“สำออยอะไรกัน โดนไม้กวาดแค่นี้ ยังไม่รีบเข้าไปทำอาหารเย็นอีก คนรอกินข้าวอยู่ทั้งบ้านไม่รู้หรือยังไง” ไม่พูดเปล่า ยังใช้ไม้ตีเข้าไปที่ผนังห้องครัวหลายครั้งจนฝุ่นกระจายฟุ้งไปทั่ว
“อืดอาดยืดยาดไม่รู้จักเวล่ำเวลา หรือจะให้ฉันต้องตีพวกแกกระตุ้นอีกฮะ! เป็นวัวเป็นควายหรือยังไง”
คำขู่ของหญิงชราทำให้เว่ยตงพร้อมทั้งลูกและภรรยาอึ้งไปเล็กน้อย คาดไม่ถึงว่าแม่ของตนหรือย่าแท้ ๆ ของตนจะคิดเช่นนั้น วัวควายกินหญ้าและมีไว้ให้คนจูงจมูกไปทั่ว ยังไม่ถูกตีหนักเท่าพวกเขาสามคนพ่อแม่ลูกเลยด้วยซ้ำ
แต่พอมีคนมาตอกย้ำแบบนี้ก็ยิ่งทำให้นึกย้อนกลับไป ดูเหมือนพวกตนมีชีวิตที่แย่ยิ่งกว่าวัวควายเสียอีก
“ย่าใจเย็น ๆ ก่อนนะคะ อย่าโมโหเลยค่ะจะกระทบต่อสุขภาพนะ” เว่ยหนานหลานรักที่ยืนนิ่งมาตลอดเอ่ยปากขึ้น คล้ายรู้ว่าย่ารอคอยที่จะปล่อยให้ตัวเองเดินเข้าไปประคองด้วยคำพูดออดอ้อนเอาใจ
“หึ! ไม่มีใครห่วงฉันเท่าอาหนานแล้ว พวกแกมันไม่ได้เรื่อง ทำให้ฉันโมโหได้ทุกวี่ทุกวัน คิดจะให้ยายแก่เช่นฉันอกแตกตายหรืออย่างไร!” นางหวังซื่อยังไม่หายโมโห ฟาดไม้กวาดลงหลังลูกชายคนโตเบา ๆ อย่างเคยชิน
เวลาที่โมโหหรืออารมณ์ไม่ดี ก็มีเพียงครอบครัวของลูกชายคนโตคอยรองรับเป็นที่ระบายอารมณ์ วันนี้โชคร้ายที่นางหวังซื่อเพิ่งได้ข่าวร้ายจากลูกชายคนรอง ว่าฝ่ายคู่หมั้นของหลานชายคนสำคัญต้องการเรียกสินสอดเพิ่ม วันนี้จึงอารมณ์ไม่ดีมากกว่าปกติ
บ้านนี้จะมีเงินที่ไหนมากขนาดนั้นกันล่ะ ไอ้พวกไม่ได้เรื่องพวกนี้ก็หาเงินเข้าบ้านได้น้อยเหลือเกิน รายจ่ายก็มีมารออยู่เยอะแยะ แค่คิดนางหวังซื่อก็โมโหจนอยากจะฟาดหัวนังเด็กไร้ประโยชน์เว่ยซิ่วอิงแรง ๆ อีกสักครั้ง
ความจริงแล้วนางหวังซื่อคิดจะขายเว่ยซิ่วอิงให้แต่งงานออกไปเร็ว ๆ เพื่อหาเงินมาแต่งมาหมั้นหลานสะใภ้ แต่ทำแบบนั้นไม่ได้เพราะโดนตาเฒ่าขัดใจให้เห็นแก่หน้าลูกชายคนโต ดังนั้นจึงยิ่งเกลียดครอบครัวนี้มากขึ้นไปอีก
“พวกตัวไร้ประโยชน์ วัวควายยังรู้จักไถนา แค่ทำกับข้าวยังชักช้าขนาดนี้ ไร้ประโยชน์สิ้นดี ยังไม่รีบเข้าครัวไปอีก!”
“...” เว่ยตงกำมือแน่น มองศีรษะของลูกสาวที่บวมปูดขึ้นมาด้วยดวงตาแดงก่ำ แต่เขาทำอะไรไม่ได้เลย คำว่ากตัญญูเหมือนค้ำคออยู่และไม่สามารถที่จะตอบโต้ได้
อีกทั้งเว่ยตงยังถูกสั่งสอนมา ว่าพี่ชายคนโตต้องดูแลครอบครัว ตั้งแต่เล็กจึงมักใช้แรงกายเพื่อดูแลครอบครัวมาตลอด คิดว่าต่อไปพ่อแม่ก็คงต้องอยู่กับตนตามธรรมเนียมปฏิบัติที่มีมายาวนาน
แต่แม่ของเขาโหดร้ายต่อครอบครัวเล็ก ๆ นี้ขึ้นทุกที ไม่ว่าจะรังเกียจลูกสะใภ้ที่ไม่สามารถให้บุตรชายได้ รังเกียจหลานสาวที่ไม่ได้ดั่งใจ สุดท้ายก็เป็นลูกชายอย่างเขาที่ไม่เอาไหน
บางทีเว่ยตงเองก็อยากจะถามผู้เป็นแม่สักครั้ง ว่าหากเขาไม่เอาไหนขนาดนั้น ทำไมไม่ทิ้งเขาไปเสียเลยล่ะ จะเก็บเขาไว้ทำไม
“ยังไม่รีบไปทำอาหารอีก!” เสียงของผู้เป็นแม่ปลุกสติของเว่ยตง พร้อมกับความอบอุ่นจากมือเล็กของลูกสาวที่ลูบแขนตนเบา ๆ
“ไม่เป็นไรค่ะพ่อ อิงอิงไม่เป็นไร” คำพูดของลูกสาวทำให้เว่ยตงเจ็บปวดใจจนกัดปากตนเองแตก รู้สึกถึงกลิ่นสนิมในปากทันควัน
“ผมจะพาลูกเมียเข้าไปทำครัวเอง คนในบ้านก็นั่ง ๆ นอน ๆ รอกินเถอะ วางใจได้!”
“ไอ้ลูกคนนี้ แกกล้าประชดฉันเหรอ”
“แม่เข้าใจผิดแล้ว ผมไม่ได้ประชด จะเข้าไปทำครัวเดี๋ยวนี้แหละ” เว่ยตงเพียงแค่หันหลังต้อนภรรยาและลูกสาวเข้าครัวไป ก่อนปิดประตูเงียบอยู่ภายใน
เมื่ออยู่เพียงลำพังสามคนในครัวเล็ก ๆ นี้แล้ว เว่ยตงก็อดที่จะปลอบลูกสาวและภรรยาไม่ได้
“พ่อขอโทษนะลูก เหม่ยฟางพี่ขอโทษ”
“ไม่เลย พี่ไม่ผิด นั่นก็พ่อแม่ของพี่ ฉันเข้าใจ”
“อิงอิงก็เข้าใจพ่อค่ะ”
เว่ยตงกัดฟันเมื่อได้ยินอย่างนั้น เขาเริ่มมีแผนการในใจที่ต้องการให้ลูกเมียไม่ต้องอดทนอีกต่อไป แต่คงไม่นึกว่าแผนการนั้นยังไม่ทันได้เริ่ม…ลูกสาวของเขาก็อยู่รอไม่ไหวเสียแล้ว
เช้าวันนี้ชีวิตของเว่ยซิ่วอิงก็ยังคงเหมือนเดิมไม่ได้ต่างไปจากวันอื่น ๆ เธอสะดุ้งตื่นเพราะเสียงโวยวายลั่นบ้านของย่า ก็พบว่าตัวเองตื่นสาย
“ไม่เป็นไรอิงอิง ลูกนอนต่อเถอะ แม่ทำอาหารไว้หมดแล้ว”
“แต่ย่าจะว่าอิงอิงกับแม่ได้” เว่ยซิ่วอิงจับมือที่หยาบกร้านของแม่อย่างสงสาร รู้สึกผิดที่ตื่นสายจนทำให้แม่ต้องทำงานหนักมากขึ้น
“ไม่เป็นไร วันนี้พ่อไปแบกน้ำมาแล้ว ลูกไม่ต้องทำ” ผู้เป็นพ่อเดินเข้ามาในห้องเล็ก ๆ ซึ่งถูกแบ่งให้พวกเขาสามคน ใช้หลังมือวัดไข้ลูกสาวพบว่ายังตัวรุม ๆ อยู่ก็ร้อนใจ
“ไปหาหมอดีไหมลูก”
“แต่เราไม่มีเงินนะคะ” เว่ยซิ่วอิงมองพ่อด้วยดวงตาใสกระจ่าง ตั้งแต่เกิดจนโตไม่เคยได้ใช้เงินไปหาหมอสักครั้ง
ย่ามักจะบอกว่าเด็กผู้หญิงอย่างเธอเสียเงินเปล่า เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยก็ไม่เคยยอมให้พาไปหาหมอ มีครั้งหนึ่งตอนอายุห้าหกขวบหญิงสาวป่วยหนัก แม่ถึงขนาดต้องไปขอยืมเงินจากญาติฝั่งแม่เพื่อพาไปโรงพยาบาล
ความลำเอียงของคนเป็นย่าทำให้ทั้งครอบครัวรู้สึกอึดอัด แต่จนถึงตอนนี้ก็กลายเป็นชินชาไปเสียแล้ว
“เดี๋ยวแม่จะไปขอยืมป้าจาง เราลาไปตอนบ่ายกันก็ได้”
“ไม่เป็นไรค่ะแม่ อิงอิงไม่เป็นไร” เว่ยซิ่วอิงรู้สึกผิดต่อพ่อแม่ที่ทำให้พวกท่านลำบาก เธอไม่กล้าสร้างปัญหามากขึ้นไปอีก
“ถ้าลูกไม่ไหวให้บอกพ่อนะ วันนี้ลูกทำนาได้แต้มเท่าไรก็ช่างเถอะ พ่อจะคุยกับปู่เอง” เว่ยตงเอ่ยปลอบลูกสาว เขารู้ว่าแม้บิดาจะไม่สามารถออกหน้าแทนตนเอง แต่อย่างน้อยท่านก็ยังช่วยพูดกับมารดาได้
“ไม่เป็นไรค่ะ พ่อแม่รีบออกไปกินข้าวเถอะ”
“โธ่ อิงอิงลูก” คนเป็นพ่ออดที่จะโอดครวญไม่ได้ เพราะวันนี้ลูกสาวตื่นสาย เป็นธรรมดาที่จะโดนลงโทษไม่ให้ดื่มน้ำกินข้าวในบ้านหลังนี้
เว่ยตงรู้สึกสงสารลูกสาวจนหัวใจเจ็บ เขาคิดว่าคงต้องลองไปปรึกษาหัวหน้าหมู่บ้านดูในเรื่องที่ตนคิด แต่ไม่รู้ว่าบิดาจะเห็นด้วยหรือไม่
ด้านนางหวังซื่อมารดาของเขา ย่อมไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอนในการแยกบ้าน อย่างน้อยหากดูแลเพียงพ่อแม่เว่ยตงคิดว่าสถานการณ์ในบ้านจะดีขึ้นมา ซึ่งเขาเคยเสนอให้มีการแยกบ้านนานแล้ว
แต่ตอนนั้นโดนปัดตกเนื่องจากภรรยาของเขาเหม่ยฟางไม่สามารถตั้งครรภ์และคลอดบุตรชายออกมาได้ มีบุตรสาวเพียงคนเดียวจุดธูป ไร้ทายาทสืบทอด มารดาอย่างหวังซื่อจึงใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างในการไม่ปล่อยให้มีการแยกบ้าน
ซึ่งเว่ยตงทุ่มเทให้บ้านนี้ก็แล้วไปเถอะอย่างไรนั่นก็พ่อแม่พี่น้องตน แต่ทั้งลูกสาวและภรรยาต้องมาลำบากด้วย ซ้ำยังเกือบถูกย่าแท้ ๆ ขายให้พ่อม่ายที่อายุมากกว่าเขาเสียอีก มีหรือเว่ยตงจะทนอยู่เฉยได้อีกต่อไป
“พ่อแม่ออกไปกินข้าวเถอะค่ะ อิงอิงขอเวลานอนพักอีกสักนิด กินอิ่มแล้วมาปลุกอิงอิงนะคะ”
“ได้ลูก นอนพักเถอะ แม่จะแอบแบ่งแป้งย่างกลับมาให้ลูกสักแผ่น”
“พ่อด้วย นอนเถอะซิ่วอิง”
เมื่อพ่อแม่ออกไปแล้ว เว่ยซิ่วอิงแบมือที่กำแน่นออก เมื่อครู่เธอรู้สึกเจ็บหนึบที่ศีรษะและวิงเวียนเล็กน้อย โชคดีที่พวกท่านไม่ทันสังเกตเห็น มือเล็กยกขึ้นลูบหัวป้อย ๆ
“นอนพักสักหน่อยน่าจะดี” ว่าแล้วก็ล้มตัวลงนอนอีกครั้ง เด็กสาวหวังเพียงว่าตื่นมาแล้วจะไม่ต้องเจอกับย่าใจร้ายอีกต่อไป น่าเสียดายที่เสียงโวยวายปลุกเธอขึ้นมาในอีกไม่กี่นาทีถัดมา