวมบทพระเอกรีบผละห่างออกมาในทันที
“มีอะไร” เขาพยายามปรับน้ำเสียงให้เป็นปกติที่สุด แต่ให้ตายเถอะ! สีหน้าเลิ่กลั่กนั่นกลับดูไม่ปกติเอาซะเลย
“เอ่อ...ได้เวลาแล้วกระหม่อม” เฟาซีบอกด้วยสีหน้าปกติ แต่คนที่ไม่ปกติเห็นทีคงหนีไม่พ้นฮารีฟอีกเช่นเคย
“แต่ถ้าพระองค์อยากล่ำลากันแบบส่วนตั๊วส่วนตัว ก็ยังพอมีเวลานะพ่ะย่ะค่ะ” ฮารีฟทำหน้าล้อเลียน
“ไร้สาระ จะไปก็รีบไป” คนถูกล้อวางหน้าไม่ถูกจึงทำท่าจะผละออกไป
“แล้วพระองค์จะไม่พูดอะไรกับนางหน่อยหรือพ่ะย่ะค่ะ” เฟาซีเห็นพรสวรรค์หันมองคนนั้นคนนี้ด้วยความสงสัย จึงพูดขึ้น ทำให้ทั้งหมดต้องหันมามองเธอเป็นตาเดียว
‘มองขนาดนี้ อย่าบอกนะว่ายังอยากได้เรา บ้าชะมัด นี่เรายังแสดงออกไม่พออีกเหรอว่าเราเป็นของอีตายักษ์นั่น เฮ้อ! ต้องสมบทบาทมากกว่านี้สินะ’ ว่าแล้วแม่คุณก็เดินดุ่มๆ เข้าไปหาตายักษ์ของเธออย่างหมายมาด แล้วก็ทำในสิ่งที่คิดว่าสมบทบาทที่สุด
“........” สองมือโอบรอบคอพร้อมเขย่งสุดปลายเท้า แล้วก็...จุ๊บที่ปากเขาเบาๆ ท่ามกลางสายตาทุกคู่ที่มองมาด้วยความตกตะลึง แล้วที่ตกตะลึงเนี่ยก็ไม่ใช่เพราะความก๋ากั่นที่เธอกล้าจูบเขาต่อหน้าทุกคนนะ แต่ตกตะลึงที่ท่านชีคของพวกเขายอมยืนนิ่งๆ ให้เธอจูบนี่แหละ มิหนำซ้ำยังแอบยิ้มกริ่ม ราวกับว่ารู้เห็นเป็นใจให้เธอกระทำการอาจหาญเช่นนี้
“แม่เจ้า! เกิดอะไรขึ้นวะ หรือทรงไปกินอะไรผิดสำแดงมา” ฮารีฟหันไปกระซิบสองหนุ่มข้างๆ ซึ่งดูเหมือนว่าทั้งสองก็มีสีหน้าแปลกใจไม่ต่างกัน เพราะปกติแล้วอย่าว่าแต่จะจูบ แม้แต่เข้าใกล้ ท่านชีคของพวกเขายังไม่โปรดเลยด้วยซ้ำ แต่นี่...ท่านชีคของพวกเขาปล่อยให้เธอทั้งจูบทั้งกอดทั้งคลอเคลียด้วยความเต็มใจ
“ทำอะไรของเธอ” ชีคหนุ่มอมยิ้มพร้อมก้มถามเบาๆ
“แม่เจ้า! นี่ไม่ใช่ตัวจริง ท่านชีคตัวจริงของกูอยู่ไหน” ก็ถ้าเป็นตัวจริง ป่านนี้คงไล่ตะเพิดเธอออกไปนานแล้ว แต่นี่นอกจากจะไม่ไล่แล้ว ยังกระซิบกระซาบกันด้วยเสียงเล็กเสียงน้อยจนฮารีฟยังรับไม่ได้
“ก็ทำให้สามคนนี้เลิกตามตื๊อฉันสักทีไง” เธอกระซิบตอบด้วยการเขย่งเท้าโน้มใบหน้าชิดใบหู
“ฉันรู้สึกเหมือนเรากำลังเป็นส่วนเกินเลยว่ะ” เห็นท่าทางกระหนุงกระหนิงของทั้งคู่แล้ว ฮาซานจึงพูดขึ้นบ้าง
“งั้นส่วนเกินควรออกไปใช่ไหมวะ” ฮารีฟปรึกษาพี่ชาย แต่คนตอบกลับเป็นเฟาซี
“ไม่! ถ้าจะออกเราต้องพาท่านชีคออกไปด้วย อย่าลืมสิว่าเรายังมีภารกิจที่ต้องทำ แล้วเราก็ไม่ควรเสียเวลาอีก ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม” สองพี่น้องหันมองหน้ากันก่อนจะหันมาพยักหน้าอย่างเสียไม่ได้ให้กับเหตุผลเฟาซี
“ได้เวลาแล้วครับ” ครั้งนี้เฟาซีเลือกที่จะใช้ภาษาอังกฤษเพื่อให้เธอรับรู้และเข้าใจด้วย
“ได้เวลา? พวกคุณจะไปไหนกันเหรอ” เธอเอียงคอถามด้วยความสงสัย
“ฉันมีธุระต้องไปจัดการ เธอรออยู่นี่ เสร็จแล้วฉันจะรีบกลับมา” เขาบอกพร้อมกับทำท่าจะผละออกมา แต่ติดตรงที่มีมือของเธอมารั้งเอาไว้นี่แหละ
“ฉันไปด้วย” เธอกระตุกแขนเขาพร้อมกับทำสายตาออดอ้อน
“ไม่ได้ มันอันตราย เธออยู่นี่จะปลอดภัยกว่า ฉันจะให้ฮารีฟอยู่เป็นเพื่อน อยากได้อะไรก็บอกเขาได้” คนถูกเอ่ยชื่อถึงกับหันขวับ
“เอ้า! ไหงเป็นฉันวะ” ฮารีฟกระซิบถามสองคนข้างๆ ด้วยสีหน้างงงวย แต่ยังไม่ทันได้คำตอบ เสียงเธอก็ดังขึ้นซะก่อน
“แบบนั้นยิ่งอันตราย ให้ฉันไปเสี่ยงกับคุณยังจะปลอดภัยซะกว่า คนของคุณน่ากลัวจะตาย” เธอโพล่งออกมาเสียงดัง แน่นอนว่าฮารีฟเองก็ได้ยินชัดทุกถ้อยคำ คนถูกหาว่าเป็นตัวอันตรายจึงอดไม่ได้ที่จะยืนเขม่นเข่นเขี้ยวอยู่ตรงนั้น
“ไม่ต้องห่วง คนของฉันไม่กล้าทำอะไรเธอหรอก หรือถ้าเธอยังกลัว เธอก็แค่เข้าห้องล็อกประตู แล้วก็อยู่แต่ในนั้นไม่ต้องออกมา” เขาเข้ามากระซิบใกล้ๆ ให้ได้ยินกันสองคน