ตอนที่ 9
รอยยิ้มเย้ยหยันแต้มบนหน้าเข้ม สองมือสอดเข้าไปในกระเป๋ากางเกง เขาอยากเจอกับลุงทนายอยู่เหมือนกัน จะได้ทำเรื่องลาออกจากงานซึ่งต้องเป็นลูกน้องทั้งพ่อและพี่ชาย อาจจะลามไปถึงน้องชายกำลังจะกลับจากต่างประเทศในอีกไม่กี่วันข้างหน้าอีกคนด้วย ที่สำคัญ...
“คราวนี้จะขัดขวางอะไรผมอีกครับลุง” พีรายุเชื่อเต็มร้อย เมื่อใดที่เอ่ยปากขอเบิกเงินมรดกที่ย่ามอบให้จะต้องถูกต่อว่าด่าทอประชดประชันด้วยความหวังว่าเขาจะย่อท้อและยอมกลับไปเป็นลูกไล่ของพี่ชายและน้องชายอีก แต่คราวนี้จะไม่เป็นอย่างที่คนพวกนั้นต้องการอีกแล้ว เขาจะขอออกมาเป็นตัวของตัวเองเสียที
“อย่าหวังว่าคราวนี้จะขวางผมเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมาอีกแล้ว ในเมื่อไม่เห็นหัวกัน...ผมก็จะทำอย่างที่ต้องการเสียที” ฟังคำคนห้ามมานานเกินไปแล้ว สมควรแก่เวลาที่จะทำตามความฝันสร้างบริษัทรับออกแบบและตกแต่งภายใน ซึ่งเป็นงานที่เขาถนัดและรักที่สุดเสียที
พีรายุเลิกคิดเรื่องของคนอื่น สิ่งที่ควรทำในตอนนี้คือตามหาตัวยายหัวขโมยนั่นให้พบ ชายหนุ่มยืนแนบแผ่นหลังกับผนังห้อง ขณะจ้องไปที่ประตูอะลูมิเนียมด้วยใจจดจ่อ บอกไม่ถูกเป็นเพราะอะไร เหมือนมีอะไรมาดลใจให้เขาสนใจ อยากที่จะเห็นหน้าผู้หญิงผมยาวคนนั้นซะเหลือเกิน
“หวังว่าจะเป็นเธอนะยายหัวขโมยตัวแสบ” พีรายุยิ้มหยัน เพราะรวิสุดาคนเดียว ทำให้เขาถูกยายหัวขโมยเล่นงานเสียจนหมดท่า
เพียงหญิงที่รออยู่เดินออกมาจากประตู พีรายุก็เริ่มสังเกตพร้อมกับทบทวนความทรงจำของตัวเอง ก่อนที่เขาจะสะดุดกับสร้อยเส้นเล็กที่โผล่ออกมานอกตัวเสื้อ ไอ้สร้อยนะไม่เท่าไหร่หรอก แต่สิ่งที่หอยอยู่กับตัวสร้อยนะสิ เรียกความสนใจจากเขาได้ชะงักนัก
“ใช่เธอจริง ๆ ยายหัวขโมย!”
บุษกรเดินออกจากห้องน้ำอย่างรีบเร่ง เพราะตอนนี้คุณหมอที่ดูแลพรพรรณอยู่คงจะมาเข้าเวรแล้ว เธออยากรู้เรื่องอาการป่วยของแม่จะแย่แล้ว หากเธอกลับต้องหยุดชะงัก พลางมองร่างหนาที่ยืนหน้าบึ้งตึงอยู่เบื้องหน้าอย่างหวาดผวาและหวั่นเกรงรัศมีแห่งอำนาจที่แผ่ซ่านมา ทำให้หัวใจสั่นไหวได้ไม่ยากเลย
“คุณ!” คิ้วคมขมวดมุ่นเข้าหากัน เธอคุ้นหน้าผู้ชายตรงหน้ายังไงก็ไม่รู้ เหมือนกับเคยเห็นชายร่างยักษ์คนนี้มาก่อน แต่...ที่ไหนล่ะ
“ขอโทษนะคะคุณ ขอทางหน่อยค่ะ” ทว่า...
“คุณคะ...ขอทางหน่อยค่ะ” บุษกรเอ่ยอีกครั้ง แต่คนร่างใหญ่กลับไม่มีทีท่าว่าจะขยับเคลื่อน แถมใบหน้าเข้มยังจะมีรอยยิ้มเยาะหยัน เช่นเดียวกับดวงตาเกรี้ยวกราด
“หน้าตาก็ดี...มือเท้าก็มี ไม่ได้พิกลพิการสักหน่อย แต่กลับทำมาหากินด้วยการเป็นนักย่องเบา”
“คะ...คุณว่าอะไรนะคะ” คนที่ทำความผิดถึงกับสะดุ้งเฮือก ตกใจจนหัวใจเต้นราวกับจะทะลุออกมาจากทรวง
“คิดว่าเอาดินมาทาหน้าให้กระด่างกระดำแล้วฉันจะจำเธอไม่ได้หรือไง...ยายหัวขโมย!”
บุษกรผงะทันควัน...เป็นไปได้ยังไงกัน ผู้ชายคนนี้รู้ตัวจริงได้ยังไง!
“เธอคิดว่าเหล้าขวดสองขวด จะทำให้ฉันเมาจนจำไม่ได้ว่าเราสองคน...”
“พูดบ้าอะไรของคุณ ฉันไปจูบกับคุณเมื่อไหร่กัน ฉันยังไม่เคยเจอหน้าคุณเลยนะ” บุษกรรีบยกมือปิดปากเมื่อรู้ตัวว่าพูดอะไรออกไป
ถึงจะเห็นหลักฐาน แต่เขาก็ยังไม่มั่นใจเต็มร้อย หากคำพูดที่ยายหัวขโมยโต้กลับมา...รอยยิ้มแต้มที่มุมปากพีรายุ
เขาไม่ใช่คนเจ้าคิดเจ้าแค้น แต่จะไม่หายเจ็บใจ ถ้าไม่ได้เอาคืนคนที่ทำร้ายตัว แล้วยายหัวขโมยนี่ก็...เห็นตัวเล็กแบบนี้ แต่หมัดหนักไม่ใช่น้อย เขายังรู้สึกตึง ๆ ที่ขอบตา ไหนจะรอยช้ำที่ยังเห็นได้ชัดเมื่อส่องกระจก ไหนจะมีรอยแผลที่อยู่เหนือหัวคิ้วอีกละ
“จะแกล้งทำเป็นจำไม่ได้ ก็ต้องให้มันแนบเนียนกว่านี้สักหน่อยนะยายหัวขโมย เอ๊ะ...หรือต้องการให้ฉันทบทวนความจำให้”
ตอนแรกเขาจำแม่นักย่องเบาที่ทำร้ายร่างกายไม่ได้หรอก ถึงหญิงสาวจะมีแหวนคล้องคออยู่ แต่ยังถือเป็นหลักฐานมัดตัวที่ชัดเจนไม่ได้ จนกว่าจะได้รับการตรวจจากผู้เชี่ยวชาญ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังมีเหตุผลให้หักล้างได้อยู่ดี แต่ที่เขาสะดุดนะเป็นหยดเลือดที่ยังเห็นจาง ๆ อยู่บนตัวเสื้อ กับรอยสีดำเป็นปื้นที่ยังมีอยู่บริเวณลำคอเลยแกล้งทักเพื่อจับพิรุธดู
“จะรีบไปไหนล่ะยายหัวขโมย” พีรายุคว้าแขนหัวขโมยสาวที่เดินเลี่ยงเขาไปอีกฝั่ง รอยยิ้มแต้มบนมุมปากหนา ขณะใช้เวลาน้อยนิดกวาดตาคมกริบมองกายอรชรอย่างพินิจพิจารณา
ใบหน้านวลแม้จะขะมุกขะมอมและเปื้อนไปด้วยดินโคลน แต่ก็มองเห็นแก้มซับสีเลือดฝาด ดวงตากลมโตที่แฝงไว้ซึ่งความเด็ดเดี่ยวที่ทำให้คิดได้ว่าเธอคนนี้ต้องเป็นคนกล้าได้กล้าเสีย ไม่หวั่นกลัวและหวาดเกรงอะไรง่าย ๆ พร้อมที่จะต่อสู้กับทุกสิ่งทุกอย่างโดยไม่ย่อท้อ จมูกโด่งได้สันรับกับริมฝีปากอิ่มเต็มสีชมพูน่ามองและน่าสัมผัส
“ถ้าไม่อยากถูกจับได้ว่าไปทำอะไรไม่ดีมา ก็อย่าทำสิ”
“ฉันไปทำอย่างที่คุณว่าเมื่อไหร่กันฮึ! อย่ามากล่าวหากันมั่ว ๆ ไม่มีหลักฐานนะ” บุษกรโต้ไปเสียงสั่น เพราะชะงักที่ติดหลังที่ทำยังก็ยังสลัดไม่ออก หญิงสาวมองชายหนุ่มจอมหาเรื่อง พูดราวกับจำได้ว่าเธอเป็น...
ดวงตากลมโตเบิกกว้าง อย่างไม่ต้องสงสัยแล้ว ผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าเป็นเจ้าของทรัพย์สินที่ถูกเธอหยิบเอามาโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งตอนนี้ก็ได้นำส่วนหนึ่งไปเปลี่ยนเป็นเงินมาแล้ว และก็เป็นไอ้หนุ่มบ้ากามที่ลวนลามจนถูกเธอใช้ขวดเหล้าตีหัวเอาจนเลือดอาบ
ชิ...มันหน้าจะเอาให้หนักกว่านี้อีกสักหน่อย ดูสิ แผลแค่นิดเดียวเอง บุษกรคิดอย่างเจ็บใจ
“ไม่ใช่ว่าไปเมา...แล้วปากเสียจนคนข้าง ๆ เขารำคาญจนทนไม่ไหว ก็เลยสั่งสอนด้วยการเอาขวดเหล้าฝาดหัวเสียมากกว่า”
บุษกรลอยหน้าลอยโต้กลับไปอย่างไม่ยอมแพ้ แต่หวั่นใจไม่ใช่น้อยเมื่อเจอกับโจทก์ชัด ๆ ตัวเป็น ๆ มายืนจ้องอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ
‘ซวยแต่เข้าเลยเรา แต่เอ๊ะ...ตาบ้าร่างยักษ์จำเราได้ไงหว่า? เมื่อคืนเราเอาดินโคลนทาหน้าแล้วนี่น่า ในห้องก็มืด...อีตายักษ์นี่ก็เมาจนแทบจะยกหัวไม่ขึ้นอยู่แล้ว จะจำเราได้ไง อ๋อ...นี่เล่นลักไก่ใช่ไหม ฮึ! รู้ฤทธิ์นังบัวน้อยไปแล้วล่ะ เดี๋ยวแม่จะเอาคืนให้เจ็บกว่าเมื่อคืนเลยคอยดู’
“คิดจะทำอะไรอีกล่ะยายหัวขโมย” แม้จะเพิ่งเจอ แต่เหมือนเขาจะล่วงรู้ความคิดของยายหัวขโมยหน้าใส
“เปล่า!” บุษกรปฏิเสธเสียงสูง แต่รอยยิ้มกลับแต้มบนมุมปากเล็ก ดวงตากลมโตแวววาวเป็นประกายสอดสายหาทางหนีไปจากสถานการณ์ชวนหวั่นใจโดยที่จะไม่ถูกจับตัวเอาไว้ได้ และยังจะเอาคืนอีตาขี้เมานี่ด้วย
“ปากกับใจให้มันตรงกันหน่อยสิยายหัวขโมย”
“เอ๊ะ! คุณนี่มันยังไงกัน ฉันบอกกี่ครั้งแล้วว่าไม่เป็นขโมย...ไม่เคยไปขโมยของอะไรของคุณ” บุษกรแกล้งทำเป็นโกรธกลบเกลื่อนและหวังว่าคำยืนยันเสียงแข็งจะทำให้ชายหนุ่มตรงน่าเชื่อ
พีรายุหัวเราะกลั้วคอ
“ถ้าฉันมีหลักฐานล่ะ” ชายหนุ่มถามน้ำเสียงเหมือนจะยิ้มได้ หากสายตากลับเย้ยหยันมองแม่ตัวแสบที่ทั้งขโมยของและทำร้ายเจ้าทุกข์ ถ้าเขาไปแจ้งความ ยายนักย่องเบาหน้าใสจะโดนไปกี่กระทงกันนะ
“อย่ามาหาเรื่องกันให้ยากเลย ฉันไม่เชื่อคุณหรอก หลักถงหลักฐานอะไรนั่น สร้างเองละไม่ว่า”