ตอนที่ 6 ช่วงเวลา

869 คำ
นาฎสุรีย์มองตนเองในกระจก ใบหน้าถูกแต่งแต้มด้วยโทนสีอ่อน ลิปสติกสีส้มอมชมพูดถูกทาลงบนริมฝีปาก คิ้วถูกเขียนโค้งเป็นรูปพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว ผิวแก้มสีพีช เปลือกตาสีน้ำตาลอ่อนอมส้ม ชุดไทยสีครีมถูกสวมทับ ช่างแต่งหน้า แต่งกาย จับเธอหมุนอีกรอบเพื่อตรวจความเรียบร้อย คนถูกจับแต่ง อดทึ่งไม่ได้ ไม่คิดว่าตนเองจะเปลี่ยนไปมากถึงเพียงนี้ ถ้าหากงานหมั้นนี้ เกิดจากความรักแท้จริง คงมีความสุขมากกว่านี้ เสียดาย ที่เธอต้องยอมทำตามความต้องการผู้ใหญ่ “น้องนาสวยมากเลยค่ะ พี่ขอถ่ายไปรีวิวร้านหน่อยได้ไหมคะ” ช่างสาวประเภทสองเอ่ยถาม เธออึกอักเล็กน้อย แต่เห็นแววตาคนขอร้องแล้ว อดช่วยไม่ได้ “ได้ค่ะ” ก๊อก ก๊อก เสียงเคาะประตูดังขึ้น เมื่อแง้มออก นิรนาดวงตาเบิกกว้างมองบุตรสาวด้วยความชื่นชม หากพีรดลได้เห็น ต้องตื่นตะลึงเป็นแน่ “ยัยนา ลูกสาวแม่สวยมากเลยรู้ไหม” คนเป็นแม่ภาคภูมิใจ รีบตรงมาหาลูกสาว จับตัวหมุนไปมา “ไม่ขนาดนั้นเหรอค่ะแม่” เธอบอกเสียงเบา ไม่วายคนเห่อลูก รีบหยิบมือถือออกมา ถ่ายรูปบุตรสาวสีหน้ายินดี ต่อให้อยากห้ามเท่าไหร่ แต่เธอกลับไม่กล้า เพราะกลัวทำให้แม่ต้องเป็นทุกข์อีก ถ่ายรูปจนหนำใจแล้ว เก็บมือถือเข้ากระเป๋า “เดี๋ยวแม่ลงไปก่อนนะ” “ค่ะแม่” ประตูปิดลง ช่างแต่งหน้าตรวจดูความเรียบร้อยอีกครั้ง ก่อนพาสาวสวยไปเข้าพิธีหมั้น ท่ามกลางแขกคนสนิทมาเป็นสักขีพยาน เธอไม่ได้บอกให้ใครรู้เลย เรื่องนี้ต้องเป็นความลับมากที่สุด สองร่างนั่งพับเพียบ ตรงพื้นด้านหน้าผู้ใหญ่ ซึ่งอยู่ด้านหลังบนเก้าอี้ พีรดลเหลือบมองหญิงสาวในชุดไทยสีครีม ทำเอาหัวใจชายหนุ่มเต้นระรัวขึ้นมา ด้วยไม่คิดว่า คู่หมั้นจะหน้าตาหมดจดถึงเพียงนี้ นาฎุสุรีย์พยายามหลบเลี่ยงสายตา แม้รู้ว่าอีกฝ่ายจ้องมองอยู่ในตอนนี้ อยากให้พิธีมันเสร็จสิ้นโดยเร็ว ยิ่งอยู่ยิ่งอึดอัดมากเหลือเกิน พิธีเริ่มต้น ผู้ใหญ่เอ่ยปากให้เธอกราบลงบนตัก เธอจำใจต้องทำตาม ขณะที่อีกฝ่ายใช้มือลูบผมนุ่มแผ่วเบา ดวงตาคมกริบหรี่ลง หยิบแหวนในกล่องกำมะหยี่สีแดงมา แล้วดึงมือบาง ก่อนบรรจงสวมลงไปบนนิ้วนางข้างซ้าย แสงจากล้อง และมือถือมากมาย กำลังถ่ายภาพ นาฎสุรีย์และคู่หมั้นนั่งหันมา เพื่อให้ทุกคนได้บันทึกความทรงจำในวันนี้ แม้หัวใจสองดวงอยากปฏิเสธมันแทบตาย แต่สุดท้ายก็ไม่อาจขัดขืนในโชคชะตาได้ เมื่อจบงาน เธอกับเขาจำต้องยืนส่งแขกด้วยกัน ภายในบ้านเข้าสู่ความเงียบ เหลือเพียงคนที่จ้างงานให้มาจัดดอกไม้ พวกเขากำลังเก็บกวาดข้าวของกลับ ส่วนเธอรีบเดินขึ้นชั้นสองในทันที ไม่เหลียวมองคู่หมั้นแม้แต่น้อย ชายหนุ่มยืนขบกรามไม่สบอารมณ์ ทำเหมือนเขาน่ารังเกียจหนักหนา ได้หมั้นกับคนอย่างพีรดลนับว่าดีเท่าไหร่ ชาตินี้คนอย่างเธอจะหาผู้ชายที่หน้าตาดี เพียบพร้อมได้ขนาดเขาหรือไงกัน สองเท้าก้าวตามติดก่อนกระชากเรียวแขน “โอ้ย!” หญิงสาวร้องจ้องมองคนดึง คิ้วบางขมวดเข้าหากัน “มันเจ็บนะ!” เขาคลายการจับลง แล้วหรี่ตามองอีกฝ่าย “อย่าแสดงกิริยาว่ารังเกียจฉันให้มันมากนักเลย เธออยากให้แม่เธออาการกำเริบอีกหรือไง!” เขากัดฟันกระซิบเสียงแผ่ว ทำเอาคนฟังชะงัก ไม่ขัดขืนอีก “ฉะ...ฉันไม่ได้ตั้งใจ ก็แค่ไม่อยากอยู่ให้นายเห็นหน้าให้รำคาญ” คนตัวเล็กตอบเสียงอ่อย หันรีหันขวางเกรงคนอื่นจะได้ยิน “ฉันบอกตอนไหนว่ารำคาญเธอ!” นาฎสุรีย์ชะงัก ดวงตากลมโตจ้องมอง สีหน้ามึนงง สับสน กับคำพูดที่เขาเอ่ยออกมา ทว่าอีกคนกลับขบกราม เมื่อได้สติ “ฉันหมายถึงว่า ฉันน่ะรู้ตัว ว่าอะไรควรหรือไม่ควร ฉันไม่อยากทำให้ทุกคนต้องเครียดเรื่องของเรา” คนตัวเล็กครุ่นคิดตาม เธอเองก็ผิดที่มัวคิดถึงความรู้สึกตนเองเพียงคนเดียว ความจริงวันนี้เขาก็ไม่ได้ระรานทำตัวไม่ดีใส่ “ขอบใจนาย ที่เตือน” พีรดลปล่อยเรียวแขนเป็นอิสระ มองเสี้ยวหน้าของคู่หมั้น เป็นครั้งแรกที่ได้มองใกล้ขนาดนี้ ไม่คิดว่านาฎสุรีย์จะสวยจนเขาจำแทบไม่ได้เลย “แล้วอย่าลืม! เรื่องที่สัญญากันไว้ด้วย อย่าพูดอะไรที่มหาวิทยาลัยเด็ดขาด” “ฉันรู้แล้ว!” ชายหนุ่มพูดจบเดินจากไป ปล่อยให้อีกคนมองแผ่นหลังสีหน้าหนักใจ หวังว่าคงไม่มีใครเจอภาพงานหมั้นของเธอกับเขา ให้เกิดปัญหาหรอกนะ เพราะวันนี้มีแขกในงานถ่ายรูปหลายคน เธออยากให้มันเงียบที่สุด แต่ก็ไม่กล้าขัดใจผู้ใหญ่ เลยจำต้องยอมรับสภาพเช่นนี้
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม