ตอนที่ 1 สาวมั่น
ในที่สุดฉันก็เรียนจบเสียที สี่ปีที่แสนเหน็ดเหนื่อยและต้องอยู่ในกฎระเบียบได้สิ้นสุดลงเสียที
“แต่งตัวแรดขนาดนั้นจะไปไหนมิทราบ” น้ำเสียงดุดันเป็นเชิงตำหนิของคุณยายถามขึ้นมาขณะที่ฉันเดินผ่านห้องนั่งเล่น
“แหม พูดเสียหลานเสียเลยนะคะ ชุดนี้ออกจะสวย” ฉันพูดพลางหมุนตัวไปรอบๆ อวดให้คุณยายดูชุดเดรสรัดรูปสีดำกระโปรงสั้นเลยเข่าแหวกข้างสะโพกถึงโคนขาสวยเนียนด้วยความมั่นใจ
“ไปเปลี่ยนชุดเลยนะ น่าเกลียด”
“โธ่คุณยายขาสมัยนี้ใครๆ เขาก็แต่งตัวแบบนี้ทั้งนั้น อย่าบ่นนักเลยค่ะ เดี๋ยวโบท็อกซ์เคลื่อนนะคะ” ฉันหอมแก้มคุณยายแล้วรีบเดินออกไป
“อย่ากลับดึกนักล่ะ” คุณยายที่ปากร้ายใจดีตะโกนตามหลังมา
คนขับรถของบ้านเห็นว่าฉันลงมาแล้วก็รีบเดินไปเปิดประตูรถให้ตรงที่นั่งด้านหลังอย่างรู้งาน
“คุณวาจะไปไหนน๊า วันนี้แต่งตัวซะสวยเชียว” เขาถามด้วยสายตาที่ชื่นชมมากกว่าจะโลมเลีย
“ไปเที่ยวผัวฉลองเรียนจบค่ะ พี่คิดรีบไปเถอะเดี๋ยวสาย” ฉันบอกเขาด้วยน้ำเสียงที่สดใส แล้วหยิบตลับแป้งขึ้นมาสำรวจดูความเรียบร้อยบนใบหน้าที่สวยงามราวกับนางฟ้าของฉัน
“คุณวา คริสซี่ค่ะ คริสซี่” พี่สมคิดหรือคริสซี่พูดตัดพ้อขณะขึ้นมานั่งในรถประจำตำแหน่งคนขับ
“ค่ะพี่คริสซี่ ไปที่ผับซอย69นะคะเพื่อนวามารอแล้ว” ฉันเร่งให้เขาขับรถออกไปด้วยการเรียกชื่อที่เขาตั้งขึ้นมาเองเวลาเราอยู่ด้วยกันสองคน ทำให้พี่คิดดูจะชอบใจแล้วรีบขับรถไปยังจุดหมายข้างหน้า
เมื่อไปถึงฉันก็ให้เขากลับไปก่อน เพราะไม่อยากให้มีคนรอมันรู้สึกกดดันและเที่ยวไม่สนุก
“ให้พี่มารับกี่โมงคะ”
“เดี๋ยววาจะเรียกแท็กซี่กลับเองค่ะ พี่คริสซี่กลับไปก่อนเลย” ฉันบอกแล้วรีบเดินเข้าไปไม่ทันได้ฟังพี่สมคิดถามหรือบ่นอะไรอีก
คนในบ้านตั้งแต่คุณยายลงมาจนถึงรับรับใช้ ทุกคนรักและเอ็นดูฉันและชอบมองฉันเป็นเด็กอยู่เรื่อยเลย และฉันถูกสอนให้เคารพผู้ใหญ่จึงไม่ได้ถือตัว ทุกคนในบ้านจึงสามารถว่ากล่าวตักเตือนฉันได้เสมอ โดยเฉพาะพี่สมคิดที่บ่นเก่งที่สุดเรื่องให้ระวังตัวกับเพศตรงข้าม
ฉันเดินเข้าไปยังโต๊ะที่เต็มไปด้วยกลุ่มเพื่อนสนิท เราดื่มกินกันอย่างสนุกสนาน ฉันถือแก้วเหล้าเต้นโยกไปมาอย่างมีความสุข การเรียนจบและฝึกงานเสร็จ ผ่านสองสิ่งนี้ไปเป็นอะไรที่รู้สึกโล่งสบายและตัวเบาขึ้นมาก
“ฉันขอตัวก่อนนะเพื่อน” เพื่อนในกลุ่มคนหนึ่งขอยกแก้วชนเพื่อขอตัวกลับไปก่อน
“จะกลับบ้านแล้วเหรอ อ่อนวะหนิง” เพื่อนอีกคนพูดแซวขึ้น
“ฉันได้ผู้ต่างหากล่ะ” หนิงบอกแล้วเดินไปกับผู้ชายคนหนึ่งที่ดูสนิทสนมกัน เขาโอบเอวเธอเดินไปด้วยท่าทางที่ดูอยากสนิทขึ้นไปอีก
“แล้วหนิงมันจะไปกับเขาทำไมนั่น ไปเรียกกลับมาเร็วอันตรายนะไปกับคนแปลกหน้า” ฉันรีบบอกเพื่อนให้ไปเรียกเธอกลับมา
“โอ๊ย คุณหนูวา นี่หล่อนไม่รู้จัก ‘สุขคืนเดียว’ เหรอจ๊ะ”
“อะไร สุขคืนเดียว” ฉันถามอย่างงุนงง เริ่มรู้สึกว่าตัวเองเมามากในระดับหนึ่ง
“ก็วันไนท์สแตนด์ไง รู้จักรึเปล่า อย่างแกน่าจะไม่เคยทำล่ะสิ”
“พวกเราลองมาหมดแล้วนะ เหมาะกับสาวโสดไม่ชอบผูกพันธะอย่างพวกเรา”
เพื่อนๆ พูดท้าทายดูถูกฉันเป็นการใหญ่ ฉันรู้ว่าวันไนท์สแตนด์คืออะไร แต่บ้านฉันสอนเรื่องนี้มาว่าอย่ายอมพลีกายให้ใครง่ายๆ ท้ามาเถอะยังไงฉันก็ไม่หลวมตัวทำแน่
“คุณหนูวาสิตาเหรอจะกล้า”
“นั่นสินะ ไม่กล้าหรอก” เพื่อนๆ ยังคงพูดท้าทายฉันไม่หยุด
“เออ วันนี้แหละจะทำให้ดู” หึหึ เหล้าที่ดื่มบวกกับความกลัวเสียหน้าทำให้ฉันพลาดท่าจนได้
ฉันกวาดสายตามองหาผู้ชายที่โดนใจ แต่ว่าก็ไม่มีใครเข้าท่าเลยสักคน บางคนที่ดูดีก็เหมือนจะมีคนจองแล้วด้วย
“ฉันไปห้องน้ำนะเดี๋ยวมา” ฉันบอกเพื่อนๆ เสียงอ้อแอ้ เดินเซนิดๆ ไปทำธุระที่ห้องน้ำหญิง
อยู่ๆ เหล้าที่ดื่มก็ตีขึ้นมาจนถึงคอ จากคิดแค่ว่ามาฉี่เลยเถิดไปจนถึงอาเจียน แล้วพออ้วกออกเท่านั้นแหละรู้ตัวเลยว่า
เออ! ฉันเมาแล้ว เมามากด้วย
ฉันเดินออกมาที่หน้ากระจกที่อ่างล้างมือ เช็ดหน้าเช็ดตาแล้วหยิบแป้งมาเติมหน้า ถึงเมาแค่ไหนก็ต้องสวยเอาไว้ก่อน แล้วสำรวจดูความเรียบร้อยของตนเองก่อนจะออกไปจากห้องน้ำ
โครม!
“โอ๊ย” ฉันร้องเสียงหลงเมื่อชนกับร่างสูงใหญ่จนเซไป แต่โชคดีที่ถูกใครสักคนรับเอาไว้ก่อน
ฉากที่ล้มหงายหลังไปที่อ้อมแขนเขา แล้วเราสบตากันอย่างกับฉากในละคร ผู้ชายตรงหน้าดูหล่อและคมเข้มมีไฝใต้ตาดูแล้วกร้าวใจเป็นอย่างมาก
“เป็นอะไรหรือเปล่าครับคนสวย” เขาถามด้วยน้ำเสียงที่กรุ้มกริ่ม สายตาที่มองมาที่เนินอกนั้นดูจะพอใจเป็นอย่างมาก แทนที่จะรู้สึกอึดอัดฉันกลับรู้สึกว่าตัวเองมีเสน่ห์น่าหลงใหล
“ผมขอโทษนะครับที่ชนคุณ” ชายหนุ่มอีกคนที่หน้าตาดีไม่แพ้กันพูดขึ้นมา แล้วมองที่เรียวขาของฉันด้วยสายตาที่ชื่นชม
ฉันมองทั้งสองคนสลับกันไปมา แหม! ช่างถูกใจอีช้อยยิ่งนัก นี่แหละเป้าหมายที่ฉันตามหา
“ฉันกำลังหาคู่วันไนท์สแตนด์ มีใครสนใจไปกับฉันไหมคะ” เอาแล้วไงความเมาเป็นเหตุทำให้ฉันพูดอะไรออกไปเนี่ย
“คุณเมามากแล้วนะครับ ให้พวกผมไปส่งดีกว่า” ชายที่มีเสน่ห์พูดขึ้นมาแสดงความเป็นสุภาพบุรุษ
“ไม่เอา ฉันอยากวันไนท์สแตนด์คืนนี้กับพวกคุณทั้งคู่เลย” ฉันโวยวายออกมาอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้
“โอเค งั้นไปคุยกันบนรถเถอะครับ” คนที่เดินชนฉันบอกแล้วช่วยกันพยุงฉันกลับไปที่รถของพวกเขาที่น่าจะมาด้วยกัน
พอถึงรถพวกเขาก็เหมือนจะคุยปรึกษากันเรื่องของฉัน แล้วหันมาถามฉันเพื่อความแน่ใจ
“แน่ใจนะครับว่าคุณต้องการแบบนี้ แล้วจะไม่เสียใจทีหลัง”
“มั่นใจล้านเปอร์เซ็นต์ ฉันชื่อวาสิตา วาสิตาแปลว่าอิสระ อิสระแปลว่าฉันจะวันไนท์สแตนด์สองคนพร้อมกันก็ได้” ฉันพูดอะไรออกไปไม่รู้
สติรับรู้ทุกอย่างแต่ห้ามปากไม่ได้เลย อย่างนี้ใช่ไหมเขาถึงบอกว่าเหล้าทำให้คนขาดสติ
“แล้วอย่าเสียใจภายหลังก็แล้วกัน”
“ไม่มีวันอยู่แล้ว” ฉันตอบกลับอย่างมั่นใจ
************************