“ฉันจะฝากชีวิตไว้กับประตูบานแค่นั้นได้ยังไง คนของคุณทั้งใหญ่ทั้งถึกออกขนาดนั้น เกิดเขา...อึ๋ย! ฉันจะทำยังไง” แค่จินตนาการว่าอีกฝ่ายจะพังประตูเข้ามาเพราะทนแรงปรารถนาที่มีต่อเธอไม่ได้ เธอก็ขนพองสยองเกล้าจนขวัญหนีดีฝ่อไปหมด
“ทำไมฉันรู้สึกว่าสองคนนั้นทำเหมือนฉันเป็นไอ้โรคจิตวิตถารแบบนั้นวะ หรือว่าฉันคิดไปเอง” ฮารีฟพยายามเงี่ยหูฟัง แต่กลับไม่ได้ยิน สังเกตเห็นแค่สีหน้าจึงได้แต่ทำหน้าฉงนอยู่อย่างนั้น
“แกไม่ต้องคิดมาก เพราะแก...เป็นแบบนั้นอยู่แล้ว” คนเป็นพี่ชายตบไหล่พร้อมเสริมให้เบาๆ
“เอาล่ะ ไม่ว่ายังไงเธอก็ไปกับฉันไม่ได้” เขาตัดบทด้วยการหันหลังเดินออกไป แน่นอนว่าทุกอย่างคงราบรื่น ถ้าไม่ติดว่า...แขนของเขายังมีเธอเกาะติดไม่ยอมห่างแบบนี้
“นี่! ยัยตัวแสบ เธอจะเอายังไงกับฉันห๊ะ” เขาหันมาตะโกนถามด้วยความโมโห ด้วยยังมีเรื่องสำคัญต้องจัดการ อีกทั้งเวลาก็จวนเข้าไปทุกที
“ก็ไม่เอายังไง แค่ขอฉันไปด้วยคนก็พอ นะ! ขอร้องล่ะ อย่าปล่อยฉันไว้กับผู้ชายคนนั้นเลย ฉันกลัว ให้ฉันไปเสี่ยงกับคุณฉันยังรู้สึกปลอดภัยกว่า อย่างน้อยการได้อยู่ข้างๆ คุณก็ทำให้ฉันได้อุ่นใจ” เธอทำตาปริบๆ ออดอ้อน
“แต่มันเสี่ยงเกินไป ยังไงฉันก็ให้เธอไปด้วยไม่ได้ เธอต้องอยู่ที่นี่” เขาบอกพร้อมแกะมือเธอออกจากแขนของตัวเอง มันคือภาพดราม่าประหนึ่งพระนางที่จำต้องจากกันด้วยความจำใจ
ตัดมาที่ภาพปัจจุบัน
“ให้ตายสิ! ฉันไม่น่ายอมเธอเลยจริงๆ” ชีคหนุ่มได้แต่ตำหนิตัวเองที่ใจอ่อนยอมให้เธอติดสอยห้อยตามมาด้วยแบบนี้ ก็แม่คุณเล่นเกาะติดตามตื๊อไม่ยอมปล่อย ไม่ว่าเขาจะพยายามแค่ไหน แต่สุดท้ายก็แพ้ลูกอ้อนของแม่คุณอยู่ดี ถึงขนาดคิดว่าถ้าเธออยู่ใกล้เขาจะปลอดภัยเหมือนที่เธอพูดจริงๆ แต่พอเห็นสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานที่ศัตรูมีอาวุธครบมือแบบนี้ ความคิดนั้นก็เปลี่ยนไป
“เอาน่า ไหนๆ ฉันก็มาด้วยแล้ว ถึงตำหนิตัวเองไปตอนนี้ก็ทำอะไรไม่ได้แล้วอยู่ดี สู้มาช่วยกันคิดดีกว่าว่าเราจะเอายังไงกับคนพวกนั้นดี” เธอเสนอความคิดขณะแอบซุ่มดูเหตุการณ์อยู่ตรงมุมหนึ่ง
“เรา?” เขาย้อนถามด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ
“ก็ใช่ไง นี่ก็มันบ้านเมืองฉัน ฉันก็ควรมีส่วนร่วมจัดการกับคนชั่วพวกนั้นด้วยสิ” ชีคหนุ่มกัดฟันกรอด รู้สึกว่าตัวเองคิดผิดถนัดที่ยอมใจอ่อน เพราะนอกจากแม่คุณจะตื๊อจนได้มาด้วย แม่คุณยังดื้อไม่ยอมซ่อนตัวอยู่บนรถตามที่เขาสั่ง แล้วนี่ยังริที่จะเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงด้วยอีก
“เธอคิดว่าพวกฉันมาทำอะไร มาเล่นสนุกกันรึไง นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ มันเสี่ยงแล้วก็อันตรายเกินกว่าที่เธอจะเข้ามายุ่ง เพราะฉะนั้นกลับไปที่รถแล้วก็อยู่แต่ในนั้นจนกว่าฉันจะกลับไป” เขาสั่งเสียงเข้มไม่มีแววล้อเล่นอีกต่อไป
“ก็ได้ งั้นคุณระวังตัวด้วยแล้วกัน ไอ้พวกนั้นมันมีปืนกันทุกคน ในลังนั่นก็เต็มไปด้วยอาวุธสงคราม อ้อ! ลังทางโน้นมีระเบิด ส่วนลังนั้นมี...ย***า” เธอเผลออุทานเสียงดัง โชคดีที่เขารีบเอามือปิดปากเอาไว้ ไม่อย่างนั้นได้ซวยกันหมดแน่
“โทษที ฉันโกรธจนลืมตัวไปหน่อย เห็นไอ้พวกทำลายบ้านทำลายเมืองทำลายเยาวชนแล้วมันอดไม่ได้จริงๆ คิดดูนะว่าถ้ายาพวกนี้ถูกปล่อยออกไป จะมีเด็กและเยาวชนอีกกี่หมื่นกี่แสนคนที่ต้องตกเป็นทาสของมัน ทั้งค้ายาค้าอาวุธ เลวครบทุกรูปแบบ ฉันละเกลียดไอ้พวกเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้พวกนี้จริงๆ” ดูเหมือนเขาจะเข้าใจความรู้สึกตอนนี้ของเธอเป็นอย่างดี ด้วยเขาเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน และนั่นคือสาเหตุที่ทำให้เขาต้องมาไกลถึงที่นี่ เพื่อจับตัวการใหญ่กลับไปรับโทษให้สาสมกับสิ่งที่มันทำลงไป
“เอ่อ...พักเรื่องโกรธเรื่องเกลียดเอาไว้แป๊บนึงแล้วตอบผมหน่อยได้ไหมครับ คุณผู้หญิงรู้ได้ยังไงครับว่าในลังนั่นมีของพวกนั้นอยู่” ฮารีฟที่แอบซุ่มอยู่ข้างๆ เก็บความระแวงสงสัยเอาไว้ไม่อยู่จนต้องถามออกมา ลำพังพวกเขาที่พอจะรู้มาบ้างเพราะตามสืบตามรอยมาตลอด แต่เธอผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องใดๆ กลับรู้ละเอียดยิบกว่าพวกเขาที่เกี่ยวข้องโดยตรง หรือว่า...
“หรือว่าคุณเลี้ยงโหงพราย ไม่ก็กุมารทอง แม่เจ้า! คุณเป็นผู้หญิงที่น่ากลัวมาก” ฮารีฟขยับถอยห่างอย่างระแวดระวัง
“ไม่น่าเชื่อว่าคนต่างชาติอย่างนายจะรู้จักของพวกนี้ด้วย” พรสวรรค์นึกขัน
“รู้จักสิ ก็ก่อนมานี่ผมหาข้อมูลเรื่องพวกนี้มาเป็นอย่างดี” ฮารีฟบอกด้วยความภาคภูมิ
“ข้อมูล? เรื่อง?”
“ก็เรื่องผีไง”
“แล้วนายก็เชื่อเนี่ยนะ”
“ใช่! เอ่อ...แล้วคนที่นี่เขาไม่เชื่อกันเหรอ” ฮารีฟชักเสียความมั่นใจหลังถูกเธอซักด้วยสีหน้าและแววตาแบบนั้น
“ก็แล้วแต่ มันเป็นความเชื่อส่วนบุคคล บางคนก็เชื่อ บางคนก็ไม่ แต่ไม่น่าเชื่อนะว่าคนต่างชาติอย่างนายจะเชื่อกับเขาด้วย”
“ละๆ แล้วคุณล่ะเชื่อรึเปล่า” เพราะท่าทางกล้าๆ กลัวๆ ของฮารีฟ เลยทำให้ความคิดบางอย่างของเธอบรรเจิดเฉิดฉายขึ้นมา
‘หมอนี่น่าจะกลัวผีจนขึ้นสมอง หึๆ แบบนี้ก็เข้าทางเราน่ะสิ’
“ยิ่งกว่าเชื่อซะอีก ไม่อย่างนั้นฉันจะเลี้ยงของพวกนั้นได้ยังไง จริงไหม” ฮารีฟได้ฟังถึงกับตาโตจนแทบถลนออกนอกเบ้า
“แม่เจ้า! คุณเลี้ยงผีจริงๆ ด้วย” ฮารีฟขยับถอยห่างอย่างลนลาน ในขณะที่พรสวรรค์ได้แต่แอบยิ้มขันที่อีกฝ่ายเชื่อเธอแบบไม่มีข้อแม้ให้ต้องเสียเวลาอธิบาย
“จะกลัวอะไรเล่า ถ้านายดีกับฉัน ผีของฉันก็จะดีกับนาย ไม่ต้องห่วงน่า มันไม่ทำอะไรนายหรอก ถ้านาย...ไม่ทำอะไรฉัน” เธอหยักยิ้มเจ้าเล่ห์ แต่ฮารีฟคงไม่ได้สังเกตเห็น เพราะมัวแต่กลัว
“ไม่ทำแน่นอน”
“ดี! งั้นเราก็เป็นมิตรกันได้ เดี๋ยวฉันจะบอกให้กุมารทองของฉันเป็นมิตรกับนายด้วยเหมือนกัน”
“ไม่เอาๆ เอ่อ...ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากผูกมิตร แต่เรา...ต่างคนต่างอยู่จะดีกว่าครับ” พรสวรรค์แสร้งพยักหน้าเออออ แต่ในใจกลับกำลังลิงโลด จู่ๆ ก็ดึงคนน่ากลัวเข้ามาเป็นพวกได้หน้าตาเฉย
‘ต่อไปก็ไม่ต้องแสดงละครว่าเป็นเมียของอีตายักษ์นั่นแล้วน่ะสิ เพราะอีตานี่คงไม่อยากได้เราแล้ว ปอดแหกซะขนาดนั้นคงไม่กล้ามาวอแวกับเราอีก’ (เอิ่ม! เดี๋ยวนะ เท่าที่จำได้เขาก็ไม่เคยวอแวสักที มีแต่คุณเธอนี่แหละที่คิดไปเอง)
“กลับไปที่ของเธอได้แล้ว” ขณะกำลังคิดอะไรเพลินๆ ก็ต้องมาสะดุ้งเพราะเสียงเข้มๆ ของเขา
“ไล่จังเลย ชิ! ไปก็ได้” เธอทำหน้างอง้ำ ก่อนจะลุกเดินออกไปจากที่ซุ่ม โดยลืมไปว่าสถานที่นี้ไม่ใช่ที่ที่เธอจะเดินออกมาสุ่มสี่สุ่มห้าแบบนั้นได้
“เฮ้ย! ใครวะ ปัง!” ชายฉกรรจ์คนหนึ่งที่หันมาเห็นเข้าพอดีตะโกนเสียงดัง ก่อนจะยิงปืนมาทางที่เธอยืนอยู่ โชคดีที่เขากระชากแขนเธอหลบได้ทัน
“เฮ้ย! อะไรวะ ยังไม่ทันตอบก็ยิงซะแล้ว แบบนี้จะถามทำไมวะ ไร้มารยาทสุดๆ” เธอก่นด่าด้วยความโมโห
“เธอนี่มัน...” เขาอยากจะตำหนิเธอให้สมกับที่เธอสร้างเรื่อง แต่ติดที่เสียงปืนของคนร้ายดังมาไม่ขาดสาย