ตอนที่8

3065 คำ
       สองสาวพากันเดินผ่านสะพานไม้ที่เชื่อมข้ามไปเรือ ตอนนี้มีลูกค้านั่งกินอยู่หลายโต๊ะเหมือนกัน ชัชญาพาน้องเดินไปโต๊ะว่างริมสุดติดระเบียงเรือ พนักงานในร้านที่พอจะคุ้นเคยกันดี ส่งยิ้มทักทายมาให้ ร้านนี้ก็เป็นหนึ่งในลูกค้าขนมถ้วยเช่นกัน "ว๊าว มีหนมถ้วยด้วย ใช่ของที่บ้านพี่มั้ย" ชัชญาพยักหน้ายิ้ม พนักงานเสิร์ฟยกถาดที่มีแก้วน้ำแข็งมาวางให้ พร้อมรอรับออเดอร์ "มีหมูสะเต๊ะด้วย อยากกิน ๆ ขายยังไงคะพี่" "มีชุด 60 -100-150 ค่ะ" "งั้นเอาชุดละร้อย 1ชุดค่ะ แล้วก็เส้นหมี่ขาวเนื้อเปื่อยลูกชิ้นพิเศษสองชามเลยค่ะ" ชัชญาเห็นน้องสั่งก็อดยิ้มไม่ได้ นี่คือหิวหรือยังไง "ของหนูเอาเส้นเล็กต้มยำเมนูปลาค่ะ" "พี่ ขอน้ำอัดลมด้วยค่ะ" โยธกาสั่งเพิ่มไปก่อนจะหยิบขนมถ้วยมาตักเคี้ยวหยับ ๆ เห็นแล้วก็อดเอ็นดูไม่ได้กับรอยยิ้มตาปิดนั่น "บ้านพี่อยู่ไกลจากนี่มั้ย" "ต้องเดินไปอีกสามกิโลค่ะ" "ห๊า!สามกิโล ใช้บริการพี่วินดีกว่ามั้ยคะ ถึงโยจะชอบออกกำลังกายแต่นั่นมันไกลนะ" ชัชญาหลุดขำ "ล้อเล่น นั่นไงหลังคาสีเขียวน่ะ" คนเป็นพี่ชี้มือไปยังบ้านริมคลองหลังหนึ่ง ถ้ากะด้วยสายตาจากตรงนี้ไปก็ราว ๆ ป้ายรถเมล์นึง "อ้อ แค่นี้ไหวค่ะ" "บ้านพี่ไม่ใช่หลังนั้น" "อ้าว!?" คราวนี้ชัชญาหัวเราะ ที่ได้แกล้งเด็ก ก่อนจะชี้มือไปอีกด้านตรงกันข้าม "หลังนั้นต่างหากค่ะ" โยธกามองตามไปก็เห็นบ้านหลังหนึ่งใกล้ ๆ ริมคลอง มันอยู่ไม่ไกลจากตรงนี้เท่าไหร อาจจะใกล้กว่าหลังที่พี่หลอก "หลังนี้จริงนะคะ" คนเป็นพี่พยักหน้าทั้งยิ้มไปด้วย เพราะอยู่ใกล้นี่แหละ ร้านก๋วยเตี๋ยวร้านนี้เธอถึงมากินประจำ และตอนนี้อาหารที่สั่งมาเสิร์ฟเรียบร้อยแล้ว หมูสะเต๊ะกำลังถูกเด็กหิวจัดการทีเดียวสองไม้ "ค่อย ๆ กินค่ะ ไม่มีใครแย่งหรอก" อดที่จะบ่นไม่ได้จริง ๆ "อร่อยจัง ไม่ค่อยได้กินเท่าไหรนะเนี่ย ชอบอ่ะ อากาศดีกว่าในเมืองเยอะเลย ให้โยมากับพี่อีกนะ" คนเป็นพี่ช้อนตามองก่อนจะยิ้ม "อยากมาเพราะพี่ หรืออยากมากิน" เด็กตัวสูงอมยิ้มตาปิด "อยากมาอยู่กับพี่ เพราะจะได้กินของอร่อยหลายอย่างด้วยค่ะ" แหม เด็กมันฉลาดตอบค่ะ ชัชญาจึงพยักหน้าให้เรียกรอยยิ้มแก้มปริดีใจของน้องจนอดยิ้มไม่ได้ เพราะเธอเป็นลูกคนเดียวหรือเปล่านะ พอเจอน้องอ้อนเข้าหน่อยก็อดตามใจไม่ได้ ไม่คิดว่าของที่สั่งมาน้องจะจัดการจนหมดเกลี้ยง ถึงเธอจะช่วยกินหมูสะเต๊ะไปหลายไม้ก็เถอะ "กินเก่งเหมือนกันนะเรา" "ก็น้องโยกำลังโตนี่นา" คำพูดนั้นทำให้ชัชญาหลุดหัวเราะออกมา และเหมือนว่าน้องเองเพิ่งคิดได้ใบหน้าขาวใสเลยขึ้นสีแดงเรื่อให้เห็น "ไม่ได้หมายความแบบนั้นสักหน่อย โยหมายถึงวัยกำลังกินกำลังนอนหรอก" คนร้อนตัวรีบชี้แจงให้คนเป็นพี่หัวเราะขำ "พี่ยังไม่ได้ว่าอะไรเลยนี่คะ" ชัชญาตอบไปทั้งที่ยังคงยิ้ม ให้น้องย่นจมูกใส่ ก่อนที่จะเรียกพนักงานมาคิดเงิน "เดี๋ยวพี่จ่ายเองค่ะ เราจ่ายค่ารถไปหลายตังค์แล้ว" "ไม่เป็นไรค่ะ นาน ๆ โยจะได้ใช้ตังค์ให้โยจ่ายเถอะ เก็บไว้เยอะเดี๋ยวปลวกเอาไปแทะหมด" ดูเด็กมันพูดไม่รู้จะขำหรือหมั่นไส้ดี ชัชญาเลยต้องยอมปล่อยให้เด็กสายเปย์จัดการค่าอาหารทั้งหมดไป จากนั้นก็พากันเดินเลียบคลองตรงไปยังบ้านที่โดดเด่นอยู่หลังเดียว ถ้าไม่นับฝั่งตรงข้าม ที่เรียงรายห่างกันตลอดทางนะ บางบ้านก็เปิดเป็นร้านค้าขายของชำ ระหว่างเดินไปชาวบ้านแถวนั้นก็ส่งเสียงทักทายกับคนเป็นพี่ไปเรื่อย จนกระทั่ง โฮ่ง ๆ ๆ บรึ่ยย มาจากไหนเนี่ย โยธกาเกาะแขนคนพี่ ด้วยความหวาดเสียวเจ้าสุนัขพันธุ์ไทยสีน้ำตาล ที่วิ่งเข้ามาส่งเสียงเห่ากรรโชกใส่กัน "โปเต้ ไม่เอาค่ะเงียบ หยุด" หูย ชื่อน่ากินเชียวนะแก นั่นขนมที่เธอชอบกินเวลาดูหนังที่บ้านเลยนะ  โฮ่ง แน่ะ ยังจะมาโฮ่งปิดท้ายอีก  "ชื่อโปเต้เหรอคะ" "อืม มันชอบกินขนมโปเต้ตั้งแต่เล็ก ๆ แล้วค่ะ ก็เลยตั้งชื่อให้" "ไฮ สวัสดีโปเต้ เราโยเยนะ มาเป็นมิตรกันดีกว่านะไหน ๆ ชื่อเราก็คล้าย ๆกันแกว่ามั้ย มีทั้งสระโอกับสระเอด้วยนะ ว่าไง ๆ" ชัชญาอยากจะขำกับคนที่ตอนนี้กำลังโบกมือทักทายหมาของเธอ แถมเจ้าโปเต้มันก็ครางหงิง ๆ เหมือนจะยอมรับซะอย่างนั้นแหละ นี่เขาคุยกันรู้เรื่องขนาดนี้เลยรึ "น่ารักจังเลย ไว้คราวหน้าจะเอาโปเต้มาฝากนะจ๊ะ เออ พี่จ๋า ข้าวที่เหลือกับไก่เอามาให้น้องกินดีกว่าค่ะ" ชัชญาจึงหยิบกล่องอาหารมาส่งให้น้อง "เอาไปเทใส่ถาดตรงนั้นค่ะ เขาจะได้กินง่าย ๆ" คนเป็นพี่บอกและภาพของทั้งคู่ที่กำลังวุ่นวายอยู่กับหมา ก็อยู่ในสายตาของผู้ใหญ่สองคน ที่พากันนั่งอยู่แคร่ใต้ถุนบ้าน ชัชญาเดินเข้าไปกอดแม่กับยายอย่างทุกครั้ง ก่อนจะแนะนำเด็กตัวสูงที่ยืนฉีกยิ้มน่ารักอยู่ใกล้ ๆ "น้องโยเยที่จ๋าเล่าให้ฟังค่ะ" "สวัสดีค่ะ คุณยายคุณน้า" "หวัดดีจ๊ะ ชื่อกับตัวจริงหน้าตาน่ารักเชียว" ชาลินีรับไหว้ทั้งกล่าวชมเด็กสาวหน้าตาน่ารัก ให้เจ้าเด็กอมยิ้มตาปิด "นิสัยก็ดีด้วยค่ะ" หืม หึ ๆ เสียงหัวเราะแกมเอ็นดูของแม่กับยาย เมื่ออีกฝ่ายพูดยอตัวเองซะอย่างนั้น น่าเอ็นดูจริงเด็กคนนี้ "เอากระเป๋ามานี่ค่ะ เดี๋ยวพี่เอาขึ้นไปเก็บให้" "ขอบคุณค่ะ" ชัชญารับกระเป๋าเป้แล้วเดินขึ้นไปบนบ้าน "มานั่งนี่ลูก น้าขอบใจมากนะที่คืนนั้นลงไปช่วยพี่เขาน่ะ" ชาลินีบอกกับเด็กสาว "ไม่เป็นไรค่ะ ต่อให้เป็นคนอื่นไม่ใช่พี่จ๋า โยก็ต้องช่วยอยู่ดีค่ะถ้าโยช่วยได้" "แล้วหนูไม่กลัวโดนเขาทำร้ายไปด้วยรึ เราก็เป็นผู้หญิงเหมือนพี่เขานะ" คุณยายปิ่นเอ่ยถามขึ้นมาบ้าง "หนูก็กลัวบ้างค่ะ ถ้าเขามีอาวุธนะและวันนั้นหนูก็ถือไม้เบสบอลเตรียมลงไปเผื่อป้องกันตัวด้วยค่ะ จริง ๆ คืนนั้นป๊าหนูก็คอยดูเหตุการณ์ที่ระเบียงด้วยแหละ ถ้าหากมีอะไรร้ายแรงป๊าก็ต้องลงไปช่วยค่ะ โชคดีที่หมอนั่นดันกลัวตำรวจอย่างว่าแหละค่ะ เขาเคยมีคดีติดตัวอยู่ก็เลยจบกันไปแบบไม่มีใครเจ็บตัว" ผู้ใหญ่ทั้งคู่พยักหน้า "คนสมัยนี้มันน่ากลัวจริง ๆ โชคดีที่หลานยายไม่เป็นอะไร ยังไงก็ขอบใจหนูมาก ๆ แล้วนี่พากันกินอะไรมาหรือยังล่ะ" "แวะกินก๋วยเตี๋ยวกับหมูสะเต๊ะมาค่ะ อร่อยและอิ่มมากตอนนี้" คำว่าอิ่มมากแล้วเอามือลูบท้องก็เรียกรอยยิ้มจากชาลินีกับยายปิ่น "หนูเรียกคุณแม่ได้มั้ยคะ อยากมีคุณแม่สวย ๆ เพิ่มอีกคนค่ะ" หืม จู่ ๆ เด็กเจ้าเล่ห์ก็เอ่ยขึ้นมาให้ชาลินีหลุดยิ้มขำ กับคำชมเอาใจคนแก่แบบนั้น "น่ารักแล้วยังปากหวานเอาใจคนแก่อีกนะเราเนี่ย เอาสิจ๊ะ แม่จะได้มีลูกสาวเพิ่มมาอีกคน" ชาลินีเอ่ยด้วยรอยยิ้มเอ็นดู รู้สึกถูกชะตากับเด็กคนนี้ไม่น้อย นั่นจึงเรียกรอยยิ้มตาปิดของเจ้าเด็กหน้าใส "ขอบคุณที่เอ็นดูหนูค่ะ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะคุณแม่คุณยาย" โยธกาลุกขึ้นมาก้มโค้งเก้าสิบองศาให้หญิงสองวัย หัวเราะด้วยความเอ็นดู ชัชญาที่แอบยืนมองอยู่ตรงบันไดก็ได้แต่ส่ายหน้ายิ้ม ๆ คงได้หลงเด็กกันทั้งบ้านล่ะคราวนี้ มาวันแรกก็โปรยเสน่ห์ใส่แม่กับยายเธอซะแล้ว      บ้านริมคลองอากาศหลังฝนตกใหม่มีลมเย็นพัดโชยมาเป็นระยะ บ้านใต้ถุนสูงโล่ง จึงรับอากาศปลอดโปร่งได้เต็มที่ ข้างบ้านเหมือนจะเป็นโรงครัวขนาดกว้างพอสมควร ซึ่งพี่บอกว่านั่นคือที่สำหรับไว้ทำขนม หลังจากพูดคุยกันไปพักใหญ่ก็เหมือนจะโดนความง่วงเข้าเล่นงานอีกรอบ "ง่วงอีกแล้วเหรอฮึ" ชัชญาถามคนที่หาวน้ำตาซึมไปสองรอบแล้ว น้องยิ้มแหย ก็อากาศมันสบายนี่นา "ง่วงก็พาน้องขึ้นไปนอนสักตื่นสิลูก เดี๋ยวแม่กับยายก็จะพักสายตาเหมือนกันล่ะ ว่าแต่มื้อเย็นจะกินอะไรกันล่ะ" ชาลินีเอ่ยถามสองสาว "โยอยากกินอะไร อืม แต่หมูกรอบที่เอามาพี่ว่าเก็บผักกระเฉดหลังบ้านมาผัดใส่ดีกว่า" "โยกินง่ายค่ะ ทำอะไรก็กินได้หมดแหละ น้ำพริกโยก็ชอบนะ" คนฟังยิ้มบางกับเด็กกินง่ายแถมกินเก่งด้วยสิ "งั้นเย็นนี้ทำน้ำพริกด้วยแล้วกัน แม่ไปตลาดจะได้ซื้อเห็ดฟางมาด้วย เคยกินมั้ยน้ำพริกเห็ดฟางน่ะ" โยธกาส่ายหน้า "เดี๋ยวลองชิมดูจะชอบมั้ย" ชาลินีบอกพลางยิ้ม ก่อนจะปล่อยให้ทั้งสองขึ้นไปพักบนบ้าน ส่วนเธอกับแม่ก็ชอบเอนหลังกันที่ใต้ถุนเป็นประจำอยู่แล้ว "มีชานด้วย แบบนี้กลางคืนก็นอนดูดาวได้สิคะ" โยธกาขึ้นมาบนเรือนก็เพิ่งเห็นว่าบ้านถูกสร้างแยกเป็นสองส่วน โดยมีพื้นที่โล่งคั่นกลาง ระหว่างส่วนตัวบ้านและอีกฝั่งจะเป็นครัวกับห้องน้ำ มีหลังคาคุ้มกันแดดฝน และตรงชานฝั่งริมน้ำก็สร้างเป็นระเบียง มีที่นั่งกินลมอีกด้วย "ค่ะ แต่มันก็ไม่ค่อยจะเห็นดาวเท่าไหรหรอก แต่ถ้าดวงจันทร์ยามข้างขึ้นน่ะเห็นชัด" คนเป็นพี่บอกแล้วพาน้องเดินเข้ามาส่วนตัวบ้าน ห้องโถงกลางบ้านมีทีวีจอแบนขนาดสามสิบสองนิ้วตั้งอยู่ และก็โซฟาตัวยาววางชิดติดผนังห้อง เธอสังเกตุดูเห็นประตูน่าจะมีสี่ห้อง "นี่ห้องแม่ นั่นห้องยายนี่ห้องพระ" ชัชญาชี้บอกห้องแรกกับห้องที่อยู่ตรงข้ามกัน ส่วนห้องพี่ก็คือห้องที่อยู่ด้านในฝั่งริมคลอง ชัชญาเปิดประตูห้องเข้าไปแล้วเปิดแอร์ ห้องขนาดพอกันกับห้องเช่าที่พักนั่นแหละ โยธกากวาดมองในห้องมีแค่ตู้เสื้อผ้าหลังใหญ่กับตู้โชว์ที่มีชั้นหนังสือด้วย รูปถ่ายครอบครัวที่มีกันสามคนถูกอัดกรอบตั้งโชว์ และก็อีกสองภาพเป็นภาพเดี่ยวของพี่ในวันรับปริญญา กับอีกภาพที่ถ่ายตรงชายหาดที่ไหนสักแห่ง "มีอัลบั้มรูปมั้ยคะ อยากเห็นพี่ตอนเด็ก" "ไม่ง่วงแล้วเหรอคะ" "เดี๋ยวค่อยงีบก็ได้ค่ะ นอนมากเดี๋ยวคืนนี้หลับยาก" ชัชญาจึงลุกไปเปิดตู้โชว์หยิบเอาอัลบั้มรูปเล่มใหญ่กับเล่มเล็กมาวางลงที่เตียง โยธกาหยิบอัลบั้มอันเล็กที่สีซีดกว่าเพื่อนมาดูก่อน และก็หลุดยิ้มออกมาพร้อมกับมองหน้าพี่ เพราะเล่มนั้นคือรูปตอนเด็กของพี่เขานั่นแหละ "น่ารักจัง คุณแม่ตอนสาว สวยเน๊อะ ตอนนี้ก็ยังสวยอยู่" ชัชญายิ้มไม่เถียงหรอกว่าทุกวันนี้มารดาเธอยังดูดีทั้งรูปร่างหน้าตา แม้อายุท่านจะห้าสิบกว่าแล้ว มีผู้ชายมาจีบมาชอบ ทั้งคนหนุ่มคนแก่พ่อหม้ายก็มี แต่แม่บอกพอแล้วไม่อยากเสี่ยงต้องมานั่งน้ำตาเช็ดหัวเข่าเหมือนที่ผ่านมา โยธกาเปิดดูภาพไปเรื่อย ๆ ตั้งแต่เด็กจนมัธยมและวัยมหาลัย มีรูปตอนพี่เขาเป็นหลีดด้วย จะว่าไปพี่เขาหน้าตาดีตั้งแต่วัยเรียนมัธยมเลยนะ แต่ในรูปทั้งหมดไม่มีคนไหนที่น่าจะเป็นพ่อของพี่เขาเลย ไม่มีภาพครอบครัวพ่อแม่ลูก นี่คงบ่งบอกถึงสายสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยดี อย่างที่พี่เคยเล่าให้เธอฟัง "โยดีใจนะ ที่พี่ยังโสดจนโยได้มารู้จัก" จู่ ๆ น้องก็หันมาบอกแล้วยิ้มกริ่ม "ดีใจเรื่องอะไรคะ" "ก็ดีใจที่พี่ยังโสดไง ถ้าพี่ไม่โสดโยก็จะกลายเป็นหลงรักคนมีเจ้าของสิคะ" หืม หึ ๆ ชัชญาหลุดขำเมื่อได้ฟัง "อายุแค่นี้รู้แล้วเหรอคะ ความรู้สึกแบบไหนเรียกว่ารักน่ะ" เจ้าเด็กอมยิ้มเขินก่อนจะตอบ "ป๊าบอกความรักของแต่ละคนมันมีนิยามไม่เหมือนกันหรอกค่ะ ถ้าโยจะบอกว่าความรู้สึกที่เกิดกับพี่แล้ว นั่นคือนิยามความรักของโย มันก็น่าจะใช่ ป๊าบอกถ้าเรารักใครสักคน เรามักจะนึกถึงเขาในทุก ๆ เรื่องที่เราทำ และก็อยากจะให้เขาคนนั้นมีส่วนร่วมในสิ่งที่เราอยากทำด้วยค่ะ เหมือนกับที่โยอยากให้พี่มีส่วนร่วมในชีวิตของโยอ่ะ หือ พูดแล้วน้องโย เขิน" อะไร พูดแล้วก็เขินเองอีกแล้ว ชัชญาหัวเราะขำคนที่เอาอัลบั้มรูปมาปิดหน้าตัวเอง  น่ารักจริงเลยเด็กคนนี้ มาพูดเหมือนบอกรักกันแบบนี้ มันสมควรเป็นเธอมั้ยที่จะเขินน้องน่ะ มาแย่งซีนเธอไปหมดเลยนะ คนเป็นพี่อมยิ้ม ยื่นนิ้วไปจิ้มแก้มแดงเรื่ออย่างมันเขี้ยว "เขินแบบนี้คงหายง่วงแล้วมั้ง" น้องยอมเปิดหน้ามามองก่อนจะยิ้ม  "นอนคุยดีกว่าค่ะ เดี๋ยวโยก็หลับ" ว่าแล้วเจ้าเด็กตัวสูงก็เก็บรวบอัลบั้มทั้งหมดกลับไปใส่ที่ตู้เหมือนเดิม ก่อนจะกลับมาทิ้งตัวลงนอนตะแคงหน้ามาฝั่งเธอ "เปลี่ยนกางเกงหน่อยมั้ยคะ จะได้นอนสบาย" ตอนนี้น้องยังใส่กางเกงยีนส์ขายาวอยู่เลย ส่วนเธอเปลี่ยนเป็นขาสั้นอยู่บ้านเรียบร้อย นั่นแหละ อีกฝ่ายถึงลุกขึ้นมามองหากระเป๋าเป้ตัวเอง "พี่จัดเสื้อผ้าใส่ตู้แล้ว ยัดไว้แบบนั้นก็ยับหมดสิ" น้องยิ้มบอกขอบคุณแต่สักพัก งือ แบบนี้พี่เขาก็เห็นเครื่องในของเธอหมดแล้วสิ  "เป็นอะไรอีกล่ะ" ชัชญาเอ่ยถามเมื่ออีกคนยังยืนอยู่หน้าตู้ไม่ทำอะไรสักที "เปล่าค่ะ" โยธกาเปิดตู้มองหาเสื้อผ้าตัวเองที่เอามาตั้งสี่ชุด ยังกับจะมาค้างที่นี่เป็นอาทิตย์ กางเกงขาสั้นที่เอามาด้วยพี่เขาพับไว้มุมหนึ่งของตู้นั่นเอง "มีผ้าถุงใส่เป็นหรือเปล่า หรือจะไปเปลี่ยนในห้องน้ำ" "แค่ผ้าเช็ดตัวก็ได้ค่ะ" ชัชญาจึงบอกให้หาเอาในตู้นั่นแหละ เธอเอนตัวลงนอนหยิบมือถือมาตั้งเวลา ตอนนี้บ่ายโมงกว่าแล้ว เลยตั้งปลุกไว้ที่บ่ายสามโมง เหล่มองคนที่คลานขึ้นเตียงมานอนลงไม่ห่างกัน "พี่ตั้งปลุกตอนบ่ายสามนะ" น้องพยักหน้าแต่ยังคงมองเธอตาแป๋ว ก่อนจะยิ้มแบบไม่รู้เหตุผลอีกแล้ว "ที่ป๊ากับม๊าเคยบอกเอาไว้ โยว่ามันคงจะจริง ที่ว่าความรักมักจะทำให้เราทำตัวแปลก หรืออาจจะเปลี่ยนเราไปจากที่เป็นอยู่" ชัชญาขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะหันมาถามคนที่นอนตะแคงหน้าอยู่แล้ว "ยังไงคะ?" เธอก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าผู้ใหญ่สอนอะไรลูกสาวมาบ้าง เพราะเธอเองเกิดมาจนอายุยี่สิบหก ก็ใช่จะรู้ซึ้งเรื่องความรัก ก็เพราะเธอไม่เคยมีความรู้สึกแปลก ๆ มาก่อน ยกเว้นตั้งแต่เจ้าเด็กคนนี้โผล่เข้ามาในชีวิตนี่แหละ "ความรักสามารถทำให้เราเปลี่ยนไปได้ทั้งในทางที่ดีและแย่ โดยที่บางทีเราเองก็ไม่รู้ตัว ตอนที่ตกอยู่ในห้วงรักอะไรรอบตัวก็ดูสวยงามเป็นสีชมพูไปหมด บางทีอยู่ดี ๆ แค่นึกถึงหน้าคนที่เราแอบคิดอะไรกับเขา เราก็เผลอยิ้มบ้าบออยู่คนเดียว ทั้งที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอีกคนจะรู้บ้างหรือเปล่า ว่าทำให้ใครคนหนึ่งละเมอเพ้อฝันไปถึงไหนแล้ว แต่ในอีกทางกลับกัน แค่ไปเจอภาพบาดตาบาดใจก็ทำให้เราเศร้า อ่อนแอหรืออาจจะงี่เง่าไร้เหตุผลได้เหมือนกัน ประมาณว่าความรักอาจทำให้เรากลายเป็นคนไร้เหตุผลเอาง่าย ๆ เพราะรัก ทำให้เราเหมือนคนหูหนวกตาบอด หลายคู่ถึงได้ทะเลาะกันบ่อยเพราะความไร้เหตุผล หรือความหึงหวงระแวงในตัวอีกฝ่าย" ชัชญาที่กำลังคิดตามไปกับสิ่งที่น้องพูดมาเธอก็ว่ามันจริง อย่างกรณีแม่กับพ่อเธอนั่นไง ที่เขายอมแต่งงานกันก็เพราะตอนแรก พวกเขารักกันมากมาย ทั้ง ๆ ที่แม่ก็พอรู้ว่าพ่อก็เจ้าชู้พอตัว แต่ก็เพราะคำมั่นคำสัญญาว่าเขาพร้อมจะหยุด และก็เพราะคำว่ารักของแม่นั่นแหละพวกเขาถึงได้ลงเอยกัน จนมีเธอขึ้นมา แล้วไหนจะคนใกล้ตัวอย่างเพื่อนที่มีแฟน ก็เห็นงอนเห็นทะเลาะกันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง จนบางครั้งเธอเองก็ยังคิดว่ามันเกินไปหรือเปล่า แค่เรื่องเล็กน้อยจำเป็นต้องเอามาเป็นประเด็นทะเลาะเพื่อให้อีกคนมาง้อนี่นะ
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม