ตอนที่9

3073 คำ
     บางทีมันก็ดูไร้สาระไร้เหตุผลจริง ๆนั่นแหละ ว่าแต่แล้วเธอจะเป็นแบบนั้นมั้ยล่ะ คิ้วสวยเผลอขมวดเข้าหากัน ปกติก็ว่าตัวเองเป็นคนใจเย็นและก็มีเหตุผลอยู่นะ สายตามองไปยังคนต้นเรื่องน้องยังคงนอนมองเธออยู่เหมือนเดิม "แล้วป๊าสอนอะไรอีกคะ รู้สึกว่าจะสอนอะไรลูกสาวมาเยอะนะ" โยธการะบายยิ้มเมื่อได้ยินแบบนั้น  "ค่ะ ป๊าสอนอะไรพวกเราเยอะ สอนกระทั่งการใช้ชีวิตคู่ยังไงให้มีปัญหาน้อยที่สุด" "อืม เรื่องนี้น่าสนใจ ทำไงคะ" "จริง ๆ มันก็มีไม่กี่ข้อหรอกค่ะ แต่ป๊าอาจจะต่างจากคนอื่น ตรงที่ท่านเอาขบวนการของตำรวจมาใช้กับชีวิตคู่ อย่าง ความซื่อสัตย์ซื่อตรง และอย่าตัดสินอะไรถ้าไม่มีหลักฐาน อย่าเชื่อในสิ่งที่เห็น เพราะสิ่งนั้นอาจไม่ใช่ความจริง คือหลักข้อนี้มันไปเกี่ยวกับเรื่องความหึงหวงความระแวงน่ะค่ะ อย่างที่บอก เวลามีความรักมักหูหนวกตาบอดไม่ค่อยมีเหตุผล จึงต้องใช้หลักการนี้มาช่วย เป็นสิ่งคอยเตือนว่าเกิดไปเจอคนรักของเราอยู่กับใคร แล้วสนิทกันเกินไปจนทำให้เข้าใจผิด นำมาซึ่งความระแวงอะไรประมาณนั้น และท่านก็คุยกับม๊าด้วยนะคะให้ใช้หลักการนี้ด้วย ต้องสืบต้องสอบถามกันก่อนไม่ใช่คิดเองเออเอง พวกท่านก็เลยไม่เคยมีปัญหาทะเลาะกัน จะว่าไปตั้งแต่จำความได้ โยไม่เคยเห็นพวกท่านทะเลาะกันเลย นอกจากจะชอบแสดงความรักให้ลูก ๆ หมั่นไส้น่ะ" น้องพูดไปยิ้มไปเหมือนมีความสุขที่ได้พูดถึงผู้ให้กำเนิด นั่นทำให้ชัชญาอดยิ้มตามไม่ได้ "อืม พี่ก็ว่าท่านดูรักกันดีแถมยังใจดีอีก แล้วเราล่ะจะทำได้แบบที่ป๊าสอนหรือเปล่า" น้องอมยิ้มอีกแล้ว แถมพยักหน้ามั่นอกมั่นใจจนน่าหมั่นไส้ "อย่างน้อยโยก็มั่นใจว่า จะไม่มีทางนอกใจคนที่รักแน่ ๆ ค่ะ ป๊าสำทับมาว่ายิ่งผู้หญิง อารมณ์จะอ่อนไหวมาก เพราะฉะนั้นต้อง ซื่อสัตย์ ชัดเจนทุกการกระทำ" ชัชญารู้สึกชื่นชมผู้ชายคนนี้จริง ๆ สิ่งที่ท่านปฏิบัติกับภรรยา แถมยังพร่ำสอนลูก ๆ อีก "อืม จะคอยดูว่านอกจากพี่แล้วเราไปโปรยเสน่ห์ใส่ใครอีกมั้ย" ฮ่ะ ๆ "ไม่มีหรอกค่ะ แต่ถ้าพี่เกิดเห็นอะไรน่าสงสัยก็ต้องใช้ขบวนการ สสส.ก่อนนะคะ สืบ สอบ สวน ก่อนอย่าเพิ่งยัดเยียดข้อหากันล่ะ" ชัชญาก็ยอมพยักหน้าให้อีกคนฉีกยิ้มกว้าง ตกลงว่าน้องน่ะจีบเธอแน่ ๆ แล้วเธอก็เปิดโอกาสให้เด็กมันจีบซะอย่างนั้นล่ะ หลังจากพากันงีบหลับไปจนกระทั่งเสียงเตือนปลุกดังขึ้น ชัชญาเอามือถือมากดปิด "ลุกไปล้างหน้าล้างตาค่ะ เดี๋ยวจะพาไปเก็บผักมาทำกับข้าว" ดูเอาเถอะว่าตามใจขนาดไหน ถึงยอมให้เจ้าคนขี้อ้อนมานอนกอดแบบนี้ ใบหน้าที่ซุกอยู่กับซอกคอ พ่นหายใจใส่กัน ยอมผละออกมามองคนพี่ "เก็บผักที่ไหนคะ" "พายเรือเก็บริมคลองนี่ไง เอาผักกระเฉดมาผัดใส่หมูกรอบ แล้วก็ผักบุ้งมาลวกกินกับน้ำพริกด้วย" "น่าสนุก โยพายเรือเป็นนะ" คนเป็นพี่ยิ้มกับคำขี้อวด "งั้นก็ลุกได้แล้ว" ก่อนจะยอมลุกดี ๆ น้องมันยังจะแกล้งกอดรัดกันอีก "ขอเอาไปกอดทุกคืนได้มั้ยคะหมอนข้างยี่ห้อนี้ กอดแล้วหลับสบายดีจัง" "ไม่ต้องมาอ้อนเลยค่ะ แค่นี้ก็เสียผู้ใหญ่แล้วมั้งพี่น่ะ" หึ ๆ "ไม่เห็นจะเสียเลย แต่ถ้าจะเสีย น้องโยจะให้ป๊ามาขอเร็ว ๆ นี้ก็ได้นะคะ" พูดอะไรไปก็รู้สึกจะเข้าทางเจ้าเด็กจอมโมเมนี่ไปหมดจริง ๆ  "พี่ยังไม่อยากถูกใครหาว่า หลอกเด็กนักศึกษาเสียคนตอนนี้หรอกนะ เรียนให้จบก่อนเถอะค่อยมาพูด" "อีกไม่กี่เดือนก็จบแล้ว เดี๋ยวจะเอาเกียรตินิยมมาโชว์เลยค่ะ" คนเป็นพี่อดหมั่นไส้ไม่ได้จริง ๆ กับท่าทางขี้อวดนั่น  "ไว้ทำได้แล้วจะมีรางวัลให้" "จริงนะคะ ห้ามหลอกเค้านะ" ชัชญาอมยิ้มมองคนทำตาโตดีใจเหมือนรอของขวัญสำคัญ "ไม่ชอบหลอกใครค่ะ โดยเฉพาะเด็กคนนี้น่ะ" มือพี่ยื่นไปบิดจมูกโด่งรั้นอย่างหมั่นเขี้ยว ให้น้องยิ้มหัวเราะตาปิดอีกแล้ว โยธกาเดินตามพี่ลงมายังตลิ่งริมคลองหลังบ้าน ที่เป็นท่าน้ำเล็ก ๆ มีเรือพลาสติกหรือที่เรียกว่าเรือไฟเบอร์กลาส แบบที่เป็นรูปสามเหลี่ยมหางตัดจอดอยู่ มองไปรอบ ๆ ทั้งซ้ายขวา ก็เพิ่งจะเห็นว่าริมคลองทั้งสองข้าง เต็มไปด้วยผักกระเฉดน้ำและผักบุ้งที่มียอดสวย ๆ อวบ ๆ น่ากินเยอะเลย คนเป็นพี่กำลังแกะเชือกที่ผูกเรือไว้ออกจากเสาริมตลิ่ง ช่วงนี้น้ำในคลองขึ้นมาสูงนิดหน่อยเพราะฝนที่ตกลงมาเรื่อย ๆ "ตกลงพายเป็นแน่นะคะ" น้องพยักหน้ายิ้ม "เป็นสิคะ มันก็เหมือนพายเรือคายักแหละ" ว่าแล้วน้องก็ก้าวลงไปนั่งตรงท้ายเรือ ชัชญายื่นถังสำหรับใส่ผักลงไปให้ก่อน แล้วเธอค่อยตามลงไปนั่งตรงกลางเรือ ท่าทางจับไม้พายขึ้นมาวักน้ำเพื่อพาตัวเรือเคลื่อนออกมา ก็ทำให้คนเป็นพี่ยิ้ม "เลาะไปตามนี้ค่ะ ฝั่งนี้ยอดเยอะกว่า" ชัชญาชี้บอก "ผักนี่เอามาปลูกหรือมันขึ้นเองคะ" "เอามาปล่อยค่ะให้เขาแพร่ออกไปเรื่อย ๆ ถ้าคนมีบ้านริมคลองเขาก็จะมีผักกินทุกบ้านแหละ เมื่อก่อนนี้ผักตบชวาเยอะมาก จนมาหลัง ๆ ที่มีการเอาไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์เครื่องสาน กับเอาไปทำปุ๋ยอินทรีย์ มันก็เลยไม่ค่อยมีแล้ว ชาวบ้านก็เลยปลูกผักบุ้งกับผักกระเฉดกันได้ บางบ้านเขาก็เก็บไปขายที่ตลาด" วิถีชีวิตคนริมคลองเขาเป็นแบบนี้นี่เอง หลังพากันพายเรือเก็บผักจนพอที่จะทำกับข้าว พี่ก็พามาตรงสวนผักขนาดย่อมหลังโรงครัว ในสวนนั้นก็เต็มไปด้วยผักพื้นบ้านหลายอย่าง และที่ดึงความสนใจของโยธกาก็คือมะเขือสีม่วงอ่อน ลูกเท่ากำปั้นรูปทรงคล้ายหยดน้ำ กำลังออกลูกดกจนกลัวว่าต้นเล็กของมันจะหักเอา "พี่มะเขืออะไร โยเพิ่งเคยเห็น" "อ๋อ มะเขือม่วงหวาน เอาไปต้มกินกับน้ำพริกอร่อยนะ เก็บเอาเลยค่ะ" โยธกาเดินไปจับลูกมะเขือก่อนจะเลือกเอาลูกที่คิดว่ามันโตแล้วไปเกือบสิบลูก "ชอบจัง มีผักสวนครัวกินแบบปลอดสารพิษแบบนี้ ที่หลังบ้านโยกับดาดฟ้าป๊าเคยลองเอาผักไปปลูกนะ แต่มันตายน่ะ สงสัยจะแพ้ควันพิษ" กำลังพากันเดินออกมาจากสวนผัก ก็พอดีกับรถมอไซค์วินสองคันวิ่งมาจอดบริเวณบ้าน แม่กับยายที่ไปซื้อของที่ตลาดนั่นเอง โยธการีบเดินเข้าไปช่วยยกถุงของมาวางที่แคร่ มันเป็นถุงใบเตยกับถุงมะพร้าวที่ขูดแล้ว จากนั้นของที่จะใช้ทำขนมถ้วยถูกยกเข้าไปเก็บในโรงครัว ส่วนของทำกินก็ถูกขนขึ้นไปบนเรือน "ให้โยทำอะไรช่วยคะ" คนเด็กสุดเอ่ยถามเพราะข้าวของทั้งผักและของสดหลายอย่างเต็มไปหมด "ก่อไฟเตาถ่านเป็นมั้ยคะ" คนพี่ถามและน้องก็พยักหน้าทันที "เป็นค่ะ ที่บ้านก็มีเตาถ่าน" "ไม่ทำบ้านพี่ไหม้นะ" ฮ่ะ ๆ "ตักน้ำเตรียมมาไว้ก่อนก็ดีค่ะ" หืม ชัชญาทำสีหน้าไม่ไว้ใจจนน้องหัวเราะขำ "โยทำได้ เดี๋ยวก่อให้ดูค่ะ" เจ้าของบ้านทั้งสามมองเด็กสาวในเมือง ที่กำลังเดินไปจดจ้องอยู่บริเวณเตาถ่าน เหมือนว่าอีกคนกำลังหาอะไรไปด้วย ก่อนจะเห็นเจ้าเด็กนั่นหันมายิ้มให้      โยธกาเอาถ่านมาเรียงลงในเตา เว้นช่องว่างตรงกลางนิดหน่อย สำหรับไว้วางเชื้อไฟ จากนั้นก็ตัดเอาเศษยางในของรถจักรยาน วางลงช่องกลางตามด้วยเศษกิ่งไม้ขนาดเล็ก วางเกยทับลงไปให้เหลือช่องอากาศไว้ด้วย ก่อนจะจุดไม้ขีดไฟไปจ่อกับยางรถ จนไฟติดขึ้นมา เจ้าเด็กหันมาวาดยิ้มให้เจ้าของบ้านที่พากันถอนหายใจโล่งอกไปด้วย เมื่อถ่านเริ่มติดไฟแล้ว โยธกาเดินไปล้างมือที่เปื้อน แล้วกลับมานั่งลงข้างพี่ที่กำลังเสียบพริกสดใส่ไม้เล็ก ๆ ยายกำลังเด็ดผักกระเฉดแม่กำลังล้างเห็ดฟาง "ทำมั่ง" ชัชญามองเด็กที่อยู่เฉยไม่เป็น "รอเอาปลาทูไปปิ้งดีกว่าค่ะ ไฟติดดีหรือยัง" "กำลังติดค่ะ" หลังจากนั้นน้องก็ได้รับหน้าที่แผนกปิ้งย่างอยู่หน้าเตา จนของทุกอย่างที่จะตำน้ำพริกสุกเรียบร้อย "เสื้อเปื้อนหมดแล้วโย" โยธกาก้มดูเสื้อสีขาวที่ใส่ ก็เงยหน้ามายิ้ม มันเปื้อนฝุ่นถ่านจนเป็นจุดดำเลอะไปพอสมควร "อาบน้ำเสร็จเดี๋ยวแช่น้ำยาขจัดคราบไว้เลยนะ พรุ่งนี้ค่อยซัก" คนน้องพยักหน้ารับ อาหารเย็นวันนี้มีน้ำพริกเห็ดฟางใส่ปลาทู มีปลาสลิดย่าง ผัดหมูกรอบผักกระเฉด ต้มส้มปลาซีพี ตะวันกำลังจะตกดิน อาหารทุกอย่างก็เสร็จพอดี บรรยากาศเย็นสบายจากลมที่พัดผ่านผิวน้ำขึ้นมา เป็นอะไรที่โยธกาชอบนัก "อากาศสดชื่นดีจังค่ะ เหมือนโยได้มาฟอกปอดเลย" "ชอบก็มาบ่อย ๆ สิจ๊ะ" ชาลินีบอกอย่างเอ็นดู และนั่นก็เรียกรอยยิ้มกับแววตาเป็นประกายวิบวับของเจ้าเด็กเลยล่ะ "โยต้องมาบ่อยแน่ ๆ ค่ะ อาหารอร่อย ขนมอร่อย ก๋วยเตี๋ยวแถวนี้ก็อร่อยแถมเจ้าของบ้านยังใจดีอีก" คำพูดแสนปะเหลาะเอาใจกันเกินเหตุก็พาให้ผู้ใหญ่ยิ้มขำ "มาบ่อย ๆ แล้วจะได้มั้ยน้อเกียรตินิยมน่ะ" ชัชญาเอ่ยขึ้นลอย ๆ ส่วนคนที่ลั่นวาจาอะไรเอาไว้ ก็ได้แต่หัวเราะแหะ ๆ ให้คนเป็นพี่แอบขำ      อาหารมื้อเย็นผ่านไปหลังจากช่วยกันล้างถ้วยจานเสร็จ โยธกาก็ได้รู้ขั้นตอนคร่าว ๆ ของการเตรียมส่วนผสมที่จะใช้ทำขนม ตอนนี้ทั้งหมดลงมาอยู่ที่โรงครัวด้านล่าง ซึ่งในนี้จะมีทีวีอีกเครื่องอยู่ด้วย เธอกับพี่กำลังช่วยกันล้าง ทำความสะอาดใบเตย ส่วนแม่กับยายก็ตวงแป้งเตรียมไว้ให้พอสำหรับออเดอร์ที่ลูกค้าสั่ง "พรุ่งนี้พี่ต้องตื่นตีสี่ลงมาช่วยแม่กับยาย เราจะนอนต่อก็ได้" "โยตื่นด้วย อยากเห็นว่ากว่าจะออกมาเป็นขนมถ้วยต้องทำยังไงบ้าง" "งั้นเสร็จนี่โยก็ไปอาบน้ำก่อน เดี๋ยวพี่หั่นใบเตยเสร็จก็ไม่มีอะไรแล้วล่ะ จะได้รีบนอน" น้องพยักหน้าถึงตอนนี้มันจะแค่สองทุ่มก็เถอะ เมื่อช่วยพี่ล้างใบเตยเสร็จโยธกาก็ขึ้นมาอาบน้ำ และไม่ลืมที่จะแช่เสื้อที่เปื้อนตามคำสั่งคนเป็นพี่ คนไรไม่รู้น่ารักไปหมดใส่ใจแม้แต่เสื้อผ้าเรา หุหุ เจ้าเด็กตัวสูงนั่งเช็ดผมไปก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่คนเดียว อยากจะนั่งสูดอากาศตรงชานเหมือนกันแต่ยุงเยอะไม่ไหว ถ้าคิดจะนั่งนอนดูดาวก็คงต้องทายากันยุงทั้งแขนขาเลยมั้ง พูดถึงเรื่องดูดาวที่จริงครอบครัวเธอมีบ้านพักที่วังน้ำเขียว ซึ่งป๊าขอแบ่งซื้อที่จากเพื่อนรุ่นพี่ เมื่อสิบปีก่อนเนื้อที่สี่ไร่เศษ ก็กะเอาไว้เป็นที่พักผ่อนสำหรับครอบครัวเรา และวันหยุดช่วงปีใหม่เราก็จะไปพักที่นั่นทุกปี เพราะไม่อยากเดินทางไปเที่ยวไกลในช่วงเทศกาล ที่นั่นกลางคืนอากาศเย็นแถมคืนไหนฟ้าโปร่ง พวกเราสามพี่น้องก็จะมานอนมองดาวที่ชานบ้าน มันสวยงามไม่แพ้จุดชมดาวทางเหนือเลย ตอนเช้าก็ยังมีทะเลหมอกเล็ก ๆ ใกล้ที่พักเรา ซึ่งเป็นเหลี่ยมเขาอีกลูกทำให้มีไอหมอกลอยปกคลุมพื้นที่ต่ำด้านล่าง และความคิดอย่างหนึ่งก็ผุดเข้ามาในหัวพร้อมกับรอยยิ้ม ชัชญาเปิดประตูเข้ามาเห็นคนที่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ก็นึกสงสัย  "เช็ดผมนี่มีความสุขขนาดนั้นเชียวเหรอคะ" "เปล่าค่ะ ที่มีความสุขเพราะได้อยู่กับพี่ต่างหากล่ะ" ไม่น่าจะแซวอะไรเจ้าเด็กคนนี้เลย เพราะมักจะถูกย้อนศรกลับมาหาตัวเองตลอด ลำแขนสองข้างยื่นมาตรงหน้าเธอ "อะไรคะ?" "ขอพลังงานหน่อยค่ะ" "พี่ไม่ใช่แบตเตอรี่นะคะ" น้องหัวเราะคิกคัก "พี่เป็นมากกว่าแบตเตอรี่อีกค่ะ" ชัชญาส่ายหน้า ให้อีกคนแกล้งทำหน้ามุ่ย จนต้องเดินเข้าไปเอากำปั้นโขกที่เหม่งใส ด้วยความหมั่นเขี้ยว แต่คนที่แอบรอจังหวะอยู่แล้วก็ไวทายาท วาดแขนกอดเอวพี่หมับทันที "จะอยากมากอดอะไรตอนนี้ ฮึ น้ำก็ยังไม่ได้อาบ" ความผิดเธอเองนั่นล่ะที่ขัดใจน้องไม่เป็น แต่ถ้ามากกว่านี้เธอก็คงไม่ยอมง่าย ๆ หรอกนะ ถึงจะยอมเปิดใจให้ แต่ก็ต้องดูกันให้มากกว่านี้ "แต่น้องโยตัวห๊อมหอม ไม่เชื่อพิสูจน์ได้ค่ะ" "ใครเขาอยากพิสูจน์คะ" ฮ่า ๆ "โยเสนอตัวเองแหละ พี่จ๋า ปกติที่บ้านช่วงปีใหม่หยุดขายขนมกันมั้ย" "อืม ก็อาศัยหยุดช่วงเทศกาลนี่แหละ ทำไมคะ" "แล้วทุกปีพากันไปเที่ยวไหนกันคะ" ชัชญาฟังก็พอจะตามความคิดน้องทันล่ะ "ไม่ค่อยได้ไปไหนไกลหรอก เพราะเราไม่มีรถส่วนตัว อย่างมากก็ไปตระเวนไหว้พระ ทำบุญใกล้ ๆ แถวนี้กับเพื่อนบ้านแค่นั้น อีกอย่าง ยายก็ไม่ค่อยชอบนั่งรถนาน ๆ ด้วยแกเมื่อย" "เหรอคะ แต่ถ้าไปกับโยไม่เมื่อยหรอก เดี๋ยวโยนวดให้ โยได้วิชานวดเส้นมาจากอากงด้วยล่ะ" หืม หึ ๆ คนเป็นพี่อดขำไม่ได้ นี่จะวางแผนชวนไปไหนล่ะ "ไม่ต้องอ้อมโลกค่ะ ตกลงจะชวนพี่ไปไหน หืม" คำถามรู้ทันเอ่ยออกมาพร้อมรอยยิ้มทำให้นักวางแผนหัวเราะ "โยอยากให้ไปด้วยกันทั้งหมดนี่แหละค่ะ คือครอบครัวเรามีบ้านพักที่วังน้ำเขียวอยู่หลังนึง ทุกสิ้นปีเราก็จะขึ้นไปพักผ่อนกันที่นั่น ประมาณสี่ห้าวันค่ะ ไปเคาท์ดาวน์แล้วก็สวดมนต์ข้ามปีแบบครอบครัวอบอุ่น ปีนี้ไปด้วยกันนะคะ เดี๋ยวโยจะชวนยายกับแม่เองก็ได้ รถส่วนตัวเราก็เป็นรถครอบครัวนั่งกันไปสบาย ๆ ถ้ายายเมื่อย ก็นอนไปยังได้เลยเบาะกว้าง ๆ พาพวกท่านไปสูดบรรยากาศดี ๆ ดูวิวสวย ๆ ใกล้ ๆ ยังมีไร่องุ่นเพื่อนป๊าให้เที่ยวด้วยนะคะ" ชัชญาอมยิ้มกับคนที่พรีเซ้นต์สถานที่เต็มที่ ลำพังตัวเธอไม่ติดขัดอะไรหรอก "ก็ลองดู ถ้าสามารถชวนยายไปด้วยได้พี่ก็จะไปค่ะ แต่ถ้ายายไม่ไป แม่พี่ก็ต้องอยู่ด้วย แล้วพี่คงทิ้งท่านสองคนให้เหงาในช่วงเทศกาลแบบนั้นไม่ได้ เข้าใจใช่มั้ยคะ" น้องพยักหน้า แล้วที่พูดกันอยู่นี่เธอต้องมายืนให้เด็กมันกอดอยู่นี่แหละนะ "คงต้องใช้วิชาโยเย พิชิตใจคุณยายแล้วแหละงานนี้" ชัชญาขำ อะไรคือวิชาโยเย เด็กคนนี้ตลกจริง ๆ น้องเงยหน้ามาฉีกยิ้มทะเล้นให้ ไม่พอยังฟุบหน้าลงมาคลอเคลียแขนเธอ ดีนะ ที่ไม่เจ้าเล่ห์ซบลงมาตรงอก ไม่งั้นเธอจะฟาดให้ "ปล่อยได้แล้วพี่จะไปอาบน้ำ แม่กับยายคงอาบกันเสร็จแล้วป่านนี้" นั่นแหละเจ้าเด็กถึงได้ปล่อย ชัชญาหยิบเอาเสื้อผ้าก่อนจะออกไปด้านนอก ปล่อยให้จอมวางแผนครุ่นคิดวิธีชักชวนผู้สูงวัยยังไงดี เฮ้อ งานนี้ก็คงต้องอ้อนกันหนักหน่อยละนะโยเย พอถึงเวลาที่ต้องนอน คนอายุน้อยกว่าก็ทำแมน ยื่นแขนไร้มัดกล้ามจะให้คนพี่หนุน ชัชญาส่ายหน้า "เดี๋ยวก็ตะคริวกินหรอก นอนดี ๆ ค่ะต้องตื่นแต่เช้านะ" คนเป็นพี่ทิ้งตัวลงหมอนใบใหญ่ โยธกาไม่ได้ค้านอะไร นอนอมยิ้มกอดหมอนข้างที่พี่ยกให้ วันนี้ถือว่าพี่ตามใจเธอเยอะแล้ว ก็ไม่ควรจะเอาแต่ใจมากไปกว่านี้ "ฝันดีนะคะ" ชัชญาเอียงหน้ามามองคนบอกฝันดีก่อนจะยิ้มให้ "ฝันดีค่ะ"      อากาศบ้านริมคลองค่อนข้างเย็นสบาย นาฬิกาปลุกที่ตั้งไว้ตอนตีสี่ยี่สิบดังขึ้นปลุกสองคนที่หลับไหล ให้รู้สึกตัว ก่อนหลับก็ต่างคนต่างนอนนะ แล้วทำไมถึงได้มาอยู่ในสภาพ แบบเมื่อวานอีกแล้ว แขนน้องที่โอบกอดกันไว้หลวม ๆ พอกันกับคนพี่ ที่ไปมุดซุกตัวในอ้อมกอดน้องนั่นแหละ  "อือ อุ่นดีจัง" อ้อมกอดถูกกระชับเข้าหาตัว ให้คนเป็นพี่ต้องบิดสีข้าง ด้วยความหมั่นไส้เล็ก ๆ เรียกเสียงหัวเราะหึ ๆ ในลำคอ "ลุกได้แล้วค่ะ ถ้าง่วงจะนอนต่อก็ได้" มือบางดันไหล่น้องเพื่อยันตัวเองออกมา โยธกาก็ยอมปล่อยอีกคนโดยดีถึงจะยังง่วงบ้างนิดหน่อย แต่ก็อยากลงไปดูเผื่อจะช่วยอะไรได้บ้าง
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม