ดารัณใช้ปลายนิ้วจิ้มอาหารสามอย่างในถาดขึ้นมาแตะที่ปลายลิ้นด้วยความกลัวจะถูกวางยาพิษจึงรอความผิดปกติสักครู่หนึ่ง เธอเบ้ริมฝีปากด้วยความอดสู หิวแค่ไหนก็ต้องอดทนไว้ก่อนเพื่อความปลอดภัยของชีวิต
-ธีร์ เราคิดถึงธีร์นะ ตอนนี้ทำอะไรอยู่ เราไม่เคยเบื่อชีวิตขนาดนี้มาก่อนเลย-
-ไม่เคยหลับสบายเลยสักคืน ฝันร้ายของชายคนนั้นยังตามหลอกหลอนเราตลอด-
-หรือรสาและเพื่อนๆที่จากเราไปพวกนั้นจะสบายกว่าเราที่ต้องเป็นอยู่แบบนี้นะ-
-รัณท้อแล้วนะ T-T
เธอพิมพ์ระบายความในใจไปให้แฟนหนุ่มได้รับรู้
ตึ้ง ตึ้ง..
“....?”
ดารัณวางมือถือลง เอียงหูฟังเสียงดนตรีจังหวะเร็วบริเวณด้านนอก
บื้มบื๊มมมม
สักพักมีเสียงเร่งครื่องยนต์แข่งกับเสียงเบสหนักๆจังหวะโยกมันๆระหว่างเดินโผเผไปที่ริมหน้าต่างด้วยความอยากรู้อยากเห็น ภาพที่ปรากฏด้านนอกอันไกลลิบ คือรถยนต์คันหรูหราดัดแปลงเป็นรถแข่งจอดเรียงรายกันหลายคัน เพลงจังหวะมันส์นั้นดังมากจากรถหรูแต่งสีแดงรูปเปลวเพลิง มีชายร่างสูงผิวขาวซีดผมทองถอดเสื้ออวดรอยสักลุกขึ้นยืนบนเบาะนั่งในรถที่เปิดประทุนออกพร้อมโยกศีรษะด้วยความสนุกกว่าใครเพื่อน
ถ้าเปรียบวัยรุ่นกลุ่มนี้กับกลุ่มของธีร์เทพและเพื่อนแล้ว ชายผมทองคงเป็นหัวโจกประจำกลุ่มเหมือนกับแฟนหนุ่มเธอกระมัง แต่คนกลุ่มนี้ดูน่ากลัวกว่ามาก เพราะพวกเขากำลังถือปืนสั้น ทั้งแบกปืนยาววางเรียงรายอวดกันอย่างสนุก ความรู้สึกของดารัณเหมือนกำลังดูหนังเกี่ยวกับพวกมาเฟียสักเรื่องหนึ่ง ครบครัน ไม่ว่าจะเป็น รถซิ่ง เพลงมันส์ๆ ปืน และรอยสัก เหมือนในหนังเป๊ะ แต่ก็อย่างว่านั่นแหละ ละครหรือหนังสักเรื่องส่วนใหญ่ก็นำมาจากชีวิตจริงทั้งนั้น
แต่เอ๊ะ เหมือนขาดอยู่อย่างหนึ่ง?
เธอนึกออกแล้ว ผู้หญิงยังไงล่ะ ปกติจะต้องมีสาวสวยนุ่งน้อยห่มน้อยหรือไม่ก็ใส่บิกินีร่วมแจมด้วยสินะ พอมาคิดถึงตรงนี้แล้วดารัณจึงเริ่มขบตรองบางอย่างว่าตั้งแต่เธอเหยียบย่างเข้ามาที่นี่ยังไม่เจอผู้หญิงสักคน แม้แต่คนถือถาดอาหารและเสื้อผ้ามาให้ยังเป็นชายตัวใหญ่ใบหน้าเคร่งขรึมน่ากลัวจนเธอไม่อยากโผล่หน้าออกนอกผ้าห่มนานเกินหนึ่งนาทีเลยด้วยซ้ำ
“นี่”
“อุ๊ย!” ร่างบางสะดุ้งโหยงตามเสียงทักที่แสนจะห้วน เป็นชายผิวสีสองคนที่นั่งรถมากับเธอวันนั้นนี่เอง
“เจ้านายสั่งให้เราพาเธอไปที่ชั้นบน”
“ไปทำไม! เอ่อ ไปทำไมคะ” เธอรีบปรับน้ำเสียงวาจาไม่ให้สองคนนั่นโมโห
“รีบๆออกมาอย่าถามมาก”
“อื้อ โอเค แต่ฉันขอเวลาแป๊บนึง”
ร่างเล็กวิ่งด่องๆไปที่โต๊ะวางถาดอาหาร เธอใช้สองมือจัดการยัดอาหารเข้าปากอย่างมูมมาม ทำเฮนรีและไซมอนมองหน้ากันด้วยความงงงวย
“แป๊บนึงนะคะ” เธอหันมาเอ่ยทั้งที่อาหารเต็มปากแล้วก้มหน้าก้มตาดุนเข้าไปจนแก้มตุ้ย ตามด้วยชามน้ำซุปสีแดงกรอกเข้าคอ ตบท้ายด้วยน้ำเปล่า
“เอิ๊ก ” เสียงเรอดังขึ้นอย่างช่วยไม่ได้
ใบหน้าชายทั้งสองเปลี่ยนเป็นยิ้มแหยขึ้นมาทันที
“แฮ่ ขอโทษค่ะ”
“ไปได้แล้ว”
“ค่า” เธอลากเสียงแบบจงใจ เดินตามหลังพวกเขาไปต้อยๆพร้อมเบ้ปากบ่นเป็นภาษาไทยซึ่งสองคนนี้ไม่มีทางจะเข้าใจหรอก
“ไอ้พวกยักษ์หน้าบึ้ง โถ่ ทำเป็นรังเกียจที่ฉันเรอ แหม่ คนสวยก็ต้องมีมุมโก๊ะมุมน่าเกลียดบ้างแหละน่า ดูทำหน้าเข้า อย่าให้ตัวสูงใหญ่อย่างพวกแกแล้วกัน แม่จะตบบ้องหูให้หายขี้เก๊กมันทั้งนายทั้งบ่าว”
“หุบเสียงง้องแง้งน่ารำคาญของเธอสักทีเถอะน่า” เฮนรี่หันกลับมาดุเธอจนดารัณรีบทำตาม
“นี่เราจะขึ้นลิฟท์กันเหรอ” เธอทำตาโตยื่นปากถามเมื่อมองไปสุดทางเดินมีลิฟต์ผนังกระจกใสและบอดี้การ์ดอีกสองคนยืนรออยู่
“อืม”
“แล้ว บอกได้มั้ยว่าทำไมฉันต้องย้ายห้อง”
“น้องชายเจ้านายมา”
“อืม... ทายว่าคนผมทองสินะ เอ ว่าแต่ทำไมถึงต้องให้ฉันไปหลบล่ะ?”
“นี่” ไซมอนหันกลับมาส่งตาดุเขียวปั๊ด
“ไม่ๆถามแล้วจ้ะ แฮ่ พวกพี่นี่คล้ายกันเนอะ ฝาแฝดกันป่าวนี่”
เธอรีบเปลี่ยนเรื่องขณะกำลังไตร่ตรองบางอย่าง ทำไมไอ้เถื่อนนั่นถึงไม่อยากให้เธอเจอน้องชายล่ะ หรือว่าน้องชายจะมีจิตใจที่โอบอ้อมอารีกว่าไอ้คนพี่กันนะ?
แล้วถ้าเธอลองวิ่งหนีไปขอความช่วยเหลือพวกนั้นล่ะ?
ความเป็นวัยรุ่นอายุใกล้เคียงกันก็ย่อมเข้าใจกันกว่าไอ้โหดนั่นสินะ
“เอาวะ” ดารัณลอบดีดนิ้วด้วยความฮึกเหิม เธอนับถอยหลังในใจ
สาม สอง
หนึ่ง
ร่างเล็กวิ่งฉิวออกไปอีกทางขณะที่ไซมอนและเฮนรีเกือบจะก้าวเท้าทั้งสองเข้าไปในลิฟท์แล้ว
“เฮ้ย!”
“นังบ้านี่ งานเข้าแล้วมั้ยเรา”
“รีบไปจับมันมาเร็ว”
เสียงเพลงดังกระหึ่มถูกปรับให้เบาลงเมื่อเจ้าของบ้านร่างใหญ่กำยำในชุดลำลองเสื้อยืดแขนสั้นอวดกล้ามเป็นสันเดินล้วงกระเป๋ากางเกงสีขาวเดินตรงเข้าไปหาน้องชายด้วยสีหน้าคาดเดายาก
“ไงครับเฮีย สบายดีมั้ย” อาร์มาติโน่ เคอวิช เอลวานอฟ หรือมาร์ติน ทักทายพี่ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม หากแต่แววตาของพวกเขาทั้งสองยังคงมีร่องรอยแห่งความเศร้าโศกหลงเหลืออยู่ ถึงจะไม่พูดพล่ามหรือฟูมฟาย แต่การสูญเสียคูชมารส์ไปอย่างกระทันหันไม่มีทางจะทำใจได้ง่ายนักหรอก
“ฉันต้องถามแกมากกว่า ไง เพิ่งออกจากคุกก็อย่ารีบไปก่อเรื่องเพิ่มอีกล่ะ”
“ผมว่าจะแข่งรถกันที่ทางลงเขาฝั่งซ้ายสักหน่อย” เขาอธิบายขณะริมฝีปากคาบบุหรี่ไว้ “พี่คงไม่ว่าใช่มั้ย?” มือล้วงกระเป๋าควานหาไฟแช็ควุ่นวาย
ชึ๊บ!
โลอาห์นจุดไฟแช็คของตนเองให้น้องชาย
“ขอบคุณคร้าบเฮีย”
“ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น?” เขาเพ่งมองแววตาน้องชายตัวแสบสลับกับปืนที่วางบนพื้น และเพื่อนของเขาอีกแปดคน
“โธ่ ไม่มีหรอกน่า อ้อ พี่ได้ข่าวความคืบหน้าคดีหรือยัง”
“ทำไมล่ะ”
“ข่าวคืบหน้าวันนี้ ก็คือยังไม่คืบหน้า ฮะฮะฮ่า คดีการตายของนายคูซมาร์ยังเป็นปริศนา โคตรขำชะมัด” มาร์ตินแค่นหัวเราะออกมาด้วยใจที่ขุ่นแค้น หากพวกเขาไม่จัดการกันเอง ป่านนี้ไอ้พวกนั้นคงลอยหน้าลอยตาใช้ชีวิตกันอย่างปกติสุข แต่เสียใจ นี่พี่ชายเขาเป็นถึงคูซมารส์ เคอวิช เอลวานอฟ ใครที่มีส่วนเกี่ยวข้องพวกมันต้องตายหมด จะเหลือตอนนี้ก็แค่ไอ้ลูกชายคนใหญ่คนโตที่หนีหัวซุนออกนอกประเทศไปแล้ว และแฟนสาวของมันได้ข่าวว่าพี่ชายเขาจับตัวมา
“ออ แม่นั่นยังอยู่ดีใช่มั้ย หรือพี่เก็บมันแล้ว”
“มันถูกขังอยู่ข้างใน รอวันตายพร้อมผัวมัน”
เมื่อมาร์ตินจะเอ่ยถามต่อ โอลาห์นรีบยกมือเชิงหยุด ช่างเหมาะเจาะพอดีเหลือเกิน เพราะมีสายเรียกเข้า เป็นบุคคลสำคัญเสียด้วย
“โอย บอกว่าผมไม่อยู่นะ”
น้องชายคนเล็กโอดครวญเสียงเหนื่อยหน่ายเมื่อพี่ชายชูหน้าจอให้เห็นเบอร์ของผู้พ่อโทรตาม เพราะเขาปิดเครื่องมือสื่อสารทุกอย่างเพื่อหลบหลีกคำด่าทอจากบิดา
โลอาห์นยักไหล่ก่อนเดินห่างออกไปคุยสาย
“ครับพ่อ”
น้องชายตัวแสบยกแขนส่งสัญญาณมือให้เพื่อนร่วมก๊วนเตรียมบึ่งรถออกไปจากที่นี่ แต่แล้วกลับมีเสียงหนึ่งดังขึ้น
“ช่วยด้วย ช่วยด้วยค่ะ ช่วยฉันด้วย!!”
“หืม?”
มาร์ตินมองหญิงสาวร่างเล็กวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาขอความช่วยเหลือจากเขา
“ช่วยฉันด้วยนะคะ ฉันโดนพี่ชายคุณจับตัวมา ช่วยพาฉันไปจากที่นี่ทีนะคะ”เธอละล่ำละลักบอกเสียงสั่น
“ออ” เขานึกออกแล้ว นังนี่ คือ
..ดารัณ
ควั่บ!
“โอ๊ย”
มือใหญ่กระชากผมสั้นพร้อมลากพาเธอขึ้นรถไปด้วยกัน
“โห้!”
ดารัณช็อคสุดขีด เธอเจ็บ เจ็บเหมือนหนังจะถลกออกมา เธอไม่กล้าดิ้นขัดขืน เพราะยิ่งทำแบบนั้น สิ่งที่กลัวอาจจะเป็นจริง เขากระชากผมเธอแรงมาก แรงจนร่างเล็กลอยหวือขึ้นนั่งบนเบาะข้างคนขับ
บรื๊นนนนนนน
‘ถ้ามันอยู่กับแกช่วยบอกมันมาคุยกับฉันเดี๋ยวนี้!’
“ครับ มันอยู่กับผม และเพิ่งขับรถออกไปเมื่อกี้” โลอาห์นตอบบิดาตามตรงเพื่อให้ตนเองยืนอยู่จุดกึ่งกลางไม่เข้าข้างใครทั้งนั้น
ดารัณนั่งตัวสั่นเทาราวกับลูกไก่ในอุ้งมือมนุษย์ที่กำลังโดนบีบใกล้ตาย เธออยู่บนตักชายผมทองเนื้อตัวเต็มไปด้วยรอยสัก ได้กลิ่นบุหรี่และเหล้าจนฉุนขึ้นจมูก สีหน้าแววตาและเสียงหัวเราะของเขาราวกับคนโรคจิต
เธอคิดว่าคนน้องจะดีกว่า แต่ไม่เลย เธอคิดผิดมหันต์ มันกำลังใช้เชือกมัดมือและเท้าสลับกับการฟาดก้นและหน้าอกเธอแรงจนเกิดเสียงดัง
เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ
“โอ๊ยย”
“ฮ่าๆๆ” แล้วพวกมันก็พอใจที่ได้ยินเสียงร้องแห่งความเจ็บปวดของเธอ
เธอพลาดไปแล้ว..
“ปล่อยฉันเถอะได้โปรด”
“ชู่ววว เงียบๆ” ดวงตาโกนเบิกถลนจ้องเธอ “ถ้าเธอร้องฉันจะยิ่งทำเจ็บกว่าเก่า”
“ฮึกๆ” เธอผยักหน้าแต่ไม่อาจเก็บงำอาการสั่นเทิ้มด้วยความหวาดกลัวได้
“จอดไหนดี?” ชายเจาะลิ้นและจมูกซึ่งทำหน้าที่ขับให้หันมาถาม
“ตรงนี้มันรก ไม่เอา ลงเขาค่อยไปหาบ้านพักดีๆหน่อย ทีนี้เราจะได้รุมมันแบบไม่ต้องกลัวยุง”
“...!”
“โอ๊ะโอ มีเลือดด้วยเว้ย งานนี้พวกเราได้ผ่าไฟแดงว่ะ”
“ฮ่าๆๆๆ”
ดารัณเบิกตาค้าง หัวใจหล่นลงตาตุ่มเมื่อได้ยินว่าพวกมันจะพาเธอไปรุมโทรม
“มึงว่าไงนะ!”
โลอาห์นถามย้ำอีกครั้ง แต่ทั้งไซมอนและเฮนรี่ต่างยืนก้มหน้ากันสลอน
“พวกผมผิดไปแล้วครับนาย”
“เราหาจนทั่วแล้วก็ไม่เจอ แต่เห็นคนบอกว่าคุณมาร์ตินลากขึ้นรถไปแล้วครับ”
“บ้าเอ๊ย”
ร่างใหญ่รีบวิ่งจ้ำอ้าวไปที่โรงจอดรถเพื่อขับไปตามตัวดารัณกลับมา