คุณมารตีเดินมาสมทบพร้อมกับตำหนิเพลินวานไม่จริงจังนัก ไม่ลืมทักทายแขกที่มาใหม่ เป็นเพื่อนสนิทและเป็นพ่อกับแม่ของเพลินวานสาวน้อยที่นางรักและดูแลเหมือนลูกมานานหลายปี ไม่ได้สังเกตสีหน้ามึนตึงของแขกที่หน้าบอกบุญไม่รับเลยสักนิด
‘คุณมารตี… คุณมาก็ดีแล้ว ผมมีเรื่องที่ต้องคุยกับคุณ เดินไปคุยกับผมข้างนอกหน่อย’ เจ้าของบ้านมองหน้าสองแม่ลูกที่ยืนอยู่นิดหนึ่ง นางพยักหน้ารับแล้วเดินตามผู้ชายทรงอำนาจไปเท่านั้น
‘ขอบคุณที่ดูแลเพลินวานอย่างดี แต่ผมไม่นึกเลยว่าเวลาเพียงไม่นานที่เพลินอยู่กับคุณ คุณจะล้างสมองลูกสาวผมได้มากขนาดนี้ จากเด็กเรียบร้อย อ่อนหวาน เชื่อฟัง กลับกลายเป็นเด็กก้าวร้าวไม่เชื่อฟังพ่อแม่ภายในเวลาไม่กี่ปี ต่อไปนี้ผมจะมารับลูกผมคืน…’ ผู้ว่าฯ พาทินบอกด้วยเสียงทรงอำนาจ
‘คุณหมายความว่าอย่างไร ฉันไม่เข้าใจ?’
‘เพลินวานอยากเป็นเชฟ… เป็นเพราะคุณใช่ไหม’ น้ำเสียงเพิ่มความดุดันเหมือนตะคอก ทำเอาคนที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนสักครั้งตกใจ
‘ค่ะ… ถ้าคุณจะคิดอย่างนั้นแล้วสบายใจ ฉันก็จะไม่ห้าม แต่ก่อนที่คุณจะพาเพลินวานกลับไป ฉันขอพูดอะไรกับคุณคุณสักอย่างนะคะ คุณลองถามใจตัวคุณเองว่า ที่ผ่านมาความสุขของคุณคืออะไร คุณเคยถูกบีบบังคับหรือเปล่า แล้วย้อนนึกถึงการเลี้ยงลูกที่ผ่านมาของคุณ คุณให้อะไรกับลูกบ้าง คุณอาจจะบอกว่าที่คุณทำมาทั้งหมดก็เพื่ออนาคตของลูก แต่คุณเคยคิดบ้างไหม… ว่าเพลินต้องถูกกดดันมากแค่ไหน ต้องเรียนหนัก ต้องได้เกรดตามที่พ่อคาดหวัง เธอทำได้ แต่คุณเคยถามลูกหรือเปล่า… ว่าที่ผ่านมาเขามีความสุขไหม’
‘คุณไม่เคยมีลูกจะไปรู้เรื่องอะไร’
‘ค่ะ… ฉันยอมรับว่าฉันไม่เคยมีลูก ฉันเลี้ยงดูเพลินวานมามั่นใจว่า… ทั้งรักและหวังดีกับเพลินวานไม่น้อยไปกว่าคุณ เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน วันนี้คุณกลับไปก่อน คุณไม่ต้องไปบังคับเพลินเขาหรอก ถึงจะพูดตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์ ฉันจะเป็นคนพูดกับเพลินวานเอง แล้วก็จะเป็นคนพาเธอขึ้นไปส่งให้คุณถึงที่ ถ้าคุณยังยืนยันที่จะให้เพลินวานเดินตามทางที่คุณขีดเอาไว้ไห้’ นางมารตีตอบกลับไปเสียงเรียบ เพลินวานก็เข้ามาได้ยินบทสนทนาเข้าพอดี
‘ไม่ต้องหรอกค่ะน้ารตี เพลินยังยืนยันว่าเพลินจะทำตามความฝันของเพลินเหมือนเดิม พ่อค่ะ เพลินโตแล้วนะคะ เพลินขอเลือกทางเดินเองนะคะ’
‘ไม่ได้!’ เสียงคำสั่งประกาศิตทรงพลังที่ออกจากปากบิดา เหมือนฟ้าฟาดลงกลางใจเพลินวาน แต่เธอก็ไม่ยอมแพ้เหมือนกัน
‘แต่พ่อก็บังคับเพลินไม่ได้หรอกค่ะ’
‘ทำไมฉันจะทำไม่ได้ ในเมื่อฉันเป็นพ่อของแก....’ ผู้ว่าฯ พาทินเว้นช่องว่าง สูดหายใจข่มอารมณ์โกรธ
‘ก็ได้… ถ้าแกคิดว่าแกจะเป็นเชฟให้ได้ แกก็หาเงินเรียนเองก็แล้วกัน ต่อไปนี้ฉันจะไม่ส่งเงินมาให้แกแม้แต่บาทเดียว’ หลังจากจบประโยคผู้ว่าฯ พาทินก็เดินลิ่วๆ ไปที่รถด้วยอารมณ์คุกรุ่น คนเป็นภรรยาก็ต้องวิ่งตามไป
คล้อยหลังเมื่อรถหรูวิ่งออกไปจากบ้าน มารตีหันกลับมาหาหญิงสาวที่เธอรักเหมือนลูกอีกครั้ง
นางมารตาจับมือเพลินวานมากอบกุมเตือนสติ ‘เพลิน… หนูพูดกับพ่ออย่างนั้นไม่ถูกนะ ยังไงเขาก็เป็นพ่อ พ่อทุกคนก็ล้วนปรารถนาดีกับลูก หนูจะไม่ลองคิดอีกทีหรือ ที่พ่อเขาพุดมาก็ถูก วันนี้หนูอาจจะชอบการทำอาหาร แต่ถ้าอีกสิบปีข้างหน้าหนูต้องยืนหน้าเตาหน้ามันแผลบ ทั้งร้อน ทั้งเหนื่อย หนูจะทนได้หรือ’
‘การที่เราได้ทำในสิ่งที่เรารัก มันจะดีกว่า ทำในสิ่งที่เราต้องทนฝืนไปตลอดชีวิตไม่ใช่หรือคะ เพลินเลือกแล้ว... ถึงจะต้องหาเงินเรียนเองเพลินก็ยอม เพลินจะพิสูจน์ให้พ่อเห็น’ หญิงสาวบอกออกมาน้ำเสียงหนักแน่นแววตามุ่งมั่นเต็มเปี่ยม
เพลินวานแหงนหน้ามองท้องฟ้า ขับไล่น้ำตาของความอ่อนแอกลับไปข้างใน ใครว่าลูกอย่างเธออยากทำให้พ่อเสียใจกันละ...
ผู้ว่าฯ พาทินยืนกอดอกมองลูกสาวอยู่อีกมุมหนึ่งของบ้านสะเทือนใจไม่แพ้กัน สำหรับคนเป็นพ่อ… เมื่อเห็นลูกเจ็บและ ไม่สบายใจ มันยิ่งเจ็บมากขึ้นเป็นเท่าตัว คนเป็นพ่อก็เพียงต้องการให้ลูกยอมอ่อนข้อให้บ้าง ถ้าเธอยอมพูดและอธิบายดีๆ ความสุขของลูกคือความสุขของพ่อเช่นเดียวกัน
“คุณยังทำลายความสุขของลูกไม่พออีกหรือคะ”
“คุณยังดูผมไม่ออกหรือ… ผมเองก็ไม่ได้ทุกข์ไปน้อยกว่าลูกหรอกนะ” ผู้ว่าฯ พาทินบอกคู่ชีวิตเสียงทุ้มต่ำ
“คุณหมายความว่าอย่างไร” คุณนายเพลินไหมมองสามีอย่างไม่เข้าใจ ถามกลับสามีทันที
“อย่ามาพูดเรื่องลูกคนนี้ให้ผมได้ยินอีก ผมไม่อยากรับรู้อะไรทั้งนั้น ถ้าคิดว่าปีกกล้าขาแข็งมาก ก็ให้มันทำให้ได้อย่างที่พูดไว้เสียก่อน ค่อยกลับมาร้องขอความเห็นใจจากผม” พูดจบผู้ว่าฯ พาทินก็เดินเข้าบ้านไปทันที
“เราจะทำอย่างไรดีละรตี” คุณนายเพลินไหมหันมาขอความเห็นจากเพื่อนรัก
“เธอบอกเองไม่ใช่หรือว่าจะจัดงานมหกรรมอาหาร เพื่อ โปรโมทการท่องเที่ยวของจังหวัด หน้าหนาวปีนี้ เธอมีเชฟมาจากฝรั่งเศสทั้งคน เราจะใช้งานนี้แหละเป็นตัวเชื่อม...”
“ดีเหมือนกันนะ ตั้งแต่คุณพาทินย้ายกลับมาที่นี่ ยัยเพลินก็ยังไม่เคยกลับมาสักที เราจะได้เปิดตัวลูกสาวสุดสวยแสนเก่งของท่านผู้ว่าฯ พาทิน” สองสาวสูงวัยหันมายิ้มให้กัน แล้วคุณนายเพลินไหมก็เดินเข้าบ้านตามสามีไป
มารตีเดินเลยออกมาหาเพลินวาน ที่ยังยืนเหม่อพิงต้นกาสะลองอยู่คนเดียว
“น้ารู้ว่าเพลินกำลังคิดเรื่องอะไรอยู่ แต่เราเป็นเด็ก… เราก็ต้องยอมเข้าหาก่อนนะ เพลินอาจจะคิดว่าเพลินทำถูกทุกอย่าง แต่ยังไงเพลินก็เป็นลูก ความอ่อนน้อมเข้าหาผู้ใหญ่เป็นสิ่งที่ดีไม่ใช่หรือ”
“เพลินทราบค่ะน้ารตี แต่เพลินแค่ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นจากตรงไหนดี เวลาที่ล่วงเลยผ่านมานานหลายปี ยิ่งพ่อนิ่งอย่างนี้ มันก็ยิ่งทำให้เพลินยิ่งกลัว ยิ่งประหม่า แล้วก็ยิ่งไม่กล้ามากขึ้นทุกที แล้วอีกอย่าง… เพลินก็ยังเดินไปไม่ถึงจุดสูงสุดอย่างที่เพลินฝันเอาไว้”
“เพลินคงลืมไปอีกเรื่องนะลูก… ผู้ชายคนนั้นคือพ่อของเพลิน ไม่มีพ่อคนไหนอยากเห็นลูกทุกข์หรอกนะ ความฝันก็ส่วนความฝัน ความสัมพันธ์ที่ดีก็สำคัญ กำลังใจดี… เวลาทำอะไรก็ออกมาดีไปด้วย เชื่อน้าสิ เพลินลองเอาไปคิดดู แล้วถ้าทำได้ เพลินเองจะเป็นคนที่มีความสุขมากที่สุด” คุณมารตีบีบบ่าเพลินวานเบาๆ ก่อนที่จะเดินเข้าบ้านไป