ตอนที่ 1

4156 คำ
หนังสือพิมพ์รวมถึงนิตยาสารเกือบทุกฉบับทั้งแวดวงธุรกิจและวงการบันเทิงต่างลงข่าวกันอย่างคึกโครมเมื่อมีการประกาศแต่งงานของภูบดินทร์ อภิรักษ์โยธินกุล นักธุรกิจหนุ่มไฟแรงทายาทเพียงคนเดียวของบริษัทเพชรและอัญมณีอันดับต้นๆของประเทศ ชายหนุ่มที่ผู้หญิงทุกคนต่างเฝ้าฝันพร้อมพลีกายให้เขาทุกเวลา กับหญิงสาวนิรนามคนหนึ่งไม่ใช่นางแบบสาวพราวเสน่ห์อย่าง เอมิกา หวัง ตามที่ทุกคนเข้าใจว่าเป็นแฟนสาวของภูบดินทร์ตลอดมา ข่าวการประกาศแต่งงานในครั้งนี้กลายเป็นประเด็นที่ทุกคนต่างให้ความสนใจเพียงชั่วข้ามคืน เมื่อทุกฝ่ายต่างคาดหวังในตัวว่าที่เจ้าสาวของภูบดินทร์ หญิงสาวผู้โชคดีที่สุดในเวลานี้จนเธอได้รับฉายาว่าเป็น นางซิน แห่งยุคไปโดยปริยาย นักข่าวทุกสำนักพาดหัวข่าวกันไปต่างๆนานาถึงเหตุผลของการแต่งงานในครั้งนี้ บ้างก็บอกว่าท้องก่อนแต่ง แต่ส่วนใหญ่กลับบอกว่าภูบดินทร์คงรักหญิงสาวมากถึงไม่เคยทำให้เธอตกเป็นข่าวเสียหายกับเขาเลยสักครั้งแถมยังซ่อนเธอไว้จากหูตาของนักข่าวได้อย่างมิดชิดนั่นแสดงว่าเขาต้องจริงจังกับเธอมากๆ ร้อนถึงเอมิกา หวัง นางแบบสาวที่ตกเป็นข่าวกับชายหนุ่มแทบไม่เว้นแต่ละวันจนเธอต้องรุดไปถามหาความจริงจากเขาด้วยตัวเอง “นี่มันอะไรกันคะภู คุณทำแบบนี้กับเอมี่ได้ยังไง!” เอมิกา หวัง หรือ เอมี่ นางแบบสาวสุดฮ็อตแห่งยุคพูดขึ้นเมื่อเดินเข้ามาในห้องทำงานของภูบดินทร์ที่อยู่ชั้นบนสุดของบริษัทเพชรทายโยธิน กรุ๊ปแห่งนี้ “ขอโทษครับนาย ผมพยายามห้ามเธอแล้ว แต่...” ธีรัตเลขาหนุ่มบอกกับเจ้านายของเขาด้วยสีหน้าลำบากใจ “ไม่เป็นไร นายมีอะไรก็ไปทำเถอะ” ภูบดินทร์บอกกับลูกน้องพยักหน้าเข้าใจ เพราะเขารู้จักนิสัยของเอมิกาดี “ครับนาย” ธีรัตตอบกลับ โค้งให้เจ้านายหนุ่มก่อนจะเดินออกจากห้องไป ทันทีที่ธีรัตออกจากห้องไปภูบดินทร์ก็หันมายิงคำถามใส่เอมิกาทันที “คุณมีธุระอะไรเหรอเอมี่” “ภูจะบอกเอมี่ได้ไหมคะ ว่าข่าวนั่นเป็นแค่เรื่องเข้าใจผิด คุณไม่ได้จะแต่งงานจริงๆอย่างที่ข่าวลงใช่ไหมคะ” เอมิกาพูดรัวเร็วด้วยความที่กำลังร้อนใจสุดๆ “ผมกำลังจะแต่งงานจริงๆอย่างที่ข่าวลงนั่นแหละ” ชายหนุ่มบอกออกไปตามความจริงแต่ก็เลี่ยงที่จะพูดถึงเหตุผลทั้งหมดเพราะไม่อยากให้ใครมองมารดาของเขาในทางที่ไม่ดี “แล้วเอมี่ล่ะคะ คุณจะเอาเอมี่ไปไว้ที่ไหน” เอมิกาเริ่มบีบน้ำตา แสดงสีหน้าเศร้าสร้อย “คุณก็อยู่ที่เดิมของคุณไปซิ มีอะไรน่าสงสัยมากนักรึไง” ภูบดินทร์เริ่มแสดงออกถึงความรำคาญอย่างเห็นได้ชัดแต่เอมิกาก็ยังทำเป็นไม่สนใจตั้งคำถามเซ้าซี้ไม่เลิก “ภูจะให้เอมี่เป็นเมียน้อยเหรอคะทั้งๆที่เอมี่มาก่อนมัน” เอมิกานึกเจ็บใจที่ขุมทรัพย์หลุมใหญ่กำลังจะหลุดมือไปซึ่งเธอไม่มีทางยอมให้เป็นอย่างนั้นแน่ “ผมไม่เคยคิดที่จะให้คุยเป็นเมียน้อยของผมหรอกนะเอมี่” ชายหนุ่มพูดออกไปตามที่เขาคิด เขาไม่ได้อยากให้เอมิกามาเป็นเมียน้อยเพราะเขาไม่คิดที่จะแต่งงานกับหล่อนด้วยซ้ำไปก็แค่คู่ขาไปต่างจากผู้หญิงคนอื่นๆที่เข้ามา “จริงเหรอคะ ภูพูดจริงๆใช่ไหมคะ ที่ไม่อยากให้ให้เอมี่เป็นแค่เมียน้อยของคุณ” เอมิกาถามออกไปอย่างตื่นเต้นเมื่อได้ฟังสิ่งที่ชายหนุ่มพูด เริ่มมีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง ที่แท้ภูบดินทร์ก็คงไม่ได้รักผู้หญิงคนนั้นเท่าไหร่หรอก อีกไม่นานเขาก็คงเลิกกับนางนั้นแล้วกลับมาแต่งงานกับเธออย่างแน่นอน “ก็จริงน่ะสิ ผมไม่เคยคิดที่จะให้คุณมาเป็นเมียน้อยหรอกนะ ไม่ต้องห่วง” ภูบดินทร์พูดแบบขอไปทีก้มหน้าก้มตาเซ็นเอกสารในมือ ไม่ได้สนใจมองมาที่นางแบบสาวเลยสักนิด “เอมี่ดีใจที่สุดเลยค่ะ เอมี่จะรอคุณนะคะ รอวันที่เราจะได้แต่งงานกัน” เอมิกามองหน้าภูบดินทร์ตาหวานเยิ้มพลางจินตนาการถึงอนาคตวันข้างหน้า ภูบดินทร์ชักสีหน้ามองนางแบบสาวอย่าง งงงวย เอมิกาจะรอเขาทำไม เขาบอกตอนไหนว่าจะแต่งงานกับเธอ แต่ก็ช่างเถอะขืนบอกไปแบบนั้นเอมิกาคงได้ปรี๊ดแตกตรงนี้แน่ๆ “แล้วนางนั่น...เอ่อ...เอมี่หมายถึงว่าที่เจ้าสาวของภูน่ะคะเธอเป็นใครเหรอคะ” เอมิกาถามขึ้นอย่างสงสัยเพราะผู้หญิงที่เข้ามาหาชายหนุ่มทุกคนล้วนแล้วแต่ถูกเธอตามไปสั่งสอนจนกลัวกันหัวหดแทบทั้งนั้น แต่ทำไมยังเหลือรอดไปได้อีกตั้งหนึ่งคน รอดถึงขั้นได้แต่งงานกับภูบดินทร์แบบนี้ “เดี๋ยวคุณก็ได้รู้เองนั่นแหละ” ชายหนุ่มบอกปัดเริ่มรำคาญในความจู้จี้ของนางแบบสาวจึงออกปากไล่เธอแบบอ้อมๆเพื่อให้ดูไม่เสียมารยาทมาก “ถ้าคุณไม่มีอะไรแล้ว ก็เชิญนะครับ ผมมีงานต้องทำ” ว่าพลางผายมือไปที่ประตู เอมิกาแอบหน้าเสียทำไมเธอจะไม่รู้ว่าภูบดินทร์กำลังไล่เธอ แต่ก็ยังทำใจกล้าเดินอ้อมโต๊ะทำงานไปหอมแก้มสากของเขาพร้อมทั้งพูดลาเสียงหวาน “ไปก่อนนะคะที่รัก แล้วเจอกันค่ะ” พูดจบก็เดินออกจากห้องไปทันทีอย่างน้อยวันนี้เธอก็ได้คำตอบที่ทำให้เธอพอใจในระดับหนึ่ง เมื่อพ้นร่างระหงสุดเซ็กซี่ด้วยเสื้อผ้าน้อยชิ้นของเอมิกา ภูบดินทร์ก็ถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่ายเขายอมรับว่าเอมิกาเป็นผู้หญิงที่เค้าควงด้วยได้นานที่สุด เพราะหญิงสาวเองก็จัดได้ว่าเป็นผู้หญิงที่สวยมากคนหนึ่งอีกทั้งเธอก็เป็นคนมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในวงสังคม เขาจึงสามารถควงไปไหนมาไหนได้โดยไม่อายใคร และรสสวาทสุดเร้าร้อนบนเตียงของหญิงสาวก็ทำให้เขาติดใจไม่น้อย แต่ก็เท่านั้นมันไม่ได้ทำให้เขาหลงหรือรักเธอเลยสักนิด อีกอย่างเขาก็บอกกับผู้หญิงทุกคนที่เข้ามาหาตลอดว่า อย่าคาดหวังความสัมพันธ์ระหว่างเราเพราะมันไม่มีทางเกิดขึ้นและทุกคนต่างก็รู้ดีว่าเขาเกลียดการผูกมัดเป็นที่สุด ภูบดินทร์ส่ายหัวไล่ความคิดไร้สาระออกไปก่อนจะกลับมาตั้งหน้าตั้งตาอ่านเอกสารที่กองอยู่เต็มหน้าอีกครั้ง เขาต้องรีบเคลียร์งานพวกนี้ให้เสร็จเพราะเย็นนี้เขามีนัดสังสรรค์กับเพื่อนๆ ไอ้พวกนี้พอรู้ว่าเขาจะแต่งงานก็เฮกันใหญ่แถมยังบอกจะพากันลี้ยงเขาที่ยอมสละโสดสักที แต่พอคิดถึงเรื่องแต่งงานทีไรก็พลอยทำให้เขาหงุดหงิดทุกที ก็แค่ปีเดียวทำไมคนอย่างภูบดินทร์จะทนไม่ได้ อาจไม่ถึงปีด้วยซ้ำเขาจะทำให้อริสราขอหย่ากับเขาแทบไม่ทัน ภายในผับหรูใจกลางเมืองกรุงเทพมหานครฯ เสียงดนตรีดังสนั่น นักท่องราตรีทั้งหลายต่างยักย้ายส่ายสะโพกกันอยู่หน้าเวทีเมื่อนักร้องกำลังร้องเพลงอย่างเมามัน บ้างก็นั่งดื่มหรือพูดคุยกันที่โต๊ะ แสงสลัวบวกกับแสงไฟวิบวับหลากสีสันลายตาทำให้หนุ่มสาวที่อยู่ในนี้ดูหล่อสวยกันไปหมด อริสราเดินตามหลังบริกรหนุ่มเข้ามาอย่างเกร็ง ๆไปยังโต๊ะที่ถูกจองเอาไว้เมื่อนัดกับกลุ่มเพื่อนร่วมงานเพื่อเลี้ยงฉลองให้กับการปิดโปรเจคการออกแบบดีไซน์ชิ้นล่าสุดของบรษัท สองมือน้อยยกขึ้นปิดหูเป็นระยะเมื่อความดังของเพลงกระแทกเข้ามาในโซนประสาท หญิงสาวไม่ค่อยชอบสถานที่แบบนี้สักเท่าไหร่ ถ้าไม่จำเป็นก็คงไม่ได้เห็นเธอในนี้แน่ “อ้าวริษา มานั่งนี่สิ ทำไมถึงมาช้าล่ะ” อัญญาดา ประไพพิบูรณ์ หรือ อัญ ตะโกนเรียกเพื่อนสาวเมื่อเห็นอริสราเดินเข้ามาพร้อมกับบริกรหนุ่ม อริสรายกมือไหว้พร้อมทั้งกล่าวทักทายพี่ๆทีมงานแผนงออกแบบดีไซน์ที่ทำงานร่วมกันกับเธออย่างนอบน้อมและก็ได้รับรอยยิ้มเอ็นดูตอบกลับมาจากทุกคน ก่อนจะเดินไปนั่งลงข้างๆเพื่อนสาวอย่างอัญญาดา “ขอโทษนะอัญ วันนี้ริษายุ่งมากเลยต้องช่วยคุณท่านเตรียมงานจนวุ่นวายไปหมด” “จริงด้วยสิ อัญลืมไปเลยว่าเดี๋ยวนี้เพื่อนของอัญกลายเป็นนางซินแห่งยุคไปซะแล้ว” “โธ่อัญ อย่าล้อริษาแบบนี้สิ อัญก็รู้ว่าริษาแต่งงานเพราะอะไร” “โอเคจ้ะ อัญไม่ล้อแล้วก็ได้...ว่าแต่ริษาจะเอาอะไรไหม” “ขอน้ำส้มก็แล้วกันจ้ะ” อริสราตอบเพื่อนสาวเมื่อเห็นว่าอัญญาดาหันไปเรียกบริกรหนุ่มที่กำลังเดินมาทางนี้ อริสรายอมรับว่าวันนี้เธอค่อนข้างยุ่งมากจริงๆจนเกือบจะลืมนัดในวันนี้ยังดีที่อัญญาดาโทรไปหาเธอจึงนึกขึ้นมาได้ เพราะตั้งแต่ที่ตกลงแต่งงานกับภูบดินทร์ตามคำขอของคุณหญิงกาญจนา ฤกษ์แต่งงานก็ถูกกำหนดขึ้นอย่างรวดเร็วจนหญิงสาวเองก็ยังตั้งตัวแทบไม่ทัน อีกทั้งคุณหญิงกาญจนาก็เข้ามาดูแลเรื่องนี้ด้วยตนเองแม้กระทั้งวันนี้คุณหญิงก็พาเธอไปลองชุดแต่งงานที่สั่งตัดไว้พร้อมกับเลือกของชำร่วยต่างๆ ทุกอย่างถูกจัดเตรียมอย่างเร่งวันทันด่วนเพราะเหลือเวลาอีกแค่อาทิตย์เดียวเท่านั้นก็จะถึงวันงานตามที่กำหนดไว้ในฤกษ์ทั้งที่ว่าที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวยังไม่เคยเจอหน้ากันสักครั้ง เนื่องจากอริสราเองพยายามที่จะหลบหน้าภูบดินทร์ตลอด ทุกครั้งที่ชายหนุ่มกลับมาบ้านหญิงสาวก็มักจะหาข้ออ้างออกไปข้างนอกเสมอบ้างก็อ้างว่ามีนัดกับอัญญาดาหรือบางทีก็บอกว่าต้องกลับไปแก้งานที่บริษัท ทั้งที่ความจริงแล้วเธอก็แค่ไปนอนเล่นที่คอนโดฯของเพื่อนสาวฆ่าเวลาเพื่อรอให้ภูบดินทร์เข้านอน แม้กระทั้งตอนเช้าอริสราก็จะรีบออกไปทำงานโดยเลี่ยงที่จะขึ้นมารับประทานอาหารกับคุณหญิงกาญจนาที่ตึกใหญ่จึงทำให้ทั้งคู่ไม่มีโอกาสได้เจอกันเลย ใช่ว่าเธอไม่อยากจะเจอกับชายหนุ่มเพียงแต่ว่าตอนนี้เธอแค่ยังไม่พร้อมเท่านั้นเอง “ริษาออกไปเต้นเป็นเพื่อนอัญหน่อยสิ” อัญญาดาหูผึ่งเมื่อได้ยินดีเจเปิดเพลงโปรด รีบหันไปชวนอริสราให้ลุกไปเต้นเป็นเพื่อน “อัญไปเถอะ ริษาเต้นไม่เก่งออกไปก็เกะกะคนอื่นเขาเปล่าๆ” ริษาปฏิเสธหญิงสาวไม่ค่อยถนัดเรื่องแบบนี้ซักเท่าไหร่ “ไม่เห็นเป็นไรเลย ถ้าเต้นไม่เป็นก็เต้นตามอัญก็ได้ ไม่มีใครเขาจะมาสนใจดูเรากันหรอก นะริษาไปเต้นเป็นเพื่อนอัญหน่อยนะสักสี่ห้าเพลงก็ได้ ขืนนั่งอยู่ที่โต๊ะมีหวังโดนพวกพี่ๆมอมเหล้าแน่ๆ” อัญญาดาร่ายยาวเพื่อกล่อมให้ริษาใจอ่อนอ้างเหตุผลสารพัด อริสราหันไปมองแก้วเตกีล่ารวมถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ต่างๆตรงหน้าที่พี่ทีมงานหลายต่อหลายคนยื่นมาให้เธอดื่ม หญิงสาวทำได้แค่เพียงรับไว้เท่านั้นเพื่อไม่ให้เป็นการเสียมารยาท เริ่มคล้อยตามคำพูดของอัญญาดาว่าถ้าหากเธอยังนั่งอยู่ตรงนี้มีหวังต้องได้ดื่มเข้าไปสักแก้วสองแก้วแน่ๆ จึงยอมตอบตกลงออกไปเต้นกับเพื่อนสาวดีกว่า “ก็ได้จ้ะ แต่...เพลงเดียวนะ” “โธ่ริษา สักห้าเพลงเถอะนะ” “สองเพลงจ้ะ” อริสรายังคงต่อรอง “ไม่ๆ ขอสามเพลงแค่สามเพลงนะริษา แปปเดียวเอง” “โอเคจ้ะ สามเพลงก็สามเพลง” อริสราส่ายหน้าพลางยิ้มให้กับตัวเองเบาๆเมื่อต้องใจอ่อนให้กับลูกอ้อนของอัญญาดาเหมือนเช่นเคย ก่อนจะลุกออกจากที่นั่งเพื่อไปยังฟลอร์เต้นรำที่หน้าเวทีตามแรงดึงของเพื่อนสาวไม่นานก็เริ่มเต้นตามอัญญาดาที่เริ่มออกสเต็ปอย่างเป็นจังหวะเย้ายวนตามเสียงเพลง ด้านหน้าของผับหรูย่านดังใจกลางเมือง ภูบดินทร์พร้อมกับธีรัตเลขาคนสนิทและลูกน้องอีกสองคนเดินมาหยุดอยู่ที่ประตูทางเข้า ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดโทรออกเมื่อได้รับคำตอบจากปลายสายเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็เก็บโทรศัพท์ยัดลงไปในกระเป๋ากางเกงตามเดิม จากนั้นก็ตรงดิ่งไปยังโต๊ะวีไอพีที่อยู่ชั้นสองของผับโดยมีลูกน้องทั้งสามคนเดินมาเข้ามาด้วย ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ชายหนุ่มจะมีลูกน้องหรือบอดี้การ์ดมากมายคอยคุ้มกันเวลาที่เขาไปไหนมาไหน มันดูจะเป็นเรื่องปกติด้วยซ้ำไปสำหรับนักธุรกิจชั้นแนวหน้าทุกคน ไม่มีมิตรแท้บนเส้นทางสายนี้ต่างฝ่ายต่างแข่งขันเพื่อผลประโยชน์ด้วยกันทั้งนั้น จากมิตรก็อาจจะกลายเป็นศัตรูได้ทุกเมื่อ “ว่ายังไงครับคุณภูบดินทร์ นึกว่าจะมาตอนผับปิดแล้วซะอีก” เอกภพ คุณหมอหนุ่มเอ่ยแซวเมื่อเห็นเพื่อนรักพ่วงท้ายด้วยตำแหน่งนักธุรกิจหนุ่มไฟแรงเดินเข้ามาพร้อมกับลูกน้องอีกสองสามคน “ฉันก็รีบเคลียร์งานแล้วตรงดิ่งมาหาพวกนายเลยเนี่ยแหละ” ภูบดินทร์เดินเข้ามาตบไหล่เพื่อนเบาๆพลางนั่งลงยังโซฟาตัวที่ว่างอยู่โดยที่ลูกน้องทั้งสามคนก็นั่งลงที่โต๊ะวีไอพีอีกโต๊ะข้างๆกัน “ไม่ใช่ยุ่งอยู่กับการเตรียมงานแต่งงานหรอกเหรอ” เอกภพยังคงแซวต่อไม่หยุดเรียกเสียงโห่ร้องอย่างล้อเลียนจากเพื่อนๆทั่วทั้งโต๊ะ “ไร้สาระ!” ภูบดินทร์บอกปัด “ไม่คิดจะพาว่าที่เจ้าสาวมาแนะนำให้เพื่อนฝูงรู้จักหน่อยเหรอว่ะ” นทีหนุ่มหล่อคมเข้มเจ้าของรีสอร์ททางภาคเหนือถามขึ้นบ้าง “นั่นน่ะสิ อีกแค่อาทิตย์เดียวก็จะถึงงานแต่งอยู่แล้วแต่พวกเรายังไม่เคยเห็นหน้าเจ้าสาวของนายเลยนะเพื่อน ถามจริงสวยมากป่ะว่ะ?” กวินหนุ่มตี๋เจ้าของผับเสริมขึ้นด้วยความอยากรู้อยากเห็น “เดี๋ยวก็เห็นเองแหละน่า” ภูบดินทร์เริ่มรำคาญตอบกลับเพื่อนไปแบบส่งๆ จะมาอยากเห็นอะไรนักหนาขนาดเขาเป็นเจ้าบ่าวยังไม่เคยเห็นหน้าเจ้าสาวของตัวเองสักครั้ง ทั้งที่อยู่ในรั้วบ้านเดียวกันด้วยซ้ำไป จำได้แค่เพียงลางๆถึงเด็กผู้หญิงตัวอวบ หน้ากลมๆ ตาใสแป๋วภายใต้แว่นตาหนาเตอะสวมชุดกระโปรงบานฟูฟ่อง กับท่าทางเขินอายไม่สู้หน้าคนตลอดเวลานั่นแค่คิดก็อยากจะบ้า ผู้หญิงแบบนั่นน่ะเหรอที่จะมายืนอยู่เคียงข้างเขา ให้ตายสิ!! ชายหนุ่มคิดกับตัวเองอย่างหงุดหงิด ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าเธอพยายามที่จะหลบหน้าเขา ข้ออ้างไร้สาระของหญิงสาวที่ได้ยินจากนมแช่มแค่ฟังก็รู้แล้วว่าโกหก เห็นเขาโง่นักรึไง! แต่ก็ช่างเถอะอยากหลบก็หลบไป ‘ฉันยังมีเวลาเล่นซ่อนหากับเธออีกนาน อริสรา’ ทั้งภูบดินทร์ เอกภพ นที และกวิน ทั้งสี่คนเป็นเพื่อนรักกันตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาแม้กระทั่งตอนที่ภูบดินทร์ย้ายไปเรียนต่อที่ต่างประเทศทั้งนทีและกวินก็ยังตามไปเรียนกับเขาที่นั่นด้วย จะมีก็เพียงแต่เอกภพคนเดียวเท่านั้นที่ยังคงอยู่ที่ประเทศไทยตั้งหน้าตั้งตาสอบเข้าคณะแพทย์เพื่อสืบทอดธุรกิจโรงพยาบาลของครอบครัว แต่ชายหนุ่มก็ยังหาเวลาไปเที่ยวหาเพื่อนๆที่ต่างประเทศแทบทุกเดือน จึงทำให้พวกเขาทั้งสี่คนเป็นเพื่อนที่สนิทและรู้ใจกันมากที่สุด ทั้งสี่หนุ่มนั่งพูดคุยกันอย่างออกรสออกชาติตามประสาชายโสด แต่ก็ยังคงแอบแซวภูบดินทร์บ้างเป็นระยะเมื่อสบโอกาสโทษฐานที่สละโสดก่อนใครในบรรดาเพื่อนๆ ก่อนที่เอกภพคุณหมอหนุ่มเจ้าเสน่ห์จะพูดขึ้นเมื่อสองสาวสวยที่กำลังเต้นอยู่กลางฟลอร์หน้าเวทีชั้นล่างดึงดูดสายของเขามากเหลือเกินจึงอดไม่ได้ที่จะแนะของดีให้เพื่อนได้ชื่นชมบ้าง “เฮ้ยเพื่อน...ดูสองสาวกลางฟลอร์นั่นสิ แจ่มว่ะ!” “ไหนวะ” นทีถามขึ้นพลางสอดส่ายสายตามองหาก่อนจะจบลงที่สองสาวในชุดเดรสสุดเย้ายวน “เดรสแดงเด็ดสุด” “ฉันว่าเดรสขาวว่ะ สวยใส น่าค้นหาสุดๆ” กวินเอ่ยขึ้นบ้างถึงหนึ่งในสองสาวที่เขาถูกใจ เมื่อเห็นเพื่อนเริ่มเถียงกันถึงสองสาวสวยเอกภพจึงหันไปขอความเห็นจากภูบดินทร์ที่กำลังอ่านเอกสารในอีเมลล์ผ่านสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ล่าสุดไม่ได้สนใจสิ่งรอบกายสักนิด “เฮ้ยภูนายว่าใครเด็ดกว่ากันวะ” “อะไรวะ” ภูบดินทร์ละสายตาจากอีเมลล์ที่กำลังอ่านอยู่เงยหน้าขึ้นมามองเพื่อนด้วยความสงสัย “นั่นไง สองสาวเดรสแดงกับขาวที่เต้นอยู่ข้างล่างนั่นน่ะ” ภูบดินทร์เก็บสมาร์ทโฟนใส่กระเป๋ากางเกงพลางมองตามมือของเอกภพที่ชี้ลงไปยังชั้นล่าง พลันสายตาก็สะดุดเข้ากับร่างระหงของสองสาวสาวที่กำลังเต้นอยู่กลางฟลอร์ด้วยท่าทางเย้ายวนใจ ชายหนุ่มเพ่งมองอย่างพินิจพิจารณา สาวสวยทั้งสองคนแต่ดูเหมือนจะมีบุคลิกที่แตกต่างกันคนหนึ่งดูสวยเปรี้ยวแต่ก็ไม่ถึงกับจริตมาก ท่าทางการเต้นที่เย้ายวนนั่นแสดงให้เห็นว่าเธอเป็นคนที่มีความมั่นใจมากทีเดียว ส่วนอีกคนซึ่งเขายังไม่ทันได้เห็นหน้าของหล่อนแต่แค่มองจากด้านหลังก็พอจะเดาได้ว่าเธอคงเป็นผู้หญิงที่สวยมากคนหนึ่ง ด้วยเรือนร่างระหงผอมเพรียวดูบอบบางเข้ากับส่วนสูงที่พอดีตามมาตรฐานของหญิงไทย ชุดเดรสสีขาวที่สวมใส่ยิ่งขับผิวขาวเนียนของเธอให้น่ามอง ถึงจะรัดรูปไปบ้างแต่ก็ไม่ได้น่าเกลียดอะไรกลับยิ่งทำให้เห็นส่วนเว้าส่วนโค้งและรูปร่างที่น่าหลงใหลของเจ้าตัวมากยิ่งขึ้นบวกกับท่าเต้นที่ไม่ประสีประสาแต่กลับดึงดูดสายตาจนน่าตกใจ “ว่าไงภู นายว่าคนไหนสวยกว่ากัน” เอกภพภามย้ำขึ้นเมื่อเห็นว่าภูบดินทร์นิ่งไปนานแต่ก็ไร้เสียงตอบรับใดๆจากเพื่อนรัก “...” ภูบดินทร์นิ่งเงียบใช่ว่าเขาไม่ได้ยินในสิ่งที่เพื่อนถามแต่บางสิ่งบางอย่างทำให้ชายหนุ่มนิ่งงันสายตาคมจับจ้องอยู่ที่หญิงสาวร่างระหงในชุดเดรสสีขาวสะอาดที่กำลังเต้นยั่วยวนสายตาหื่นกระหายของเหล่าชายมุ่งข้างล่างไม่วางตา ทันทีที่หญิงสาวหมุนตัวเพื่อเปลี่ยนท่าเต้นก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ภูบดินทร์ได้เห็นใบหน้าสวยหวานไร้ที่ตินั่นอย่างชัดเจน ชายหนุ่มผลุนผลันลุกจากที่นั่งจนเพื่อนๆต่างก็พากันมองมาอย่างสงสัย ลางสังหรณ์บางอย่างบอกกับเขาว่าเธอคือคนรู้จักทั้งๆที่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นหน้าของเธอ ชายหนุ่มตัดสินใจวิ่งออกจากโต๊ะวีไอพีลงไปยังฟลอร์เต้นรำที่อยู่ชั้นล่างเพื่อไขความกระจ่างให้กับตัวเอง สร้างความแปลกใจและงงงวยให้เพื่อนๆที่นั่งอยู่ไม่น้อย “อะไรของมันวะ” นทีพูดขึ้นด้วยความงงงวยพลางหันมาขอความเห็นจากเพื่อนรักทั้งสองคนแต่ก็ได้รับเพียงการส่ายหน้าเพราะไม่รู้ตอบกลับมา กลางฟลอร์เต้นรำหน้าเวทีในผับหรูย่านดังใจกลางเมืองสองสาวทั้งอริสราและอัญญาดากำลังสนุกสนานกับการออกสเต็ปท่าเต้นไปตามจังหวะหนักๆของเพลงที่เปิดโดยดีเจชื่อดัง อริสราเองก็ไม่ได้รู้สึกเคอะเขินอย่างในตอนแรกเมื่อเริ่มปรับตัวและเริ่มชินซะแล้วบวกกับได้ครูสอนเต้นมือโปร์อย่างอัญญาดาช่วยสอนทำให้หญิงสาวสนุกและเพลิดเพลินไปกับเสียงดนตรีจนลืมว่ารอบกายมีผู้คนมากมายขนาดไหนหรือมีใครมองดูเธออยู่บ้าง “ว้าย!” อริสราร้องออกมาด้วยความตกใจที่จู่ๆข้อมือของเธอก็ถูกกระชากอย่างแรงจากด้านหลังจนหญิงสาวตัวปลิวเซไปปะทะกับอกแกร่งของใครบางคนเข้า หญิงสาวหลับตาแน่นก่อนจะค่อยๆลืมตาขึ้นมาพบกับร่างแกร่งกำยำเมื่อสายตาของเธออยู่แค่ระดับอกของเขาเท่านั้นแสดงว่าชายหนุ่มต้องเป็นผู้ชายที่สูงมากแน่ๆ ตามสัญชาตญาณของนักออกแบบแฟชั่นดีไซน์ทำให้หญิงสาวเลือกที่จะพินิจมองดูสไตล์การแต่งตัวของเขาแล้วก็รับรู้ได้ว่าคนตรงหน้าไม่ได้เนียบหรือติดหรูด้วยเชื้อเชิ้ตแบบเรียบๆแต่กลับดูดี ถึงแม้ชุดที่สวมใส่บนตัวของชายหนุ่มจะล้วนแล้วแต่เป็นเสื้อผ้าแบรนด์เนมก็ตาม “เธอ...เราเคยรู้จักกันรึป่าว?” เสียงพูดอย่างไม่มั่นใจของชายหนุ่มตรงหน้าทำให้อริสราได้สติเมื่อกำลังเผลอไผลไปกับการสำรวจการแต่งกายของเจ้าของอ้อมแขนแข็งแกร่ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปมองเขาและก็ต้องตกตะลึงจนตัวแข็งทื่อดวงตากลมโตเบิกกว้างด้วยความตกใจเมื่อชายหนุ่มที่ถือวิสาสะมากระชากข้อมือของเธออย่างไร้มารยาทคือ ภูบดินทร์ อภิรักษ์โยธินกุล ว่าที่เจ้าบ่าวของเธอเอง ‘...คุณภู’ แต่ก่อนที่ภูบดินทร์จะได้พูดอะไรออกมาอีกร่างของชายวัยกลางคนที่กำลังเมาไม่รู้เรื่องก็ถูกเหวี่ยงมาชนกับหลังของเขาอย่างแรกจนชายหนุ่มเผลอปล่อยมือของหญิงสาวที่อยู่ในอ้อมแขนเมื่อเริ่มเกิดเรื่องทะเลาะวิวาท อริสราเองก็ถือโอกาสที่ผู้คนกำลังชุลมุนวุ่นวายสะบัดตัวออกจากอ้อมแขนของภูบดินทร์แล้วคว้าแขนของอัญญาดาวิ่งกลับไปเอากระเป๋าสะพายที่โต๊ะพร้อมกับบอกลาพี่ๆทีมงานอย่างลวกก่อนจะตรงไปยังประตูทางออกอย่างรวดเร็วจนพลอยทำให้เพื่อนสาวตกใจไปด้วย “เป็นอะไรริษา เกิดอะไรขึ้นทำไมถึงหน้าตาตื่นแบบนั้นล่ะ” อัญญาดาถามขึ้นเมื่อทั้งคู่วิ่งมาถึงบริเวณหน้าผับไม่ไกลจากถนนใหญ่ “คือ...ริษาก็แค่ตกใจที่เห็นคนเมาทะเลาะกันเมื่อกี้น่ะ” “แล้วผู้ชายคนนั้น...” “ริษาต้องรีบกลับแล้ว ขอโทษนะอัญ เดี๋ยวริษาจะเล่ารายละเอียดให้ฟังทีหลัง แต่ตอนนี้รีบขึ้นรถก่อนเถอะ” อริสรารีบพูดตัดบทอย่างร้อนรน เป็นจังหวะเดียวกันกับที่มีแท็กซี่คันหนึ่งวิ่งผ่านมา หญิงสาวโบกมือเรียกรถก่อนจะเปิดประตูแล้วดันตัวเพื่อนสาวเข้าไปและเธอก็ตามเข้ามานั่งพร้อมกับปิดประตูก่อนจะหันมาบอกให้คนขับออกรถอย่างรถเร็ว เมื่อภูบดินทร์ตั้งตัวได้ชายหนุ่มก็หันไปมองกลุ่มคนเมาอย่างคาดโทษ ก่อนจะรู้ตัวอีกทีหญิงสาวที่อยู่ในอ้อมแขนของเขาก็หายไปแล้ว ชายหนุ่มตัดสินใจวิ่งออกไปหน้าผับเมื่อเห็นหลังไวๆของเธอ แต่ก็ไม่ทันซะแล้วเมื่อเขาวิ่งมาถึงก็เห็นสองสาวกำลังขึ้นแท็กซี่ออกไปเหมือนพยายามจะหนีอะไรบางอย่าง แต่นั่นยิ่งทำให้ความสงสัยของเขาเพิ่มมากขึ้น ลางสังหรณ์บางอย่างบอกกับเขาว่าต้องได้พบกับเธออีกอย่างแน่นอน ‘เราต้องได้เจอกันอีกแน่ นางแมวยั่วสวาท’
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม