ตอนที่ 6
“ปล่อยฉันนะไอ้บ้า!” เพียงริมฝีปากเป็นอิสระบุษกรก็รีบเอ่ย หากกลับถูกนิ้วยาวยกขึ้นมาปิด
“ทำไมละสุดา...เราทำอย่างนี้กันบ่อย ๆ เธอยังบอกเลยว่าชอบให้ฉันจูบ...แบบนี้”
ฟันขาวขบกัดลงบนกลีบปากแผ่วเบา ก่อนจะขบเม้มย้ำลงไป พร้อมกับเรียวลิ้นที่สอดแทรกเข้าไปกวาดเคล้าควานหาความนุ่มละมุนภายในโพรงปากอุ่นที่ทำให้เขาหลงใหลไม่แพ้ทรวงอกนุ่มหยุ่นที่ตอบสนองเป็นอย่างดี จนเผลอปล่อยแขนเรียวยาวให้เป็นอิสระ
“คิดถึงมากๆ เลยรู้ไหมสุดา” พีรายุขบเม้มริมฝีปากหนาไปทั่วใบหน้าเนียนนุ่ม ใบหน้าคมคร้ามขบเคลื่อนไฟร้อนผ่าวขบเม้มไปตามผิวลำคอหอมจรุงใจ จุดหมายคือสองเนินเนื้อที่กระเพื่อมไหวอยู่
ถ้อยคำที่เรียกขานชื่อ ทำให้บุษกรเริ่มรู้สึกตัวแล้วว่ากำลังทำอะไรอยู่ แม้ไฟร้ายจะลามเลียไปทั่วกาย แม้ยากที่จะเรียกสติที่กระเจิดกระเจิงจากสิ่งที่ไม่คุ้นเคยกลับคืนมา แต่เธอก็ต้องพยายามทำอย่างเต็มที่
หญิงสาวขยับเคลื่อนมือไปบนพื้นจนได้พบกับขวดเหล้า อย่างรวดเร็วและไม่ทันคิดอย่างรอบคอบเธอคว้ามันมาแล้วฟาด...
ปึก!
“โอ๊ย!”
คนที่กำลังลอยล่องอยู่ในห้วงแห่งความฝัน แต่กลับต้องเจอกับพายุร้ายอย่างที่ไม่ทันได้ตั้งตัว พุ่งเข้ามาที่ศีรษะอย่างรุนแรงจนเห็นดวงดาวลอยคว้างหมุนรอบถึงกับร้องเสียงดังลั่น ผลจากการถูกตีทำให้เลือดไหลซึมไหลบ่าออกมาอย่างรวดเร็ว ส่งกลิ่นคาวคละคลุ้งไปทั่วห้อง
“ใครใช้ให้แกมาทำบ้า ๆ กับฉันก่อนทำไม โดนแค่นี้ยังน้อยไปด้วยซ้ำ”
ถึงบุษกรจะตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่เพราะต้องการเอาตัวรอดจากสัมผัสที่ทำให้ปั่นป่วนในช่องท้องและเสียวซ่านในคราวเดียวกัน ถึงได้ทำร้ายชายขี้เมาลงไปอย่างไม่ทันจะรู้ตัว แล้วตอนนี้เธอก็ต้องรีบหนีไปจากบ้านหลังนี้ให้เร็วที่สุดด้วย หญิงสาวรีบผลักร่างหนาที่ฟุบลงนอนนิ่งบนเรือนกายออก
“โหย...ไอ้บ้าขี้เมานี่หนักชะมัดเลย” บุษกรพึมพำ โดยไม่ลืมภารกิจสำคัญที่เข้ามาในบ้านหลังนี้ เธอควานหาถุงสัมภาระและเมื่อพบก็คว้ามันมาถือไว้อย่างรวดเร็ว ก่อนจะลุกขึ้นถลาวิ่งออกไปจากห้อง ร่างเล็กบางวิ่งตัวปลิวเหมือนกับปูลมจนเกือบจะลงบันไดไปแล้ว แต่แล้ว...
“โหย...บ้าจริง จะไปสนใจอะไรหนักหนาวะไอ้บัว แค่โดนขวดตีกบาลหน่อยเดียวเอง แค่นั้นไม่ถึงตายหรอกน่า”
หญิงสาวบ่นพึมพำ แว่วคำพูดของแม่พรพรรณที่สั่งสอนให้กระทำแต่ความดี กระซิบเตือนมาทำให้รู้สึกผิดอย่างบอกไม่ถูก
“เอาไงดี...กลับไปดู หรือจะรีบไปจากที่นี่” บุษกรไม่รู้จะตัดสินใจยังไงดี จะกลับไปยังห้องเดิม หรือจะปล่อยให้ชายขี้เมานอนตากแอร์เย็นจัดเหมือนกับอยู่ในห้องดับจิตและตายลงไปโดยไม่มีใครรู้ใครเห็น
“ถ้าอีตาขี้เมานั่นตาย ฉันก็เป็น...ไม่!” บุษกรยกมือแนบใบหน้าพลางส่ายศีรษะไปมาแรงๆ
“ฉันกลัวนายจะนอนขึ้นอืดตายกลายเป็นผีแล้วมาหลอกเอาต่างหากล่ะ” บุษกรอ้างถึงเหตุผลที่ต้องกลับไปช่วยชายขี้เมาที่แม้จะล่วงเกินเธอไปบ้าง แต่เธอก็ได้เอาคืนแล้วเช่นกัน
บุษกรก็กลับไปทางเดิม เธอจรดเท้าเดินเบา ๆ เข้าไปในห้อง ดึงรั้งเอาผ้าห่มนวมผืนใหญ่ออกจากเตียงไปคลุมกายชายขี้เมา
“ไม่ต้องคิดว่าเป็นบุญเป็นคุณกันเลยนะตาบ้า ฉันไม่ได้อยากจะช่วยนาย แต่ไม่อยากรู้ข่าวว่ามีคนพบศพขี้เมาลมหัวฝาดพื้นตายหรอกยะ” บุษกรพูดกับชายหนุ่มเบา ๆ ก่อนจะรีบวิ่งออกไปจากห้องด้วยความรู้สึกแปลกประหลาดที่มีอยู่ในหัวใจ
“ไม่! หยุดคิดเรื่องบ้า ๆ นั่นได้แล้วบัว”
แม้จะคิดแบบนั้น แต่เธอกลับยกมือขึ้นจับริมฝีปากอย่างเผลอไผล ใบหน้านวลก็เห่อร้อนขึ้นอย่างกะทันหัน ความร้อนผ่าวเหมือนเปลวไฟยังคงติดตรึงอยู่ในความรู้สึกจนต้องรีบสะบัดทิ้งอย่างรวดเร็ว
หญิงสาวตรงดิ่งไปยังประตูบ้านที่ใช้ตอนเข้ามา ถ้าพรุ่งนี้ไม่มีข่าวอะไร คืนต่อไปเธอคงจะต้องกลับมาดู อีตาขี้เมาจะยังมีชีวิตอยู่อีกไหม บุษกรเลยเลือกที่จะไม่ล็อกประตู เพียงแค่เธอเดินออกไปปะทะกับอากาศด้านนอก ความเย็นก็แตะต้องตามผิวเรือนกาย
“ว้าย!” หญิงสาวยกมือขึ้นจับอกตัวเอง
“อีตาบ้าน่า จะปล่อยให้นอนตายอยู่แบบนั้นเลย ชิ...ไอ้คนลามก” บุษกรด่าด้วยความเกรี้ยวกราด ร้อนผ่าวไปทั้งใบหน้าและลำคอ นี่ดีนะว่าเป็นคืนเดือนมืด เลยไม่มีใครเห็นสัดส่วนเรือนกายสาว แต่อีตาขี้เมาที่นอนสลบไม่ได้สติอยู่บนห้อง กลับได้จับต้องแล้ว โอย...คิดแล้วเซ็งและอายจริงโว้ย อยากกลับไปกระทืบอีตาบ้านั่นทิ้งอีกสักทีสองทีให้หายเจ็บใจ
“คอยดูนะ ถ้ามีเหตุให้เจอกันครั้งต่อไป ฉันจะเอาให้เจ็บ...จุก ลุกไม่ขึ้นเลยเชียว”
บุษกรฝากความแค้นเอาไว้ เธอเอาถุงสัมภาระสะพายหลัง พลางกลัดกระดุมอย่างรีบเร่งจนเรียบร้อย จากนั้นก็รีบวิ่งไปยังจุดที่ได้นัดหมายไว้กับเก่ง แต่กลับไม่เจอเด็กน้อยนั่งคอยอยู่ตามที่ตกลงกันไว้
“โอ้ย! ไอ้บ้าเก่ง นี่ถ้าตำรวจผ่านมาจริง พี่ไม่ถูกจับหรือไง ไอ้น้องขี้ขลาด”
บุษกรบ่นพึมพำ ขณะห้อยโหนตัวเองออกไปจากบ้านอย่างว่องไว ร่างเล็กลัดเลาะไปตามเส้นทางเล็กและแคบกลับไปบ้านซึ่งเป็นที่ซุกหัวนอน แต่ก็ไปไม่ทันจะดีก็ต้องหยุดชะงักตามเสียงเรียกที่ได้ยินด้วยหัวใจหวาดหวั่น กลัวคนที่เรียกจะรู้ว่าเธอหายไปทำอะไรมา หญิงสาวหันหลังกลับไปอย่างเชื่องช้า
“เรียกเสียเสียงดังเชียว มีอะไรกับบัวหรือจะน้าปูน” บุษกรถามพร้อมกับยิ้มแหย ๆ
“เอ็งหายหัวไปไหนมาวะนังบัว ข้าเรียกจนคอจะแตกแล้ว” หญิงวัยกลางคนร่างอวบอ้วน สองมือเท้าสะเอวเพราะเสียอารมณ์ ดวงตาเล็กหยีไม่สังเกตอะไรมากมายนัก นอกจากเรื่องที่จะบอกให้บุษกรรู้นั้นร้ายแรงจนกลัวหญิงสาวจะรับมันไม่ไหว
“บัวบอกน้าปูนไปแล้วนะ จะไปหาลู่ทางทำงานหาเงินเพิ่ม จะได้เอาไปซื้อยาให้กับแม่พรพรรณไง น้าจำไม่ได้หรือไง” บุษกรบอกอย่างกังวลระคนกลัวว่าจำปูนจะสงสัย เธอไปทำอะไรมา ก่อนจะผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก เมื่อหญิงวัยกลางคนไม่มีทีท่าดังกล่าว
“ว่าแต่น้าเถอะ มีอะไรกับบัวละจ้ะ” หญิงสาวถามอย่างหวั่นใจอย่างบอกไม่ถูก ด้วยเธอฝากให้หญิงคนนี้ช่วยดูแลแม่พรพรรณตอนที่ไปหาเงิน
“จะบอกให้รีบไปดูแม่พรพรรณของเองนะสินังบัว ไอจนเลือดออก แล้วยังจะเป็นลมอีก ข้าเลยบอกให้คนอื่น ๆ ช่วยกันห้ามส่งโรงพยาบาล เห็นหมอบอกว่าอาการไม่ดีสักเท่าไหร่” จำปูนบอกเสียงเบา
“แม่!” บุษกรฟังคำพูดนางจำปูนอย่างหวาดหวั่นใจ ใบหน้านวลซีดเผือด เย็นวาบตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า แม่พรพรรณเป็นโรคร้ายแรงอยู่แล้ว บวกกับอากาศที่เดี๋ยวก็ร้อนเดี๋ยวก็เย็น กลางวันก็ต้องทำงานหนักไม่ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ ทำให้อาการป่วยที่เรื้อรังมานานทรุดลงอย่างรวดเร็ว
“เฮ้ย! เดี๋ยวสินังบัว รอก่อน จะรีบไปไหนนักหนาวะนังนี่” นางจำปูนร้องเรียกบุษกรที่หลังวิ่งจนตัวปลิวไปที่โรงพยาบาลประจำอำเภอที่อยู่ไกลจากบ้านนับเป็นสิบกิโล
“แกจะวิ่งไปแบบนั้นจนถึงโรงพยาบาลเลยหรือไงกันนังบัว”
บุษกรภาวนาขอให้สิ่งของที่ได้มาแปลเปลี่ยนเป็นเงินยื้อยุดฉุดรั้งเอาลมหายใจของแม่ที่เลี้ยงดูให้ความรักความอบอุ่นให้อยู่ด้วยนานที่สุด น้ำตาเธอไหลอาบแก้ม ขณะวิ่งไปจนขาเริ่มล้าและหมดแรง
“เป็นไง เหนื่อยแล้วใช่ไหมนังบัว หน็อยตอนที่ข้าเรียกทำเป็นไม่ได้ยิน” นางจำปูนต่อว่าอย่างหมั่นไส้ระคนเป็นห่วง “เอ้า...ขึ้นมาสิ จะไปส่ง นี่เพราะสงสารเด็กไม่มีพ่อ หน้าตาดำคล้ำอย่างเอ็งหรอกนะ ถึงได้พาเอาหน้าสวย ๆ ของข้าฝ่าลมเย็น ๆ ไปส่ง”
“ขอบคุณจ๊ะน้าปูน” บุษกรยกมือขึ้นไหว้จำปูนอย่างซาบซึ้งใจ ถึงหญิงวัยกลางคนจะปากร้าย พูดจาแขวะกัดได้ทุกเรื่อง แต่เนื้อแท้กลับเป็นคนเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และโอบอ้อมอารีแก่ทุกคน
หญิงสาวยกมือขึ้นปาดน้ำตาบนใบหน้า เธอกลั้นสะอื้นเอาไว้อย่างสุดความสามารถ ถ้าแม่เห็นสภาพแบบนี้ของเธอเข้า ท่านคงจะไม่สบายใจ อาจทำให้อาการที่ทรงตัวอยู่ทรุดลงไป เพราะเป็นห่วงเป็นใยลูกสาวที่แม้จะไม่ใช่สายเลือดเดียวกัน แต่ก็ให้การอบรมเลี้ยงดูมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก