“สำออย! นอนกินบ้านกินเมือง ให้มันได้อย่างนี้สิ ไม่สู้ให้นังเด็กไร้ประโยชน์นี่แต่งงานออกไปยังทำประโยชน์ได้กว่านี้อีกมาก”
“แม่คะ อย่าตีเลยค่ะ อิงอิงลูก ตื่นเร็วเข้า” คนเป็นแม่พยายามปลุกลูกสาวให้ตื่นขึ้น สิ่งแรกที่เห็นคือสีหน้าเป็นกังวลของคนเป็นแม่ ถัดไปด้านหลังหน้าประตูห้องเล็ก ๆ มีร่างท้วมของผู้เป็นย่ายืนอยู่
“แม่ครับ อิงอิงไม่สบายจริง ๆ สาเหตุที่เป็นแบบนี้ก็เพราะโดนตีเข้าที่หัวเมื่อวาน ให้แกพักผ่อนหน่อยเถอะครับ” เว่ยตงพยายามพูดกับแม่ดี ๆ แต่อีกฝ่ายดูเหมือนจะไม่ฟังแม้แต่น้อย ซ้ำยังจับคำพูดเขาไปบิดเบือนได้อีกเป็นกระบุง
“หน็อย! นี่แกพูดว่าที่มันไม่ยอมลุกมาทำงานทำการแบบนี้ เป็นเพราะฉันงั้นเหรอ ฉันคิดว่านังเด็กเสียเงินนี่ขี้เกียจตัวเป็นขน เลยสำออยไม่อยากลุกเองนั่นแหละ”
“แม่ครับ!” เว่ยตงขวางมารดาตนเองไว้ เมื่อโดนลูกชายที่ตัวใหญ่กว่าขวางไว้ทำให้นางหวังซื่อเข้ามาในห้องไม่ได้ จึงฮึดฮัดอยู่หน้าห้องอย่างขัดใจ
“ยังไม่เตรียมตัวไปทำงานกันอีก! จะมากเกินไปแล้วนะ ถ้าจะไม่ทำอะไรแบบนี้ก็ให้มันแต่งออกจากบ้านไปเดี๋ยวนี้เลย บ้านหลังนี้ไม่ต้องการตัวขี้เกียจ”
เว่ยซิ่วอิงมองทะลุผ่านช่องเล็กระหว่างประตูกับแผ่นหลังของพ่อไป เห็นทั้งอา อาสะใภ้ ลูกชายหญิงของพวกเขายืนมองเรื่องสนุกด้วยสีหน้าเหยียดหยาม ราวกับคนบ้านนี้ไม่ใช่ญาติกันแต่เป็นศัตรูจากชาติปางก่อน
“ไปทำงานกันเถอะค่ะ”
เด็กสาวก้มหน้าลงด้วยความผิดหวัง บอกกับแม่ที่ประคองตนเองอยู่ด้วยน้ำเสียงเบาหวิว ในใจรู้สึกทรมาน
ทำไมตนไม่เกิดมาเป็นหลานรักอย่างเว่ยหนาน หรือเว่ยหยาง เว่ยจุนบ้าง บางทีหากย่าของตนไม่คอยกดขี่ข่มเหงทุกวี่วัน แต่เลือกที่จะเย็นชาเหมือนครอบครัวอื่น นี่อาจทำให้เธอรู้สึกดีกว่านี้ด้วยซ้ำ ทำไมต้องเป็นครอบครัวของเธอที่ผิดอยู่เสมอในสายตาย่า
เว่ยซิ่วอิงไม่เคยเข้าใจ และไม่อาจเข้าใจได้เลย
“ไปทำงานแล้วค่ะ พวกเราไปทำงานแล้วค่ะแม่” ลูกสะใภ้อย่างเหม่ยฟางรีบพูดขึ้นมาเพื่อไม่ให้แม่สามีโมโหไปมากกว่านี้ ลุกขึ้นตระเตรียมข้าวของ เสื้อคลุมตัวนอกให้ลูกสาวใส่เพิ่ม พยุงเว่ยซิ่วอิงขึ้นมาแอบอยู่หลังสามี
“พวกเราจะไปทำงานแล้วครับแม่” เว่ยตงบอกผู้เป็นมารดาที่ยังถือไม้เรียวยืนทำหน้าถมึงทึงอยู่หน้าห้องนอนตน
“ให้มันได้อย่างนี้สิ บ้านนี้ไม่ต้อนรับคนไร้ประโยชน์ ถ้าไม่มีประโยชน์ก็ต้องไปทำอย่างอื่น ให้เว่ยซิ่วอิงแต่งงานไปซะก็จบ”
เว่ยตงกำมือแน่นขณะจับจูงลูกและภรรยาเดินผ่านมารดา
เขาเข้าใจแล้ว
ก่อนหน้านี้แม้ผู้เป็นแม่จะลำเอียงแต่อย่างน้อยก็ยังให้เกียรติกัน ไม่เคยทุบตีพวกตนวันเว้นวันเช่นนี้ คงเพราะก่อนหน้านี้เขาไม่ยอมให้ลูกสาวแต่งงานกับพ่อม่ายคนนั้น แม่จึงโมโหและหาวิธีกดดันต่าง ๆ นานา
เว่ยตงหลับตาลงเพื่อปกปิดน้ำตาแห่งความเสียใจ เขาเข้าใจแล้วว่ามารดาไม่เคยมองลูกสาวของตนเป็นหลานสาวในไส้เลย และมองเป็นเพียง ‘สาวเสียเงิน’ อย่างที่เจ้าตัวขยันพูดถึง
หากเป็นเช่นนั้นจริง ๆ ที่มารดากล่าวด่าว่าพวกเขาว่าเป็นเพียงวัวควายที่เอาไว้ชักจูงใช้แรงงานก็คงไม่ต่างกันสินะ
“พ่อคะไม่เป็นไรนะคะ อิงอิงทนได้” เว่ยซิ่วอิงรับรู้ว่าพ่อรู้สึกไม่ดี เดินออกมาจากบ้านแล้วจึงอดพูดขึ้นมาไม่ได้
“ซิ่วอิง พ่อจะหาบ้านเจ้าบ่าวดี ๆ ให้ลูก แม้ไม่ร่ำรวย ขอเพียงเขาเป็นคนดีก็เพียงพอ”
“อิงอิงไม่ต้องห่วงนะลูก แม่จะไม่ยอมให้ลูกแต่งงานกับคนไม่ดีเหมือนกัน ที่สำคัญเราต้องหาบ้านที่อ่อนโยน แม่สามีไม่ทำร้ายลูกเรา…” คำพูดของผู้เป็นแม่อย่างเหม่ยฟาง ทำให้บรรยากาศเงียบลงอีกระดับ
“ขอโทษนะเหม่ยฟาง” เว่ยตงไม่ได้โกรธ กลับกันเขาทำได้เพียงขอโทษ
“พ่อกับแม่อย่ากังวลกันเลยนะคะ อิงอิงทนได้ อีกอย่างพ่อหาคนดี ๆ ให้อิงอิงแต่งงานออกไป ย่าก็น่าจะรามือไปแล้ว ไม่ต้องห่วงนะคะ”
“นั่นสิ พ่อคงต้องมองหาคนดี ๆ เอาไว้ ที่สำคัญถ้าไม่มีผู้ใหญ่อยู่ด้านบนจะยิ่งดี” เขากลัวว่าลูกสาวจะโดนทำร้ายเหมือนที่แม่ตนทำร้ายภรรยา
สามคนพ่อแม่ลูกมาทำงานในทุ่งเหมือนทุกวัน สีหน้าของซิ่วอิงไม่ดีนักในวันนี้ เธอรู้สึกเหมือนมีไข้ขึ้นในตอนเย็น
“กลับบ้านกันเถอะ” เว่ยตงพาลูกและภรรยากลับบ้าน เขารีบเข้าไปในห้องใหญ่เพื่อหาบิดาแล้วคุยกันเป็นการส่วนตัว
วันนี้จึงไม่มีเสียงบ่นจากนางหวังซื่อที่ถูกสามีเอ่ยปรามเอาไว้ก่อนแล้ว สองแม่ลูกสามารถใช้ชีวิตสงบ ๆ ได้อีกวันหนึ่ง
แต่คืนนั้นเองเธอก็ล้มป่วยลง พ่อแม่เช็ดตัว ดูแลลูกสาวทั้งคืน แต่ไข้ก็ไม่ยอมลดเลย
“อิงอิงไหวไหมลูก รอตอนเช้าพ่อกับแม่จะรีบพาอิงอิงไปหาหมอเลยนะ”
“ขอโทษนะลูกที่พ่อไม่ได้เรื่อง” เว่ยตงช่วยดูลูกสาวสลับกับภรรยา
เว่ยซิ่วอิงตอนนี้แทบไม่รับรู้อะไร ลืมตาขึ้นก็เห็นเพียงหมอกมัว รู้สึกได้ยินเสียงอะไรแต่ก็ไม่ปะติดปะต่อ มือเธอไขว่คว้าเรียกหาเพียงพ่อแม่
“พ่อ แม่…อิงอิงแค่อยาก…อยากให้เรา…อยู่กันสามคน…อย่างมีความสุข…” เสียงเบากระท่อนกระแท่น ดูเหมือนซิ่วอิงจะเพ้อเพราะพิษไข้
“เช้าแล้ว รีบไปขอเงินแม่ ขอให้ช่วยพาซิ่วอิงไปโรงพยาบาลกันเถอะค่ะ” เหม่ยฟางปาดน้ำตาออกจากหน้าหลังได้ยินเสียงเพ้อของลูกสาว เธอเองก็หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น แต่ชีวิตใช่จะเป็นอย่างที่หวังเสมอ
โดยเฉพาะในสังคมที่มีค่านิยมความกตัญญูมันกดข่มให้คนที่มีวัยอ่อนเยาว์กว่าต้องอดทนได้เพียงหนทางเดียว
“ไข้ไม่ยอมลดเลย ลูกก็เพ้อหนักขึ้นทุกที เรารีบไปโรงพยาบาลกันเถอะ” เว่ยตงมองออกไปนอกห้องอย่างลนลาน เห็นว่าแสงอาทิตย์เริ่มขึ้นที่ขอบฟ้าก็รีบออกไปเคาะห้องของบิดามารดา
“พ่อครับ แม่ครับ”
“โอ๊ย มีอะไรมาปลุกพ่อแม่แต่เช้าแบบนี้ ก็น่าจะรู้ว่าพ่อแกยิ่งอาการไม่ค่อยดี มีอะไรนักหนาฮะ!” เป็นนางหวังซื่อที่ลุกออกมา เสียงของหล่อนดังไปทั่วบ้านจนห้องอื่น ๆ ตื่นขึ้นมาด้วย ในที่สุดคนในบ้านก็ตื่นกันหมด
“แม่ครับ ผมขอเงินหน่อยได้ไหม”
“อะไรนะ! แกว่าอะไรนะ” นางหวังซื่อเอ่ยถามซ้ำ มองลูกชายตรงหน้าเหมือนเห็นผี
“ผมขอเงินหน่อยครับ ซิ่วอิงเป็นไข้ตั้งแต่เมื่อคืน ไข้ไม่ลดเลยแม้แต่น้อย ผมกับเหม่ยฟางสลับกันเช็ดตัวให้ลูก ตอนนี้ซิ่วอิงไม่ได้สติด้วยซ้ำ”
“หลานป่วยเหรอ” เป็นบิดาของเว่ยตง เว่ยถงที่โผล่มาจากด้านในห้อง
“พ่อครับ ซิ่วอิงต้องไปหาหมอนะครับ ครั้งนี้เป็นหนักจริง ๆ เหมือนเมื่อสิบปีก่อนเลย”
“อะไร! สำออยอีกแล้วหรือเปล่า นังเด็กเสียเงินคนนี้สำออยเก่งเหมือนแม่มันไม่มีผิด”
“แม่ครับ ผมไม่เอาความเป็นความตายของลูกมาล้อเล่นหรอกนะครับ ผมขอเงินสักสิบหยวนพาลูกไปหาหมอในเมือง…”
“ไม่มี! ฉันไม่มี! ถึงมีฉันก็ไม่จำเป็นต้องให้นังเด็กเสียเงินนั่น ฉันไม่มีวันให้เงินแกพาเด็กไร้ประโยชน์ไปหาหมอหรอกนะ”
“แม่ครับ แต่…”
“เอาเถอะ อาตง ถ้าซิ่วอิงไม่ได้เป็นอะไรมากก็หายามาต้มกินเถอะ พ่อปลูกยาไว้หลังบ้าน แก้ไข้ได้ชะงัดเลย”
“พ่อครับ!” เว่ยตงไม่อยากเชื่อหูตัวเอง เขาเข้าใจแล้วว่าคนบ้านนี้ไม่มีสักคนที่เป็นห่วงลูกสาวเขาจริง ๆ
“ก็ทำอย่างที่พ่อแกพูดนั่นแหละ ไปหายามาต้มให้มันกินเร็ว ๆ เข้าสิ จะเรื่องมากอะไรอีก คนแถวนี้ใครป่วยเป็นไข้นิด ๆ หน่อย ๆ ก็ต้มยากินเองทั้งนั้นแหละ มีแต่พวกแกชอบทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่”
นี่เป็นความจริง ชาวบ้านไม่มีเงินจึงต้องอาศัยสมุนไพรต้มกินเพื่อลดไข้แทนยาปฏิชีวนะ