“มีอะไรละ มาเดทกับสาว ทำหน้าอย่างกับหมูโดนหามส่งโรงเชือด” หลังจากที่เดินออกมาถึงโซนรับลม ภูริชก็แขวะเพื่อนอย่างที่เขารู้สึกจริงๆ
“นายก็รู้ว่าฉันไม่ได้เต็มใจ ที่มาก็แค่ขัดคุณหญิงแม่ไม่ได้ นายก็รู้ว่าฉันยังคบกับป่านอยู่ ฉันหาทางออกไม่เจอวะ ไม่รู้จะไปต่ออย่างไร”
“พูดความจริง! ไม่เห็นจะยากเลย”
“นายพูดเหมือนง่าย แต่มันยากเหลือเกิน แค่ฟัง… คุณหญิงแม่ไม่ยอมรับฟังอะไรเลย ที่ทำได้ตอนนี้… คือต้องคอยหลบเลี่ยง หรือไปบินแถวโซนยุโรปไม่ค่อยได้กลับมาอย่างที่นายรู้นั่นแหละ แล้วเรื่องพัฒนาความสัมพันธ์กับป่านก็เลยเหมือนไม่ถึงไหนสักที ไม่กี่วันก่อนนัดเจอ… คุณหญิงแม่ก็โทรตาม” นวินบอกด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย ทอดอารมณ์อย่างเหนื่อยอ่อน
“มันก็พูดยากนะ… แต่ถ้าเป็นฉัน ฉันพร้อมที่จะลุยทุกอย่าง เพื่อคนที่ฉันรัก... พร้อมที่จะทำทุกอย่างเพื่อเขา เพราะเขาคือคนที่ฉันจะต้องอยู่ด้วยไปตลอดชีวิต แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็แล้วแต่นายก็แล้วกัน” ภูริชตบบ่าให้กำลังใจเพื่อน สีหน้าเขาอมทุกข์ชัดเจน
“เออ! ขอบใจนายมากวะเพื่อน ที่เข้าใจฉัน”
“แล้วทำไมนายไม่เปิดใจรับคนที่แม่ของนายหาให้เลยละ อย่างน้อย… เท่าที่นายเพิ่งบอกฉันเอง นายกับป่านก็ห่างกันนานพอสมควร ถ้าจะบอกเลิกตอนนี้ก็ไม่น่าจะต้องเสียใจมากทั้งสองคน ฉันเชื่อว่าป่านมีเหตุผลพอ มันดีกว่าที่จะนายจะปล่อยเวลาไป… และให้ความหวังเธอไปเรื่อยๆ อย่างนี้นะ”
“ฉันเข้าใจวะเพื่อน… แต่ฉันต้องขอเวลาอีกหน่อย ส่วนกับน้องการะเกด… เขาแสดงออกมากเกินไป เหมือนว่าลับหลังคุณหญิงแม่ เธอจะเป็นอีกคน ฉันคงไม่ชอบผู้หญิงแบบนี้ด้วยหรือเปล่าก็ไม่รู้”
“อย่าปล่อยเวลาให้มันนานไปกว่านี้ก็แล้วกัน กลับไปที่โต๊ะเถอะ… ดูเหมือนว่าหม่อมหลวงการะเกดของนายจะคอยืดมองหาหลายรอบแล้ว เหมือนที่นายบอกนั่นแหละ ผู้หญิงสมัยนี้ก๋ากั่นมากเกินไป… ฉันก็เบื่อไม่แพ้นายหรอก” สีหน้าของภูริชก็บ่งบอกว่าเบื่อหน่ายไม่แพ้เพื่อนเมื่อนึกถึงผู้หญิง
นวินเองก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “เอ่อ… เกือบลืม พรุ่งนี้นายไปส่งฉันที่สนามบินหน่อยสิ ฉันหลอกว่ามีบิน จะหนีไปพักผ่อนหัวใจสักอาทิตย์ ฉันกลัวคุณหญิงให้คุณปลิงเกาะขาตามไปส่งฉัน เดี๋ยวความแตกกันพอดี”
“ดูพูดเข้า เธอออกจะสวย เป็นฉันหน่อยไม่ได้”
“ทำไม! จะจับทำเมียหรือ อย่ามาทำเป็นพูดดีไปหน่อยเลย… ฉันรู้ว่านายก็ขยาดผู้หญิงพวกนี้ไม่แพ้ฉันหรอก”
สองหนุ่มหัวเราะออกมาพร้อมกัน กอดคอกันเดินกลับไปที่โต๊ะอย่างเขาใจหัวอกซึ่งกันและกัน
เช้าวันออกเดินทาง
เพลินวานยืดคอมองหามารตีกับมารดาที่เดินหายไปซื้อกาแฟเย็นเสียนาน แต่ก็ไร้วี่แววสองคนจะกลับมา หญิงสาวยกข้อมือมองนาฬิกาอย่างร้อนรนปนหงุดหงิด เพราะใกล้จะหมดเวลาเช็คอินเข้าไปทุกที
“คุณ!” มือหนาวางแตะไหล่แกล้งทักเสียงดัง ทำเอาคนที่กำลังครุ่นคิดอย่างร้อนรนสะดุ้งตกใจร้องเสียงดังลั่น
“พ่อฉันเป็นผู้ว่า!”
“ฮาๆๆ ลูกคนใหญ่คนโตเสียด้วย ประกาศซะลั่นอาคารเลย หัดอายคนบ้างสิคุณ” คนทักเย้าหัวเราะขำท้องคัดท้องแข็ง เรียกสายตานับสิบคู่รอบบริเวณนั้นหันมามองอย่างสนใจ จากที่ก่อนหน้าก็เป็นจุดสนใจมากพอจะทำให้คนร้องอายแทบแทรกหายไปในพื้นแกรนิตมันวาวตรงหน้า
เพลินวานหน้าง้ำแดงก่ำด้วยความอายระคนโมโหชายหนุ่มตรงหน้า
“มาทำไม” หญิงสาวถามเสียงห้วน
“มาซื้อปลาทู” ชายหนุ่มตอบยียวน หญิงสาวเลิกคิ้วมองอย่างไม่เข้าใจความหมาย ชายหนุ่มยิ่งได้ใจ
“ตลกมั้ย”
“อ้าว! ก็เห็นหน้างอ… ก็นึกว่าแผงปลาทู สนามบินเขาจะมาทำไมกันละ” ชายหนุ่มเย้าขำ แต่อีกคนไม่ขำด้วยสักนิด
หญิงสาวค้อนขวับสะบัดหน้าพรืดเดินจ้ำอ้าวออกจากตรงนั้นไปทันทีเพราะความอาย สายตาของคนรอบข้างที่จับจ้องอยากใคร่รู้เรื่องของคนอื่นเริ่มมากขึ้นไปทุกที ไม่มีอารมณ์จะต่อปากต่อคำกับเขา เรียกเสียงหัวเราะตามหลังของอีกคนอย่างมีความสุข
บ้านกลางดอยของเมืองหมอกสามฤดู บ้านที่เพลินวานอาศัยอยู่มาตั้งแต่เด็ก ที่นี่ยังคงความงดงามไม่เปลี่ยนแปลง จุดที่สามารถมองเห็นเนินเขาทอดยาวสุดสายตา แปลงกุหลาบและไม้ดอกเมืองหนาวสลับกับทุ่งดอกบัวตองของมารดาหลากสีสัน อวดโฉมชูช่องดงาม
บ้านที่โอบล้อมด้วยขุนเขาใหญ่น้อย หญิงสาวทอดสายตามองตามแม่น้ำสาขาแม่ละราด ลำธารสายเล็กๆ ไหลผ่านท้ายบ้านกลางดอยของเธอ มันจะไหลไปรวมกับแม่ระมาดสายใหญ่ที่อยู่อีกทางฝั่งฝากของเทือกเขาติดกัน ความคุ้นชินในวัยเด็กหวนย้อนกลับมาหาเธออีกครั้ง
‘พ่อขาแม่ขา เพลินชอบบ้านเรามากที่สุดเลยค่ะ โตขึ้นหนูจะเป็นนักพัฒนาเหมือนอย่างพ่อ หนูจะกลับมาพัฒนาบ้านเรา ให้ชาวแม่ฮ่องสอนอยู่อย่างมีความสุข มีอาชีพอยู่ดีกินดีและรักบ้านเกิดค่ะ’ เด็กหญิงเพลินวานบอกและโผเข้ากอดบิดาอย่างออดอ้อน
‘พ่อดีใจนะที่ลูกคิดแบบนี้ พ่อเชื่อว่าถ้าลูกตั้งใจลูกแล้ว ลูกจะต้องมุ่งมั่นและทำให้มันสำเร็จให้ได้ในที่สุด เพลิงเองก็เหมือนกันนะลูก’ นายอำเภอพาทินหันมาบอกลูกชายอีกคน
“พ่อคะ… เพลินขอโทษ ที่เพลินทำตามที่สัญญากับพ่อไม่ได้ ขอโทษ… ที่ความฝันของเพลินเปลี่ยนไป จนทำให้พ่อเสียใจขนาดนี้ เพลินขอโทษค่ะพ่อ...”
หญิงสาวผินหน้ามองท้องฟ้าเว้งว้างเพ้อออกมาเสียงแผ่ว วอนลมหนาวพัดพาคำขอโทษของเธอไปให้คนที่อยู่ในบ้าน ผู้ชายที่ใจแข็งดุจหินผา พร้อมกับสายน้ำใสในดวงตาที่ไม่อาจอดกลั้น มันเอ่อล้นปริ่มนองทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องราวในอดีต
อีกหนึ่งเรื่องราวที่ยังอยู่ในความทรงจำไม่เปลี่ยนแปลง มันยังคงรู้สึกขมปร่าเหมือนบอระเพ็ดที่ติดลิ้น ทั้งที่เนิ่นเนินนานมากพอจะทำให้ลืม แต่วันเวลาที่ผันผ่าน… กลับยิ่งตอกย้ำความรู้สึกผิดในใจเธอมากขึ้นทุกวัน
‘ไม่ได้! ยังไงพ่อก็ไม่ยอมให้แกเรียนอาหารอะไรนั่นเด็ดขาด แกจะไปรู้อะไร วันนี้แกอาจจะชอบที่จะทำอาหาร แต่แกก็ไปเรียนกับเชฟที่ร้านก็ได้นี่นา ไม่เห็นต้องไปเรียนให้เป็นเรื่องเป็นราวเลย แกลองคิดดูว่า… สาวสวยอย่างแกที่ต้องทนยืนอยู่หน้าเตา ทั้งร้อน ทั้งเหม็น ทั้งเหงื่อ วันหนึ่งถ้าแกจะมีความรัก… แล้วสภาพอย่างนี้จะมีผู้ชายที่ไหนมามองกันฮึ’ อารมณ์คุกรุ่นที่ผู้ว่าฯ พาทินแสดงออกมาให้เห็นไม่บ่อยนัก
ในวัยเตรียมเข้ารั้วมหาวิทยาลัยรอยร้าวก็เริ่มเกิดขึ้น เพลินวานเองก็รู้ดีว่า… ถ้าพ่อเธอออกโรงมาพูดกับเธอด้วยตนเองและอารมณ์แบบนี้คงจะจริงจังมาก และที่ผ่านมาเธอก็ไม่เคยเห็นว่าจะมีใครกล้าขัดประกาศิตของพ่อได้เลยสักคน
‘ขอบคุณค่ะพ่อที่เตือนสติเพลิน แต่เพลินคิดดีแล้วค่ะ เพลินจะเป็นเชฟ…’ สีหน้าและน้ำเสียงที่เธอแสดงออกมาก็เข้มแข็งเด็ดเดี่ยวไม่แพ้คนเป็นพ่อเลยเหมือนกัน จนคุณนายเพลินไหมแม่ของเธอต้องออกมาขัดตาทัพที่กำลังพลทั้งสองฝ่ายต่างกำลังลุกฮือในขณะนั้นเสียก่อน
‘แม่ว่าไปในบ้านก่อนดีกว่าไหมพ่อ เพิ่งมาถึงยังไม่ทันหายเหนื่อยเลย เอาไว้พักให้หายเหนื่อยค่อยมาคุยกันอีกทีดีกว่าว่าจะเอายังไง’ มารดาของเธอเป็นแบบนี้เสมอตั้งแต่เธอจำความได้ นางดูอ่อนโยนและเป็นตัวเชื่อมในครอบครัวได้เป็นอย่างดี
‘พ่อกับแม่มาถึงแล้วหรือเพลิน ทำไมหนูไม่ขึ้นไปตามน้าละ น้าเลยทำงานเพลินเลย สวัสดีค่ะท่านผู้ว่าฯ สบายดีนะไหม’