ห้องพักที่เคยทำให้สงบสุขและสุขสบายของเขากลายเป็นพื้นที่ที่เจ้าของห้องไม่อยากกลับมามากที่สุด
ไม่ใช่ว่ามันวุ่นวายเสียงดังต่างจากในอดีต แต่มันเหมือนกับมีต้นไม้ที่แห้งเหี่ยวและไร้สีสันประดับอยู่ในสายตา พอก้าวเข้ามาแทนที่จะอารมณ์ดีแต่กลับหม่นหมองจนน่าเศร้า
“กลับมาแล้วหรอคะ” เสียงหวานทักทายเจ้าของห้องขึ้นด้วยรอยยิ้มที่คิดว่าหวานที่สุด
“.....” แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาก็ไม่พ้นใบหน้าเบื่อหน่ายไร้อารมณ์ของเขา
“เมทำต้มจืดกับไก่ทอดไว้ พี่พรูฟจะกินเลยไหมคะ” เมษายังคงยิ้มสู้ ถามเขาขึ้นด้วยเสียงใสกังวาน
“ฉันบอกแล้วว่าเวลาฉันกลับมาเธอควรจะรีบเข้าห้องตัวเอง” เป็นกฎที่เขาตั้งขึ้นหลังจากปฏิเสธความต้องการของแม่ไม่ได้
แต่ไม่ใช่แค่ปฏิเสธความต้องการของแม่ไม่ได้อย่างเดียว เขายังเองชนะผู้หญิงจืดๆ เฉิ่มๆ ที่ดูว่าง่ายคนนี้ไม่ได้ด้วย
“ฉันจะหาคอนโดดีๆ ให้เธออยู่ หรือถ้าเธออยากอยู่ที่ไหนก็เลือกมาเลย ฉันจ่ายค่าเช่าให้”
“เมอยากอยู่ที่นี่ค่ะ”
“เจ้าของห้องเขาไม่ต้อนรับไง” ทำไมไม่เข้าใจอีก
“แต่คุณป้าอนุญาตเมแล้ว แล้วเมก็ไม่อยากขัดคำสั่งของคุณป้า” ใบหน้าไร้เดียงสาดูหวาดกลัวแต่ปากกลับเถียงเขาไม่หยุด
“ก็อย่าบอกแม่ไง ปิดปาก เก็บเงียบ แล้วเธออยากได้อะไรฉันจะซื้อให้” นี่ทุ่มสุดตัวโดยใช่เหตุหรือธุระของเขาเลยสักนิด แต่เพื่ออิสระภาพเขายอม
“ไม่เป็นไรค่ะ เมไม่ได้อยากได้อะไรจากพี่พรูฟนอกจากที่อาศัย”
เขาได้แต่พรูลมหายใจออกมาลูบหน้าแรงๆ อย่างหงุดหงิดเหมือนอยากลุกไปชกหน้าผู้หญิงที่คุยกันไม่รู้เรื่องตรงหน้า
ทั้งที่เขาไม่ต้อนรับ ทั้งที่เขาออกปากไล่ตรงๆ ก็แล้ว พูดด้วยเหตุผลก็แล้ว แต่สุดท้ายก็ไม่เป็นผล เธอยังคงโต้แย้งกลับมาตาใสแต่ดูรั้นยิ่งกว่าอะไร
นั่นเลยเป็นที่มาของกฎที่เขาตั้งขึ้น
“ถ้าจะอยู่ที่นี่ห้ามมีปากมีเสียง ฉันกลับมาก็รีบเข้าห้องนอนของเธอไป ไม่จำเป็นห้ามพูดห้ามคุยกับฉัน แล้วที่สำคัญก็ห้ามเอาเรื่องอะไรไปฟ้องแม่ฉันเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นฉันโยนเธอออกจากที่นี่แน่!”
“เธอจะทำให้ฉันหัวใจวายให้ได้เลยหรอวะ!” ไม่เกินจริงเลยนะที่เธอโผล่มาด้วยสภาพนี้แล้วจะทำให้เขาช็อกได้ง่ายๆ
ถ้าวันไหนสติเบลอๆ หรือลืมไปว่ามีเธอร่วมห้อง ออกมาสุ่มสี่สุ่มห้า ถ้าไม่เขาตกใจช็อกก คงเป็นเธอที่เขาตกใจจนพลั้งเผลอเข้าสักวัน
“ถ้าไม่อยากเจ็บตัวอย่าเอาตัวเองมาใกล้ฉัน ฉันหลอนขึ้นมายั้งไม้ยั้งมือไม่อยู่โทษฉันไม่ได้หรอกนะ” เตือนขึ้นอีกครั้งอย่างไม่สบอารมณ์กับใบหน้าที่ไม่น่ามองนั่น
“ทำไมต้องพูดจาไม่ดีกับเมตลอดเลยคะ”
“ยังกล้าถาม!?” ตกใจมากนะที่เธอไม่รู้ตัวและไม่เข้าใจจนถามคำถามนี้ออกมาได้ ท้อใจขึ้นมาเลย “ฉันนึกภาพตอนเด็กของเธอแทบไม่ออกเลย ถูกกลบมิด”
มองสำรวจคนตรงหน้าก่อนจะส่ายหัวพูดออกมาอย่างไม่อยากเชื่อ
เมษา หลังต้องอยู่กับเธอจริงๆ เขานั่งนึกย้อนกลับไปแล้วก็จำได้ว่าเคยเป็นเด็กสาวที่เขาสนิทที่สุด หวงที่สุด แม้ว่าเธอจะอ่อนกว่าเขาแค่ปีเดียวแต่ตอนนั้นเขาทำเหมือนพี่ใหญ่ที่คอยปกป้องดูแลเธอที่ตัวเล็กน่ารัก
ใช่เธอน่ารักมาก แก้มกลมนุ่มแดงระเรื่อ ผิวขาวอมชมพู ตัวเรียวบาง ผมยาวตรง
แต่ตอนนี้ไม่รู้เธอไปทำอะไรมา ผิวคล้ำที่ไม่ใช่สีแทน ไม่เรียบเนียน ดูหม่นหมองปากก็ซีดไร้สี ผมแห้งฟู รูปร่างไร้สัดส่วนตรงเป็นไม้บรรทัด
ไม่มีเสน่ห์ของคำว่าผู้หญิงในสายตาของเขาเลย ไม่มีอะไรให้น่ามองหรือน่าชื่นชมเลย ถ้าหากว่าเธอยังน่ารักและน่ามองเหมือนในอดีตเขาคงไม่มีปัญหาที่จะให้เธออาศัยอยู่ที่นี่ด้วย
แต่สุดท้าย เหมือนกูต้องรับดอกไม้ที่ตายแล้วมาประดับในบ้าน
เพราะแค่เมไม่น่ารักหรอคะ พี่พรูฟถึงใจร้ายกับเม”
“มีใครใจดีกับเธอในสภาพนี้บ้างถามจริง?” ผู้ชายเกือบร้อยก็คงใจดีด้วยไม่ได้หรอกนะถ้าต้องรับผิดชอบชีวิตผู้หญิงสักคนที่...
พูดไปก็อยู่ที่เดิม
“ถ้าเมน่ารักเหมือนเมื่อก่อนพี่พรูฟจะใจดีกับเมหรอคะ” ก้มหน้าเศร้าถามออกมาอย่างน้อยใจ
“ไม่ใช่แค่ฉันหรอก แต่คนอื่นจะใจดีกับเธอมากเป็นกอง” โลกของความเป็นจริงมันเป็นแบบนั้น และ “อีกอย่าง ถ้าดูดีขึ้นก็เป็นเธอเองที่ได้บุคลิกดีๆ ไปด้วย”
ภาพลักษณ์ภายนอกมันสำคัญมาก แล้วผู้ชายอย่างเขาก็ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากด้วยเช่นกัน
“คุณป้ายังเอ็นดูเมเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลยค่ะ” เธอยังเถียงออกมาตาใส
“นั่นแม่ฉัน แล้วถ้าเธออยู่กับแม่ฉัน ฉันไม่เดือดร้อนสภาพเธอแน่นอน” และมันคงจะดีมากถ้าเธอได้อยู่กับแม่เขาไม่ใช่เขาแบบนี้
“แต่คนเราควรมองกันที่ภายในด้วยไม่ใช่หรอคะ”
“อย่าโลกสวยไปหน่อยเลย” ส่ายหัวให้กับความคิดของเธอไม่ใช่แบบเดียวกับเขา “แล้วเธออยากมองใครที่ภายในก็เรื่องของเธอ แต่ฉัน มองภายนอกเป็นหลัก”