ตอนที่ 1 นางในฝัน
@วารานา แกรนด์ โฮเต็ล
'ก๊อกๆๆ'
"เชิญ" เลขาสาวเปิดประตูเดินเข้ามาในห้องทำงานของอคิราห์ทันทีเมื่อซีอีโอหนุ่มขานรับ
"รูปผู้หญิงที่ท่านประธานสั่งให้ทำใส่กรอบได้แล้วค่ะ" นิตายื่นกล่องสีน้ำตาลใบเล็กที่มีกรอบรูปอยู่ในนั้นให้เจ้านาย เขารับมันมาถือไว้และพเยิดหน้าเป็นการส่งสัญลักษณ์ให้หล่อนเดินออกไป
"เธอเป็นใครกัน..." อคิราห์หยิบกรอบรูปที่อยู่ในกล่องสีน้ำตาลออกมา เขาเผลอยิ้มมุมปากเล็กน้อยเมื่อเห็นรอยยิ้มสวยละมุนในชุดนักศึกษาที่ตนเคยพบโดยบังเอิญเห็นเมื่อหลายเดือนก่อน
'ครืดๆๆ'
"ฮัลโหล"
(ท่านประธานครับ มีนักศึกษามาเสนอตัวทำงานครับ) กฤษณ์ลูกน้องคนสนิทรายงานมาตามสาย
"ช่วงนี้ผมไม่มีอารมณ์ แล้วก็ไม่ต้องหานักศึกษามาให้ผมเลี้ยงแล้ว"
(ผมว่าท่านประธานดูรูปของนักศึกษาคนนี้ก่อนดีกว่านะครับ เผื่อว่าท่านจะเปลี่ยนใจ) กฤษณ์พูดจบแล้วจึงกดปุ่มวางสาย จากนั้นจึงส่งรูปภาพของนักศึกษาสาวเข้ามาในมือถือของอคิราห์
สายตาคมกริบจ้องมองรูปภาพนักศึกษาที่อยู่บนหน้าจอมือถือสลับกับรูปที่อยู่ในกรอบซึ่งตนสั่งทำเองกับมือ คิ้วเข้มขมวดแทบชนกันด้วยความรู้สึกประหลาดใจ
"เป็นไปได้ยังไง..." ผู้หญิงที่เขาพร่ำหาเพราะความสวยงดงามบนใบหน้า กำลังเสนอตัวมาทำงานเพราะต้องการเงินเพียงเท่านั้น น่าแปลกใจที่อคิราห์รู้สึกผิดหวัง แต่ถึงอย่างนั้นก็ยอมต่อสายกลับไปยังกฤษณ์
"ส่งผู้หญิงคนนี้มาเจอผมเย็นนี้" เขาออกคำสั่งเท่านั้นแล้วจึงกดปุ่มวางสาย ร่างสูงกำยำหยัดกายลุกขึ้นและส่งสถานที่นัดหมายไปยังลูกน้องคนสนิท
@ห้างสรรพสินค้า ใจกลางมหานคร
แววตาประกายวาววับหรี่ลงมองผู้คนคลาคล่ำซึ่งกำลังเดินออกจากบริเวณหน้าลิฟต์ของห้างสรรพสินค้าหรู พลันเหลือบดูนาฬิกาจึงเห็นว่าเป็นเวลาที่ต้องเร่งรีบแล้ว จุดมุ่งหมายบนตึกสูงระฟ้าช่างแสนไกลเมื่อเสียงประกาศลิฟต์ขัดข้องดังขึ้น ครั้นจะวิ่งขึ้นบันไดบนรองเท้าส้นสูงก็คงเป็นไปไม่ได้ ซ้ำยังสวมกระโปรงนักศึกษาทรงเอสั้นเห็นขาอ่อน ขืนสังขารขึ้นไปก็คงมีแต่จะตีลังกาหัวคะมำกลับลงมาอย่างน่าเวทนา
"ซวยแล้ว อีกไม่ถึงสิบนาที" มัสยายกข้อมือขึ้นดูเวลาทุกสิบวินาที เวลานัดหมายเพื่องานสำคัญย่ำเดินมาจรดตรงปลายจมูก เวลาสิบนาทีในสถานการณ์เร่งรีบเช่นนี้มันช่างแสนสั้น หายใจไม่กี่อึกก็ผ่านไปแล้วหลายนาที
"ฉันจะไม่ขึ้นบันไดเลื่อน ไม่มีทางขึ้นบันไดเลื่อน..." มัสยาขยับมือเล็กทั้งสองข้างขึ้นมากุมขมับพลางพึมพำกับตนเอง เหตุการณ์ฝังใจอันเลวร้ายเกี่ยวกับบันไดเลื่อนซึ่งเป็นสาเหตุทำให้ผู้เป็นบิดาของเธอจากไปไม่มีวันกลับเฝ้าหลอกหลอนตลอดมา มัสยาจึงหลีกเลี่ยงการใช้บันไดเลื่อนเพียงคนเดียวลำพังตลอดมา
"บ้าจริง!" เธอพยายามปัดภาพการเคลื่อนไหวของบันไดอัตโนมัติออกจากหัวสมองโดยการเดินออกจากหน้าลิฟต์มายังบริเวณหน้าห้าง ใบหน้าหวานเปล่งปลั่งแหงนมองต้นคริสต์มาสสูงระตึกหรูกลางเมืองสวรรค์ที่เรียกขานว่ามหานคร
"ซวย! แบบนี้เรียกว่าซวย โถ่เอ๊ย! ทำไงดีวะ" มัสยาตัดพ้อโชคชะตา ร่างบางทิ้งตัวนั่งลงตรงบันไดหน้าห้างสรรพสินค้า ก้นงอนแนบลงบนขั้นบันไดโดยไม่กลัวว่ามันจะเปรอะเปื้อน พลันเหลือบมองนาฬิกาข้อมือก็เห็นว่าเลยเวลานัดหมายเสียแล้ว ได้แต่อธิษฐานขอให้ลิฟต์ใช้ได้โดยเร็ว แม้จะไปช้าสักหน่อยซีอีโอหนุ่มก็คงจะเห็นใจกันบ้าง หากอยู่ในห้างสรรพสินค้าเดียวกันก็คงต้องรู้ว่าปัญหาเกิดขึ้นเพราะลิฟต์เจ้ากรรม ไม่ใช่ความผิดของเธอเสียหน่อย
"แม่...หนูจะไม่ยอมแพ้ แม่จะต้องหาย...แม่ขา" มัสยาพึมพำด้วยอารมณ์กลัดกลุ้มใจ การหาเงินจำนวนหลายแสนในช่วงเวลาไม่กี่วันเพื่อนำไปจ่ายค่ารักษามารดาเปรียบเสมือนบททดสอบสำคัญในชีวิตว่าเธอจะสามารถก้าวผ่านไปได้หรือไม่
แต่ทว่าระหว่างนั้นกลับมีบุรุษมีสองคนเดินผ่านมา ทั้งสองจับจ้องมายังร่างบางในชุดนักศึกษา ใบหน้างดงามของมัสยาโดดเด่นแม้ยามค่ำคืน พวกเขาซุบซิบกันครู่หนึ่งจึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายภาพ
"คนนี้เป็นดารานี่ กำลังถ่ายละครฟอร์มยักษ์อยู่ ใกล้จะออนแอร์แล้วด้วย" พวกเขาพูดคุยกัน
"อย่าถ่ายนะ!" แม้กำลังจะก้าวขึ้นมาเป็นดารานักแสดงซึ่งได้ขึ้นชื่อว่าเป็นบุคคลสาธารณะ แต่ก็ใช่ว่าการเป็นนักแสดงจะไม่มีเวลาส่วนตัวเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่เธออยู่ในชุดนักศึกษาและนั่งทำหน้าง้ำงออยู่บริเวณหน้าห้างสรรพสินค้าราวกับคนหมดอาลัยตายอยากเช่นนี้
"บอกว่าอย่าถ่ายไง ลบออกให้หมดเลยนะ!" เพราะอารมณ์อัดอั้นตันใจทำให้มัสยาตะโกนออกไปเสียงดังราวกับคนขาดสติ มันช่างไม่ต่างกับที่มาของฉายาคนมีชื่อเสียงหลายคน พวกเขามักครหาว่าชอบทำนิสัยเหวี่ยงบ้างวีน แต่ถึงอย่างไรทุกคนก็เป็นมนุษย์ มีหัวใจที่รับรู้ความทุกข์ความสุข ความเศร้าและอารมณ์หงุดหงิดโมโหไม่ต่างกัน
"เป็นดาราทำไมถึงได้เหวี่ยงแบบนี้ล่ะ ก็แค่ถ่ายรูปเฉยๆ" บุรุษคนหนึ่งตอบกลับมาเสียงดัง
"แต่นี่มันเป็นสิทธิส่วนบุคคลนะ ฉันไม่ได้กำลังแสดงละครหรือว่าอยู่ในสถานที่ที่มีการจัดงาน เพราะฉะนั้นลบรูปของฉันออกให้หมดเลยนะ"
"ไม่ลบ!"
"เธอบอกให้ลบ...ก็คือลบ!" ทันใดนั้นเสียงของบุรุษรูปร่างสูงกำยำในชุดสูทผูกเนกไทคนหนึ่งดังขึ้น น้ำเสียงของเขาช่างดุดันและเต็มไปด้วยอิทธิพล ชายหนุ่มสองคนที่ถ่ายภาพของเธอเมื่อครู่เริ่มหวาดกลัวเนื้อตัวสั่นเทิ้มเมื่อชายชุดดำสองคนเดินเข้าไปแนบข้างลำตัวของพวกเขาทั้งสองฝั่ง
"คุณเป็นใครถึงกล้ามาสั่งให้พวกเราลบรูปภาพของดาราคนนี้?"
"เป็นเจ้าของห้างนี้แหละ" มัสยาเบิกตากว้างด้วยความตกใจเมื่อได้ยินเช่นนั้น
"จริงเหรอครับ งั้น...พวกเราขอโทษนะครับ เดี๋ยวจะลบให้เดี๋ยวนี้เลย" เพราะท่าทางน่าเกรงขามทำให้พวกเขาเชื่ออย่างง่ายดาย ชายสองคนลุกลี้ลุกลนกดลบภาพในโทรศัพท์มือถือแล้วรีบวิ่งหางจุกตูดออกไป
บุรุษซึ่งแอบอ้างว่าตนเป็นเจ้าของห้างสรรพสินค้าหรูแห่งนี้หันกลับมาหามัสยาเชื่องช้า ใบหน้าสวยก้มหน้าก้มตาเพราะความรู้สึกสับสน
"ทำไมถึงไม่ไปตามนัด?"
"คะ?" ใบหน้าหวานละมุนแหงนหน้าขึ้นมาสบตาอีกฝ่าย เธอเบิกตากว้างด้วยความตกใจและยังเผลอจ้องมองใบหน้าซีอีโอหนุ่มด้วยความรู้สึกราวกับกำลังฝันไป
"ตกใจอะไร?" อคิราห์จ้องมองใบหน้างดงามของมัสยา หญิงสาวที่ตนเฝ้าฝันถึงมาเป็นเวลาหลายเดือน วินาทีนี้เธอยืนอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว...
"คุณ...ไม่ใช่เจ้าของห้างนี้ แต่เป็นซีอีโอโอโรงแรมวารานาที่ฉันกำลังจะไปพบหรือคะ?"
"ผมรอคุณอยู่ข้างบนเกินครึ่งชั่วโมงแล้ว"
"ก็ลิฟต์มันเสีย" มัสยารีบตอบกลับ เจตนาเพียงต้องการที่จะอธิบาย แต่ทว่าน้ำเสียงกลับร้อนรนเสียอย่างนั้น
"ผมรู้แล้ว แต่ถึงยังไงคุณก็ทำให้ผมเสียเวลา ผมเป็นนักธุรกิจ เวลาทุกวินาทีมันถูกตีค่าออกมาเป็นเงินทอง เพราะฉะนั้นผมหวังว่าคุณจะมีส่วนรับผิดชอบในเรื่องนี้"
"รับผิดชอบ...ทำไมถึงต้องรับผิดชอบคะ?"
"เพราะคุณไม่มาตามนัดไง"
"นิสัยพวกคนรวยสินะ"
"คุณควรมีระเบียบวินัยและตรงต่อเวลา"
"ถ้าให้ฉันชดเชยเงินที่ทำคุณเสียเวลาฉันไม่มีหรอกค่ะ เพราะถ้าฉันมีเงินฉันคงไม่มาทำงานแบบนี้" มัสยาเมินหน้าหนี เห็นนิสัยของอีกฝ่ายแล้วจึงนึกอยากจะยกเลิกงานนี้ไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด แต่จะทำอย่างไรได้ในเมื่อเธอจำเป็นที่จะต้องหาเงินเพื่อไปจ่ายค่ารักษาผู้เป็นมารดา
"คุณเป็นดาราไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงต้องมาทำงานแบบนี้เพื่อแลกกับเงินวันละแสนโดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมจะให้ทำอะไร" อคิราห์ถามคำถามที่ตนคั่งค้างคาใจ เขาไม่คิดว่าผู้หญิงที่ตนเคยฝันใฝ่ปรารถนาจากรูปภาพเพียงรูปเดียวจะกลายเป็นผู้หญิงที่ทำทุกอย่างเพื่อเงินอย่างที่ตนกำลังเข้าใจในขณะนี้
"มันเป็นเหตุผลส่วนตัวของฉัน พูดไปคุณก็ไม่มีทางเข้าใจหรอกค่ะ"
"คุณกำลังตัดสินผม คุณไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของผมด้วยซ้ำ"
"นักธุรกิจหนุ่มผู้ร่ำรวยติดอันดับของประเทศ ผู้ชายที่เข้าถึงยาก ใบหน้าเคร่งขรึมตลอดเวลา ไม่ชอบเปิดเผยเรื่องส่วนตัว ไม่คบผู้หญิงคนไหนเป็นแฟน ฉันอ่านประวัติคร่าวๆของคุณมาแล้วค่ะ" มัสยาร่ายยาวออกมาราวท่องจำ เธออ่านประวัติของซีอีโอหนุ่มมาหนึ่งวันเต็มก่อนตัดสินใจติดต่อเข้ามาขอทำงานนี้
"คุณตัดสินผมจากสิ่งที่อ่านมาอย่างนั้นเหรอ?"
"แล้วมันไม่จริงตรงไหนคะ?" คำถามของหญิงสาวทำให้อคิราห์ย้อนถามตนเอง จริงอยู่ที่เธอพูดมามันคือตัวตนของเขาทั้งหมด แต่ทว่าสิ่งที่ตนเป็นอยู่ในขณะนี้ก็ใช่จะหมายถึงว่าเขาค้นพบตัวเองแล้ว
"ผมอยากให้คุณลองเข้ามาค้นพบสิ่งอื่นๆในตัวผม" ซีอีโอหนุ่มวัยสามสิบสองปีผู้ที่ไม่เคยเรียนรู้ถึงการใช้ชีวิตแบบคนทั่วไป เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าการใช้ชีวิตที่แท้จริงเป็นอย่างไร ชีวิตที่ถูกตีกรอบเพราะหน้าที่การงานที่เคร่งเครียดทำให้เขาตัดทุกสิ่งออกจากชีวิตตลอดมา
"ฉันไม่เข้าใจค่ะ คุณหมายถึงอะไรคะ?"
"ตอบคำถามมาสั้นๆ คุณจะทำงานหรือเปล่า?"
"คะ?" ดวงตากลมโตเป็นประกายวาววับเมื่อได้ยินคำถามนั้น มัสยาคิดว่าตนคงโดนเขาปฏิเสธเรื่องงานไปเสียแล้ว
"ทำสิคะ ฉันต้องการทำงานนี้ค่ะ" ใบหน้าหวานละมุนผุดยิ้มมุมปากขึ้นมาเล็กน้อย
"ทดลองงานหนึ่งอาทิตย์ ถ้าพอใจผมจะจ้างต่อจนครบหนึ่งเดือน"
"หนึ่งอาทิตย์...เท่ากับว่าฉันจะได้รับเงินจากคุณเจ็ดแสนบาทใช่หรือเปล่าคะ?"
"ถูกต้อง แต่ต้องอยู่ครบหนึ่งอาทิตย์นะ ถ้าไม่ครบผมจ่ายปลอบใจแค่สองแสน"
"ตกลงค่ะ" หญิงสาวตอบตกลงโดยไร้ข้อกังขา อย่างน้อยเงินสองแสนก็ยังพอช่วยสมทบกับเงินที่ตนมีอยู่บ้างหากไม่สามารถทดลองงานได้ถึงหนึ่งอาทิตย์จริงๆ
"ผมต้องการให้คุณเริ่มงานพรุ่งนี้"
"ค่ะ แล้วฉันต้องทำอะไรบ้างคะ?" ใบหน้าคมคายยังคงเรียบเฉย เขาเงียบราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
"ข้อแรก ผมไม่ชอบให้ผู้หญิงคนไหนแทนตัวเองว่าฉัน ให้เรียกชื่อของคุณแทน"
"ค่ะ มัสจะไม่พูดแบบนั้นอีก"
"ข้อสอง ผมอยู่ที่คอนโดคนเดียว คุณจะต้องมาหาผมในคืนวันพุธ คืนวันศุกร์ และวันเสาร์อาทิตย์ อยู่ด้วยกันตลอดเวลา แต่ผมจ่ายเงินให้เต็มสัปดาห์"
"หมายถึง...ไปหาแค่ตอนกลางคืนหรือคะ?"
"วันพุธมาหาผมแค่กลางคืนเพราะกลางวันผมต้องทำงาน ส่วนคืนวันศุกร์มาหาเพื่ออยู่ด้วยเต็มวันกันเสาร์อาทิตย์"
"หมายความว่า...เราจะ..."
"ไม่มีเซ็กส์ ผมไม่มีเซ็กส์กับผู้หญิงที่ผมจ้างมาวันละแสน" อคิราห์ตอบกลับทันควันเพราะรู้ดีว่ามัสยากำลังคิดอะไรอยู่ในใจ
"ตกลงค่ะ" แม้จะยังไม่สามารถเชื่อได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ทว่ากลับรู้สึกโล่งใจขึ้นมาเมื่อฟังซีอีโอหนุ่มพูดเช่นนั้น ดวงตากลมโตเป็นประกายวาววับขึ้นมาอีกครั้งเมื่อมองเห็นความหวังที่ปลายอุโมงค์อยู่รำไร
"พรุ่งนี้หลังเลิกเรียนกฤษณ์จะไปรับคุณที่มหาวิทยาลัย"
"คะ?"
"เลิกทำหน้าสงสัยแล้วก็ทำตามคำสั่งของผมก็พอ ผมรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับคุณแล้ว เพราะฉะนั้นไม่ต้องถามว่ารู้ได้ยังไง"
"เอ่อ...ค่ะ" ใบหน้าหวานยิ้มเจื่อน
"คนของผมจะขับรถไปส่งคุณที่บ้าน พรุ่งนี้เจอกัน" อคิราห์บอกทุกอย่างราวกับเตรียมคำพูดมาก่อนแล้ว ใบหน้าหล่อคมคายตามแบบฉบับเชื้อสายตะวันตกยังคงเรียบเฉย ร่างสูงกำยำหมุนตัวเดินตรงไปขึ้นรถที่เพิ่งขับเข้ามาจอดรับโดยไม่ได้หันกลับมามองหญิงสาวอีกเลย...