ล่า.. Chapter 9 (หนีเสือปะมาร์ติน)

1833 คำ
ดารัณใช้ปลายนิ้วจิ้มอาหารสามอย่างในถาดขึ้นมาแตะที่ปลายลิ้นด้วยความกลัวจะถูกวางยาพิษจึงรอความผิดปกติสักครู่หนึ่ง เธอเบ้ริมฝีปากด้วยความอดสู หิวแค่ไหนก็ต้องอดทนไว้ก่อนเพื่อความปลอดภัยของชีวิต -ธีร์ เราคิดถึงธีร์นะ ตอนนี้ทำอะไรอยู่ เราไม่เคยเบื่อชีวิตขนาดนี้มาก่อนเลย- -ไม่เคยหลับสบายเลยสักคืน ฝันร้ายของชายคนนั้นยังตามหลอกหลอนเราตลอด- -หรือรสาและเพื่อนๆที่จากเราไปพวกนั้นจะสบายกว่าเราที่ต้องเป็นอยู่แบบนี้นะ- -รัณท้อแล้วนะ T-T เธอพิมพ์ระบายความในใจไปให้แฟนหนุ่มได้รับรู้ ตึ้ง ตึ้ง.. “....?” ดารัณวางมือถือลง เอียงหูฟังเสียงดนตรีจังหวะเร็วบริเวณด้านนอก บื้มบื๊มมมม สักพักมีเสียงเร่งครื่องยนต์แข่งกับเสียงเบสหนักๆจังหวะโยกมันๆระหว่างเดินโผเผไปที่ริมหน้าต่างด้วยความอยากรู้อยากเห็น ภาพที่ปรากฏด้านนอกอันไกลลิบ คือรถยนต์คันหรูหราดัดแปลงเป็นรถแข่งจอดเรียงรายกันหลายคัน เพลงจังหวะมันส์นั้นดังมากจากรถหรูแต่งสีแดงรูปเปลวเพลิง มีชายร่างสูงผิวขาวซีดผมทองถอดเสื้ออวดรอยสักลุกขึ้นยืนบนเบาะนั่งในรถที่เปิดประทุนออกพร้อมโยกศีรษะด้วยความสนุกกว่าใครเพื่อน ถ้าเปรียบวัยรุ่นกลุ่มนี้กับกลุ่มของธีร์เทพและเพื่อนแล้ว ชายผมทองคงเป็นหัวโจกประจำกลุ่มเหมือนกับแฟนหนุ่มเธอกระมัง แต่คนกลุ่มนี้ดูน่ากลัวกว่ามาก เพราะพวกเขากำลังถือปืนสั้น ทั้งแบกปืนยาววางเรียงรายอวดกันอย่างสนุก ความรู้สึกของดารัณเหมือนกำลังดูหนังเกี่ยวกับพวกมาเฟียสักเรื่องหนึ่ง ครบครัน ไม่ว่าจะเป็น รถซิ่ง เพลงมันส์ๆ ปืน และรอยสัก เหมือนในหนังเป๊ะ แต่ก็อย่างว่านั่นแหละ ละครหรือหนังสักเรื่องส่วนใหญ่ก็นำมาจากชีวิตจริงทั้งนั้น แต่เอ๊ะ เหมือนขาดอยู่อย่างหนึ่ง? เธอนึกออกแล้ว ผู้หญิงยังไงล่ะ ปกติจะต้องมีสาวสวยนุ่งน้อยห่มน้อยหรือไม่ก็ใส่บิกินีร่วมแจมด้วยสินะ พอมาคิดถึงตรงนี้แล้วดารัณจึงเริ่มขบตรองบางอย่างว่าตั้งแต่เธอเหยียบย่างเข้ามาที่นี่ยังไม่เจอผู้หญิงสักคน แม้แต่คนถือถาดอาหารและเสื้อผ้ามาให้ยังเป็นชายตัวใหญ่ใบหน้าเคร่งขรึมน่ากลัวจนเธอไม่อยากโผล่หน้าออกนอกผ้าห่มนานเกินหนึ่งนาทีเลยด้วยซ้ำ “นี่” “อุ๊ย!” ร่างบางสะดุ้งโหยงตามเสียงทักที่แสนจะห้วน เป็นชายผิวสีสองคนที่นั่งรถมากับเธอวันนั้นนี่เอง “เจ้านายสั่งให้เราพาเธอไปที่ชั้นบน” “ไปทำไม! เอ่อ ไปทำไมคะ” เธอรีบปรับน้ำเสียงวาจาไม่ให้สองคนนั่นโมโห “รีบๆออกมาอย่าถามมาก” “อื้อ โอเค แต่ฉันขอเวลาแป๊บนึง” ร่างเล็กวิ่งด่องๆไปที่โต๊ะวางถาดอาหาร เธอใช้สองมือจัดการยัดอาหารเข้าปากอย่างมูมมาม ทำเฮนรีและไซมอนมองหน้ากันด้วยความงงงวย “แป๊บนึงนะคะ” เธอหันมาเอ่ยทั้งที่อาหารเต็มปากแล้วก้มหน้าก้มตาดุนเข้าไปจนแก้มตุ้ย ตามด้วยชามน้ำซุปสีแดงกรอกเข้าคอ ตบท้ายด้วยน้ำเปล่า “เอิ๊ก ” เสียงเรอดังขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ ใบหน้าชายทั้งสองเปลี่ยนเป็นยิ้มแหยขึ้นมาทันที “แฮ่ ขอโทษค่ะ” “ไปได้แล้ว” “ค่า” เธอลากเสียงแบบจงใจ เดินตามหลังพวกเขาไปต้อยๆพร้อมเบ้ปากบ่นเป็นภาษาไทยซึ่งสองคนนี้ไม่มีทางจะเข้าใจหรอก “ไอ้พวกยักษ์หน้าบึ้ง โถ่ ทำเป็นรังเกียจที่ฉันเรอ แหม่ คนสวยก็ต้องมีมุมโก๊ะมุมน่าเกลียดบ้างแหละน่า ดูทำหน้าเข้า อย่าให้ตัวสูงใหญ่อย่างพวกแกแล้วกัน แม่จะตบบ้องหูให้หายขี้เก๊กมันทั้งนายทั้งบ่าว” “หุบเสียงง้องแง้งน่ารำคาญของเธอสักทีเถอะน่า” เฮนรี่หันกลับมาดุเธอจนดารัณรีบทำตาม “นี่เราจะขึ้นลิฟท์กันเหรอ” เธอทำตาโตยื่นปากถามเมื่อมองไปสุดทางเดินมีลิฟต์ผนังกระจกใสและบอดี้การ์ดอีกสองคนยืนรออยู่ “อืม” “แล้ว บอกได้มั้ยว่าทำไมฉันต้องย้ายห้อง” “น้องชายเจ้านายมา” “อืม... ทายว่าคนผมทองสินะ เอ ว่าแต่ทำไมถึงต้องให้ฉันไปหลบล่ะ?” “นี่” ไซมอนหันกลับมาส่งตาดุเขียวปั๊ด “ไม่ๆถามแล้วจ้ะ แฮ่ พวกพี่นี่คล้ายกันเนอะ ฝาแฝดกันป่าวนี่” เธอรีบเปลี่ยนเรื่องขณะกำลังไตร่ตรองบางอย่าง ทำไมไอ้เถื่อนนั่นถึงไม่อยากให้เธอเจอน้องชายล่ะ หรือว่าน้องชายจะมีจิตใจที่โอบอ้อมอารีกว่าไอ้คนพี่กันนะ? แล้วถ้าเธอลองวิ่งหนีไปขอความช่วยเหลือพวกนั้นล่ะ? ความเป็นวัยรุ่นอายุใกล้เคียงกันก็ย่อมเข้าใจกันกว่าไอ้โหดนั่นสินะ “เอาวะ” ดารัณลอบดีดนิ้วด้วยความฮึกเหิม เธอนับถอยหลังในใจ สาม สอง หนึ่ง ร่างเล็กวิ่งฉิวออกไปอีกทางขณะที่ไซมอนและเฮนรีเกือบจะก้าวเท้าทั้งสองเข้าไปในลิฟท์แล้ว “เฮ้ย!” “นังบ้านี่ งานเข้าแล้วมั้ยเรา” “รีบไปจับมันมาเร็ว” เสียงเพลงดังกระหึ่มถูกปรับให้เบาลงเมื่อเจ้าของบ้านร่างใหญ่กำยำในชุดลำลองเสื้อยืดแขนสั้นอวดกล้ามเป็นสันเดินล้วงกระเป๋ากางเกงสีขาวเดินตรงเข้าไปหาน้องชายด้วยสีหน้าคาดเดายาก “ไงครับเฮีย สบายดีมั้ย” อาร์มาติโน่ เคอวิช เอลวานอฟ หรือมาร์ติน ทักทายพี่ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม หากแต่แววตาของพวกเขาทั้งสองยังคงมีร่องรอยแห่งความเศร้าโศกหลงเหลืออยู่ ถึงจะไม่พูดพล่ามหรือฟูมฟาย แต่การสูญเสียคูชมารส์ไปอย่างกระทันหันไม่มีทางจะทำใจได้ง่ายนักหรอก “ฉันต้องถามแกมากกว่า ไง เพิ่งออกจากคุกก็อย่ารีบไปก่อเรื่องเพิ่มอีกล่ะ” “ผมว่าจะแข่งรถกันที่ทางลงเขาฝั่งซ้ายสักหน่อย” เขาอธิบายขณะริมฝีปากคาบบุหรี่ไว้ “พี่คงไม่ว่าใช่มั้ย?” มือล้วงกระเป๋าควานหาไฟแช็ควุ่นวาย ชึ๊บ! โลอาห์นจุดไฟแช็คของตนเองให้น้องชาย “ขอบคุณคร้าบเฮีย” “ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น?” เขาเพ่งมองแววตาน้องชายตัวแสบสลับกับปืนที่วางบนพื้น และเพื่อนของเขาอีกแปดคน “โธ่ ไม่มีหรอกน่า อ้อ พี่ได้ข่าวความคืบหน้าคดีหรือยัง” “ทำไมล่ะ” “ข่าวคืบหน้าวันนี้ ก็คือยังไม่คืบหน้า ฮะฮะฮ่า คดีการตายของนายคูซมาร์ยังเป็นปริศนา โคตรขำชะมัด” มาร์ตินแค่นหัวเราะออกมาด้วยใจที่ขุ่นแค้น หากพวกเขาไม่จัดการกันเอง ป่านนี้ไอ้พวกนั้นคงลอยหน้าลอยตาใช้ชีวิตกันอย่างปกติสุข แต่เสียใจ นี่พี่ชายเขาเป็นถึงคูซมารส์ เคอวิช เอลวานอฟ ใครที่มีส่วนเกี่ยวข้องพวกมันต้องตายหมด จะเหลือตอนนี้ก็แค่ไอ้ลูกชายคนใหญ่คนโตที่หนีหัวซุนออกนอกประเทศไปแล้ว และแฟนสาวของมันได้ข่าวว่าพี่ชายเขาจับตัวมา “ออ แม่นั่นยังอยู่ดีใช่มั้ย หรือพี่เก็บมันแล้ว” “มันถูกขังอยู่ข้างใน รอวันตายพร้อมผัวมัน” เมื่อมาร์ตินจะเอ่ยถามต่อ โอลาห์นรีบยกมือเชิงหยุด ช่างเหมาะเจาะพอดีเหลือเกิน เพราะมีสายเรียกเข้า เป็นบุคคลสำคัญเสียด้วย “โอย บอกว่าผมไม่อยู่นะ” น้องชายคนเล็กโอดครวญเสียงเหนื่อยหน่ายเมื่อพี่ชายชูหน้าจอให้เห็นเบอร์ของผู้พ่อโทรตาม เพราะเขาปิดเครื่องมือสื่อสารทุกอย่างเพื่อหลบหลีกคำด่าทอจากบิดา โลอาห์นยักไหล่ก่อนเดินห่างออกไปคุยสาย “ครับพ่อ” น้องชายตัวแสบยกแขนส่งสัญญาณมือให้เพื่อนร่วมก๊วนเตรียมบึ่งรถออกไปจากที่นี่ แต่แล้วกลับมีเสียงหนึ่งดังขึ้น “ช่วยด้วย ช่วยด้วยค่ะ ช่วยฉันด้วย!!” “หืม?” มาร์ตินมองหญิงสาวร่างเล็กวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาขอความช่วยเหลือจากเขา “ช่วยฉันด้วยนะคะ ฉันโดนพี่ชายคุณจับตัวมา ช่วยพาฉันไปจากที่นี่ทีนะคะ”เธอละล่ำละลักบอกเสียงสั่น “ออ” เขานึกออกแล้ว นังนี่ คือ ..ดารัณ ควั่บ! “โอ๊ย” มือใหญ่กระชากผมสั้นพร้อมลากพาเธอขึ้นรถไปด้วยกัน “โห้!” ดารัณช็อคสุดขีด เธอเจ็บ เจ็บเหมือนหนังจะถลกออกมา เธอไม่กล้าดิ้นขัดขืน เพราะยิ่งทำแบบนั้น สิ่งที่กลัวอาจจะเป็นจริง เขากระชากผมเธอแรงมาก แรงจนร่างเล็กลอยหวือขึ้นนั่งบนเบาะข้างคนขับ บรื๊นนนนนนน ‘ถ้ามันอยู่กับแกช่วยบอกมันมาคุยกับฉันเดี๋ยวนี้!’ “ครับ มันอยู่กับผม และเพิ่งขับรถออกไปเมื่อกี้” โลอาห์นตอบบิดาตามตรงเพื่อให้ตนเองยืนอยู่จุดกึ่งกลางไม่เข้าข้างใครทั้งนั้น ดารัณนั่งตัวสั่นเทาราวกับลูกไก่ในอุ้งมือมนุษย์ที่กำลังโดนบีบใกล้ตาย เธออยู่บนตักชายผมทองเนื้อตัวเต็มไปด้วยรอยสัก ได้กลิ่นบุหรี่และเหล้าจนฉุนขึ้นจมูก สีหน้าแววตาและเสียงหัวเราะของเขาราวกับคนโรคจิต เธอคิดว่าคนน้องจะดีกว่า แต่ไม่เลย เธอคิดผิดมหันต์ มันกำลังใช้เชือกมัดมือและเท้าสลับกับการฟาดก้นและหน้าอกเธอแรงจนเกิดเสียงดัง เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ “โอ๊ยย” “ฮ่าๆๆ” แล้วพวกมันก็พอใจที่ได้ยินเสียงร้องแห่งความเจ็บปวดของเธอ เธอพลาดไปแล้ว.. “ปล่อยฉันเถอะได้โปรด” “ชู่ววว เงียบๆ” ดวงตาโกนเบิกถลนจ้องเธอ “ถ้าเธอร้องฉันจะยิ่งทำเจ็บกว่าเก่า” “ฮึกๆ” เธอผยักหน้าแต่ไม่อาจเก็บงำอาการสั่นเทิ้มด้วยความหวาดกลัวได้ “จอดไหนดี?” ชายเจาะลิ้นและจมูกซึ่งทำหน้าที่ขับให้หันมาถาม “ตรงนี้มันรก ไม่เอา ลงเขาค่อยไปหาบ้านพักดีๆหน่อย ทีนี้เราจะได้รุมมันแบบไม่ต้องกลัวยุง” “...!” “โอ๊ะโอ มีเลือดด้วยเว้ย งานนี้พวกเราได้ผ่าไฟแดงว่ะ” “ฮ่าๆๆๆ” ดารัณเบิกตาค้าง หัวใจหล่นลงตาตุ่มเมื่อได้ยินว่าพวกมันจะพาเธอไปรุมโทรม “มึงว่าไงนะ!” โลอาห์นถามย้ำอีกครั้ง แต่ทั้งไซมอนและเฮนรี่ต่างยืนก้มหน้ากันสลอน “พวกผมผิดไปแล้วครับนาย” “เราหาจนทั่วแล้วก็ไม่เจอ แต่เห็นคนบอกว่าคุณมาร์ตินลากขึ้นรถไปแล้วครับ” “บ้าเอ๊ย” ร่างใหญ่รีบวิ่งจ้ำอ้าวไปที่โรงจอดรถเพื่อขับไปตามตัวดารัณกลับมา
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม