เรื่องการเปลี่ยนงานอย่างกะทันหัน รวมถึงลักษณะงานที่เปลี่ยนไปไม่ได้ทำให้มารดาของรสรินทร์อารมณ์เสีย เนื่องจากนางเพิ่งได้รับข่าวดีว่าเจ้าหนี้รายใหญ่เลื่อนการชำระหนี้ให้ นอกจากนั้นยังละเว้นดอกเบี้ยเป็นการชั่วคราวหรือจนกว่าคุณปราชญ์จะจัดการโปรเจกต์ในไทยเรียบร้อย
“แล้วนี่ยังไง ต้องเดินทางบ่อยแบบนี้มันจะปลอดภัยหรือเปล่า เบิกค่าเดินทางได้ใช่ไหม”
“ที่บริษัทจัดการให้เลยค่ะคุณแม่ รินทร์ไม่ต้องสำรองจ่ายเลยสักบาท” รสรินทร์ทำตามที่เขาแนะนำ บอกมารดาว่าเจ้านายของเธอเป็นผู้หญิงและไม่สะดวกเดินทางคนเดียว หลังจากเอ่ยชื่อบริษัท มัทนาก็พยักหน้าอย่างเข้าใจ เพราะจำได้จากชื่อว่าเจ้านายคนใหม่ของลูกสาวเดินทางค่อนข้างบ่อยเพราะต้องเจรจาเรื่องธุรกิจทั่วประเทศ
“รินทร์อาจไม่ค่อยได้กลับบ้านนะคะ ส่วนวันหยุดก็ต้องแล้วแต่คุณแอนกำหนดเลยค่ะ ตารางเอาแน่เอานอนไม่ได้” รสรินทร์จำต้องโกหกอย่างหน้าด้าน เพื่อให้ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี เพื่อไม่ให้มารดาต้องกังวลเรื่องหาเงินมาใช้หนี้ในช่วงที่ยังไม่พร้อม
“งั้นก็ไม่แปลกหรอกที่เขาให้เงินเป็นแสน แต่แม่ก็ยังไม่ไว้ใจอยู่ดี ตัวรินทร์เองก็ไม่ได้มีประสบการณ์มากมาย นักธุรกิจชื่อดังอย่างคุณแอนจะมาเลือกรินทร์ได้ยังไง”
“ก็… ก็เพราะว่าพี่เอื้อฝากให้ยังไงล่ะคะคุณแม่”
“มิน่าล่ะ เขาถึงได้ยอมรับเด็กประสบการณ์น้อย ยังไงรินทร์ก็ตั้งใจทำงานให้ดีนะ อย่าให้เขาดูถูกเราได้ว่าเกรดดีแต่ทำงานออกมาไม่ได้เรื่อง แล้วถ้าพรุ่งนี้ถึงภูเก็ตก็อย่าลืมบอกด้วยล่ะ ส่งข้อความมาก็ได้ จะได้ไม่รบกวนเวลาทำงาน” มัทนากำชับอีกหลายคำว่าอย่าทำให้ครอบครัวขายหน้า เรียกได้ว่าขู่กลายๆ ก็ว่าได้
“ค่ะ งั้นรินทร์ขอตัวไปพักผ่อนก่อนนะคะ”
เธอยิ้มให้กับมารดาก่อนขอตัวกลับไปพักผ่อนที่ห้อง สุดท้ายกลับไม่ได้พักจริงๆ แต่ลงมือเก็บข้าวของเครื่องใช้และเสื้อผ้า เตรียมตัวทำตามคำสั่งที่เขาอยากให้เธอทำ
รอยยิ้มที่ประดับอยู่บนใบหน้าของรสรินทร์หายไปเมื่ออยู่ตามลำพังในห้องนอน ความรู้สึกหลากหลายโจมตี ทำให้เธอไม่แน่ใจว่าควรรู้สึกอย่างไร
ควรโล่งใจที่หาทางช่วยครอบครัวได้สำเร็จหรือว่าเสียใจที่วิธีการน่ารังเกียจเกินกว่าใจจะรับไหว ควรดีใจที่เขาไม่บังคับขืนใจเธอ ทั้งยังปรนเปรอจนแทบสำลักความสุข หรือว่าควรละอายที่พึงพอใจกับรสสัมผัสของเขาดี
รสรินทร์ไม่แน่ใจว่าควรรู้สึกอย่างไร และสุดท้ายก็ร้องไห้ออกมาเบาๆ พร้อมกับปลอบตัวเองด้วยว่าความรู้สึกบ้าๆ นี้จะหมดไปเมื่อทุกอย่างจบสิ้นลง ได้แต่หวังว่าภายในเร็ววันนี้ ผู้ให้กำเนิดจะหาทางชดใช้หนี้สินให้กับเจ้าหนี้รายใหญ่อย่างปราชญ์ได้
เธอหวังเพียงเท่านั้นจริงๆ
สนามบินนานาชาติจังหวัดภูเก็ต
สาวสวยมองกระเป๋าใบไม่ใหญ่นักที่กำลังถูกยกออกจากสายพานโดยเจ้าหน้าที่ของสนามบิน ตลอดการเดินทางหนึ่งชั่วโมงเศษ เขานอนหลับสนิท อ้าปากน้อยๆ เพราะความเหนื่อยล้า ไม่ดื่มหรือกินอะไรเลยสักคำ
รสรินทร์รู้ว่าเขาเหนื่อย รอยคล้ำรอบดวงตาบอกชัดว่าไม่น่าจะได้นอน ทีแรกก็เดาไม่ออกว่าเพราะอะไร แต่พอได้ยินบทสนทนาที่เดาได้ว่าเป็นบิดาของเขา เธอก็เข้าใจได้ในทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น
‘เร่งรัดตอนนี้ก็ไม่ได้อะไรหรอกครับคุณพ่อ ทางนั้นเขาไม่มีจ่ายอยู่แล้ว ฟ้องร้องก็ได้ไม่คุ้มเสียอยู่ดี… ครับ ผมเว้นดอกเบี้ยให้ชั่วคราว แจ้งไปแล้วด้วยว่าถ้าภายในสิบเดือนหาเงินมาให้ไม่ได้… ครับ ผมเข้าใจแล้ว แต่คุณพ่อต้องไว้ใจผมบ้าง ไม่ใช่ โทร. ตามทั้งวันทั้งคืนแบบนี้’
เขามีปัญหาก็เพราะครอบครัวของเธอ...
“คุณโอเคไหม ท่าทางดูเครียดๆ” เขาถามขณะเดินออกจากสนามบินตรงไปยังรถหรูที่เช่าไว้ สีหน้าสดชื่นขึ้นมากเพราะงีบหลับได้เกือบชั่วโมง
“ไม่มีอะไรค่ะ คือรินทร์แค่รู้สึกแย่ที่คุณมีปัญหากับที่บ้านก็เพราะรินทร์”
“เรื่องปกติ คุณพ่อกับผมมีหลายเรื่องที่ความเห็นไม่ตรงกัน คุณไม่ต้องสนใจหรอก ทำหน้าที่ของตัวเองก็พอ แล้วก็อย่าทำหน้าเครียดนะ แก่ก่อนวัยจะหาว่าผมไม่เตือน” เขาบ่นเธอว่าอายุแค่ยี่สิบสามปี แต่ทำไมชอบหน้าเครียดเหมือนผู้หญิงวัยกลางคน คำเปรียบเทียบนั้นทำให้รสรินทร์อดยิ้มออกมาไม่ได้
“ค่ะ คุณปราชญ์”
“ยิ้มหวานแบบนี้ค่อยน่ารักหน่อย รินทร์ เวลาผมทำงานจะค่อนข้างซีเรียส คุณไม่ต้องตกใจไปนะ เอาไว้เราอยู่ด้วยกันสองคน ผมจะน่ารักกับคุณเหมือนเดิม แล้วถ้าผมอารมณ์เสีย คุณยิ้มมากๆ ก็พอ ผมชอบมองคุณยิ้ม เห็นแล้วสบายใจดี” ปราชญ์ใช้เวลาส่วนมากที่สิงคโปร์ ทำธุรกิจกับผู้คนมากหน้าหลายตาตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ จึงมีบุคลิกค่อนข้างมั่นใจและไม่สนคนที่ไม่ให้ผลประโยชน์ต่อบริษัท
สำหรับปราชญ์เรื่องงานสำคัญที่สุดแล้ว
ชายหนุ่มไม่ได้แวะเข้าที่พัก ทว่าตรงไปยังโรงแรมที่เขาต้องจัดการธุระให้เรียบร้อย รสรินทร์เองก็เตรียมพร้อมที่จะทำงาน และเมื่อเห็นสีหน้าตื่นตระหนกของผู้จัดการโรงแรมก็อดสงสารไม่ได้
“สวัสดีครับคุณปราชญ์”
“คุณพงษ์ ผมก็อยากจะสวัสดีคุณตอบนะ ถ้างานที่สั่งเอาไว้มันคืบหน้ากว่านี้สักหน่อย นี่ถ้าผมไม่มาเอง ทุกอย่างมันจะออกมาอย่างที่ผมต้องการทันเวลาหรือเปล่า!”
ปราชญ์กระแทกแฟ้มเอกสารลงบนโต๊ะประชุมอย่างแรง เขานั่งรอนานเกือบครึ่งชั่วโมง ผู้จัดการที่ควรจะอยู่ในโรงแรมถึงได้ปรากฏอยู่ตัวตรงหน้า ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเอาเวลางานไปทำธุระส่วนตัว
“โธ่ ทันสิครับคุณปราชญ์ นี่ยังเหลือเวลาอีกตั้งสัปดาห์นะครับ”
“หึ! ทำงานทัน แต่จะออกมาดีหรือเปล่าก็ไม่รู้ แล้วผมขอบอกไว้ตรงนี้เลยนะว่าห้ามมีอะไรผิดพลาด พวกคุณก็รู้ว่าผมไม่ชอบคำว่าพลาด ในเมื่อเหลือเวลาอีกเจ็ดวันก็ตามนั้น แต่อย่าให้รู้นะว่ามีการเบิกค่าแรงเกินความจำเป็นเพราะต้องเร่งงานทีหลัง”
“ไม่มีแน่นอนครับคุณปราชญ์ ตอนนี้เหลือแค่เก็บรายละเอียด โรงแรมก็พร้อมที่จะเปิดให้บริการแล้วครับ” ผู้จัดการกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไม่มั่นใจ และพอถูกไล่ไปให้พ้นหน้าก็รีบเดินออกจากห้องประชุมทันที
“น่ารำคาญที่สุด ผมเกลียดจริงๆ พวกที่ชอบผิดนัด คุณรู้ไหมรินทร์ คนไทยเราขึ้นชื่อเรื่องนี้ที่สุดเลยนะ อาศัยว่ารู้จักกัน ขอให้ช่วยกันบ้าง อะลุ่มอล่วยบ้าง คนเราถ้ารักษาคำพูดไม่ได้ตั้งแต่แรก แล้วจะทำสัญญากันทำไม อยากถูกปรับค่าเสียหายเล่นอย่างงั้นเหรอ” ปราชญ์บ่นพึมพำอีกมากมาย โดยไม่ลืมย้ำว่านี่คือสาเหตุสำคัญที่เขาชอบคุยงานกับชาวต่างชาติมากกว่า ทั้งยังเปรียบเทียบด้วยว่าการถูกบิดาส่งมาทำงานที่ไทย เพื่อขยับขยายกิจการเพิ่มเติมนั้นไม่ต่างจากการถูกทำโทษ
เขาบ่นไปเรื่อยๆ ตลอดการเดินทางไปยังที่รีสอร์ตหรูที่เลขานุการจองเอาไว้ ลืมไปเลยว่าครอบครัวของรสรินทร์ก็เป็นหนึ่งในพวกที่ไม่ทำตามคำพูด แต่กว่าจะนึกได้ก็พ่นประโยคไม่น่าฟังออกไปเยอะแล้ว
“รินทร์ คือผมไม่ได้ตั้งใจ”
“ไม่เป็นไรค่ะ คุณพ่อคุณแม่ของรินทร์ก็เป็นอย่างที่คุณว่าจริงๆ” รสรินทร์ยิ้มเฝื่อนก่อนเอ่ยขอบคุณพนักงานที่ตรงเข้ามาอำนวยความสะดวกและดูแลเรื่องกระเป๋า เธอพอทราบแล้วว่าปราชญ์ชอบทำอะไรเรียบง่าย ไม่จุกจิกกับเรื่องเล็กน้อย เว้นเสียแต่ว่าจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับงาน
เธอรับเครื่องดื่มสีสวยและผ้าเย็นระหว่างรอเช็กอิน เขาเองก็เช่นกัน ใช้เวลาไม่นานทุกอย่างก็เรียบร้อย ทว่ามีเรื่องหนึ่งที่เธอไม่เข้าใจ รีสอร์ตที่เขาเลือกพักหรูหราอย่างมาก ค่าห้องแค่สองคืนก็เท่ากับเงินเดือนใหม่ที่เธอได้รับแล้ว
“ทำไมคุณปราชญ์ถึงเลือกพักที่นี่ล่ะคะ” เธอกับเขาพักห้องเดียวกัน แน่นอนว่าต้องเป็นเตียงเดียวกัน
“เพราะมันเป็นครั้งแรกของคุณ…” ปราชญ์กระซิบริมใบหูเล็ก สอดแขนกอดสาวสวยจากด้านหลัง รั้งตัวเธอมากอดไว้แน่น และกดจูบลงบนแก้มนิ่มเบาๆ
“คุณไม่จำเป็นต้องดีกับรินทร์ขนาดนี้ รินทร์ก็แค่แฟนชั่วคราว ไม่ได้มีความสำคัญอะไร”
“แต่ผมอยากให้คุณมีความสุขเวลาที่อยู่กับผม ไม่ว่าคุณจะเป็นแฟนชั่วคราวหรือตัวจริง ตอนนี้คุณอยู่กับผม และจากนี้ไปจนถึงสัปดาห์หน้า เราสองคนจะอยู่บนเตียงเดียวกัน มีความสุขด้วยกัน”
“แต่คุณบอกว่าจะอยู่ที่ภูเก็ตแค่สามวันไม่ใช่เหรอคะ”
“ทีแรกก็ตั้งใจไว้แบบนั้น แต่เมื่อวานพอคุณกลับไปแล้ว ผมถึงรู้ตัวว่าสามวันคงไม่พอ รินทร์ คุณสวยน่ากินมาก แค่เห็นหน้าผมก็อยากชิมคุณแบบเมื่อวานแล้ว”
“คุณปราชญ์ เราเพิ่งมาถึง ใจคอคุณจะไม่พักผ่อนหน่อยเหรอคะ”
“คุณเหนื่อย?”
“ค่ะ เมื่อคืนรินทร์ตื่นเต้น นอนไม่ค่อยหลับ”
“งั้นคุณพักผ่อนก่อนนะ อยากกินอะไรก็สั่งได้ตามสบาย ผมจะออกไปทำธุระนิดหน่อย แล้วเราค่อยไปดินเนอร์ด้วยกัน” เขาหอมแก้มเธอเบาๆ อีกครั้ง ก่อนผละตัวออกห่างอย่างอ้อยอิ่ง สายตาบอกชัดว่าอยากจะกลืนกินเธอเข้าไปทั้งตัว
ไม่สิ… เขาอยากเข้าไปในตัวเธอ ทว่าความปลอดภัยต้องมาก่อน
ปราชญ์ปฏิเสธเมื่อผู้ช่วยคนสวยเสนอตัวว่าจะไปทำธุระให้ เขากำชับว่าให้เธอนอนพัก เพราะคืนนี้ยังอีกยาวไกลและเขาจะไม่ทำแค่หยอกเย้าภายนอกแน่ๆ
ชายหนุ่มบอกตัวเองว่าไม่ได้หมกมุ่นตอนที่เลือกชุดชั้นในสีหวานและบิกินีตัวเล็ก รีสอร์ตอยู่ไม่ห่างจากชายหาดก็จริง แต่ร่องรอยแห่งความปรารถนาที่เขาฝากเอาไว้เมื่อวาน รวมทั้งที่กำลังจะทำเพิ่มในคืนนี้ คงทำให้รสรินทร์ต้องสวมเสื้อผ้ามิดชิดไปอีกหลายวัน เรื่องจะสวมชุดเผยผิวกายไปเดินเล่นรับลมทะเลนั้นลืมไปได้เลย
หลังจากเลือกซื้อของส่วนตัวเกือบชั่วโมง เขาก็ตรงไปยังร้านขายยาเพื่อถามหาอุปกรณ์ป้องกันกล่องใหญ่บรรจุสิบสองชิ้นจำนวนสองกล่อง ทำเอาพนักงานถึงกับลอบยิ้มออกมาหน่อยๆ และพอเขาบอกไปว่ามาฮันนีมูน เธอจึงแนะนำเจลหล่อลื่นมาด้วยอีกอย่าง ไม่แน่ใจว่าเพราะเห็นไซซ์ถุงยางหรือว่าเป็นเหตุผลอื่น
“น่าจะพออยู่นะ”
ชายหนุ่มกระซิบพร้อมกับคำนวณในใจอย่างคร่าวๆ แต่สุดท้ายก็รีบเดินดุ่มกลับเข้าไปในร้านขายยา ขอซื้อถุงยางอนามัยอีกกล่องเพื่อป้องกันความผิดพลาด
ในกรณีนี้เหลือย่อมดีกว่าขาดอยู่แล้ว