ผ่านไปสองเค่อ (30 นาที)
ตลอดเวลาที่ต้องรออี้เหม่ยหลิงนั่งไม่ติดเลยสักนิด เสียงน้ำตกกระทบพื้นดังอยู่ด้านในห้องอาบน้ำซึ่งอยู่ไม่ไกลเท่าไหร่นัก ทำเอาคนฟังหายใจไม่ทั่วท้องนึกหวาดกลัวกับคนที่กำลังชำระล้างร่างกาย ยิ่งเวลานี้เสียงน้ำเงียบไปครู่ใหญ่ยิ่งทำให้นางกลัวมากกว่าเก่า ไม่กี่อึดใจเขาก็เดินเข้ามายืนอยู่ตรงหน้า อาภรณ์สีน้ำเงินเข้มเป็นสัญลักษณ์ของสกุลเหอคลุมอยู่บนร่างสมส่วน เส้นผมสีดำยามนี้มิได้รวบเก็บไว้จึงปลิวไสวไปตามแรงลมโชยอ่อน ถ้าไม่นับข่าวลือที่มีแต่ข้อเสียก็เหมือนนางพอจะมีโชคด้านผู้ชายอยู่ไม่น้อย
โชคร้ายน่ะสิ.... หล่อเหลาประดุจเทพเซียนแล้วสำคัญอะไร ในเมื่อเขาหาใช่คนดี!
เรื่องราวของรุ่ยอ๋องหรือองค์ชายไห่เทาโด่งดังตั้งแต่ที่นางจำความได้ ครั้งหนึ่งเขาเคยมีเรื่องกับไท่จื่อเทียนหยูรุนแรงถึงขั้นเลือดตกยางออกทั้งที่ทั้งสองอายุห่างกันถึง 7 หนาว ก่อนที่ผู้เป็นพี่จะลาโลกนี้ไปหลังจากนั้นเพียงหนึ่งวัน ฮ่องเต้ลงโทษด้วยการขับเขาออกจากวัง ตั้งแต่นั้นมาชีวิตขององค์ชายน้อยก็โลดแล่นอยู่แต่ในสงครามไม่เคยกลับมาเหยียบวังหลวงอีกเลย เขาย้ายที่อยู่ไปเรื่อยๆ ตามราชโองการก่อนจะมาถึงตำหนักเฟิงซานแห่งนี้
ตลอดเส้นทางมีข่าวเสียหายส่งมาถึงฮ่องเต้ไม่หยุดหย่อน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความหุนหันพลันแล่นทั้งกับศัตรูและทหารในสังกัด ทำตัวราวกับหมาบ้าที่โชคดีมีอำนาจสั่งเป็นสั่งตายใครก็ได้ เร็วๆ นี้เขาก็เพิ่งส่งหัวแม่ทัพศัตรูที่ตัดสดๆ ห่อผ้าไหมหิ้วไปฝากพระบิดากลางโถงประชุมใหญ่สร้างความแตกตื่นไปทั่วราชสำนัก
“นางให้เจ้าอยู่ที่นี่งั้นรึ” บุรุษสูงศักดิ์เอ่ยถาม
“เพคะท่านอ๋อง”
เขาเดินผ่านร่างบางไปยังประตูด้านหน้า เมื่อออกแรงผลักก็พบว่ามันถูกลงกลอนไว้แน่นหนา ไม่เพียงเท่านั้นหน้าต่างหรือช่องทางอื่นก็ถูกปิดตายจนไม่สามารถเปิดได้ ตัวการคงไม่พ้นมารดาของตนเอง
“เจ้าเล่ห์นัก” ชายหนุ่มขบกรามแน่น
“ท่านอ๋องไม่อยากแต่งงานกับหม่อมฉันหรือเพคะ” คนงามเอ่ยถาม นางเป็นหญิงแต่ก็มิได้โง่ หากเขาปรารถนาในตัวสตรีหรือเป็นประเภทกินไม่เลือกป่านนี้เขาคงลากนางขึ้นเตียงไปแล้ว ไม่เดินไปบันดาลโทสะกับประตูหรอก
“ใจกล้าไม่เบาเลยนี่ที่ถาม” ใบหน้าโหดเหี้ยมเย็นชาจับจ้องมาที่ดวงตาคู่สวยของหญิงสาว หากเป็นคนอื่นคงหลบตาและหนีไป นางกลับยืนนิ่งไม่เคลื่อนไหว สมแล้วที่เป็นบุตรีของแม่ทัพอี้
“หม่อมฉันเพียงอยากหาทางออกร่วมกันเท่านั้นเพคะ ไม่ได้มีเจตนาจะท้าทายพระองค์แต่อย่างใด ถ้าท่านอ๋องปรารถนาในตัวหลิงเอ๋อร์แล้วมีหรือที่หม่อมฉันจะปฏิเสธ เพียงแต่...หากราชโองการที่เราได้รับทำให้ท่านลำบากใจมิสู้ส่งตัวหลิงเอ๋อร์กลับไปมิให้รกหูรกตาจะดีกว่าหรือเปล่าเพคะ” หญิงสาวกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ จังหวะการพูดรื่นหูและคงรอยยิ้มบางๆ ขณะเจรจา ดูสุขุมนุ่มนวลยิ่งนัก
“ฉลาดพูด แล้วเจ้าคิดว่าข้าจะเลือกทางใดเล่า” ร่างสูงเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้หญิงสาวทีละก้าว ขณะเดียวกันนางก็ร่นตัวถอยออกไปเพื่อคงระยะห่างระหว่างพวกเขาเอาไว้
ปึก!
แผ่นหลังบอบบางชนเข้ากับผนัง ยังไม่ทันที่จะได้หันตัวหนีแขนแกร่งก็ปิดทางเอาไว้เสียก่อน
“ข้าอยากจะรู้นักว่าเจ้าเตรียมใจมารับใช้ข้าแค่ไหน” ใบหน้าหล่อเหลาอยู่ห่างเพียงคืบ
“ท่านอ๋องเพคะ” มือเล็กยันอกหนั่นแน่นมิให้แนบชิดมามากกว่านี้ในขณะที่มืออีกข้างเตรียมพร้อมจะหยิบมีดสั้นด้านหลังออกมาป้องกันตัว ทว่าหากนางจัดการรุ่ยอ๋องตอนนี้คงไม่สามารถหนีความผิดไปเงียบๆ ได้ รอบนอกมีทั้งพระสนมและองครักษ์มากมายดูแล้วมิใช่ทางเลือกที่ฉลาดเท่าใด มือเล็กจำต้องปล่อยอาวุธชิ้นเดียวที่มีติดกาย
“พิสูจน์สิว่าคำหวานของเจ้าเชื่อถือได้ เพราะตอนนี้ที่ข้าเห็นคือเจ้าแค่ต้องการให้ข้าส่งกลับเพียงเพราะตนเองมิได้อยากอยู่ที่นี่” ดวงตาสีนิลกาฬวาวโรจน์ขึ้นมาจนดูน่ากลัว
“...” ริมฝีปากบางเม้มแน่นเป็นเส้นตรง
“หึ เจ้าเป็นสตรีที่เจ้าเล่ห์น้อยกว่าคนข้างนอกนัก อย่าคิดว่าข้าจะตามไม่ทันเลย” คนด้านนอกที่ว่าคงไม่พ้นพระสนมซูเฟยผู้เป็นมารดาของเขา ในขณะที่เหม่ยหลิงกำลังคิดหาทางออกมากมาย คนตรงหน้าก็ส่งแรงกดดันมาให้ไม่หยุดหย่อน
‘ไม่รู้ด้วยแล้ว!’
“ขออภัยนะเพคะ” คนตัวเล็กพูดก่อนที่จะดึงร่างสูงเข้ามาใกล้และแนบริมฝีปากลงไปอย่างรวดเร็ว นางหลับตาแน่นเพราะไม่อยากรับรู้อะไรอีก กลีบปากนุ่มแนบสนิทไปยังริมฝีปากหนาของคนตัวโต ขณะที่กำลังจะถอนตัวออกวงแขนกว้างซึ่งยันผนังไว้ก็โอบรัดเอวบางให้แนบชิดพร้อมทั้งบดริมฝีปากลงมาอย่างดุดันจนร่างบางชนกับผนังอีกครั้ง
“อื้อ!” โฉมสะคราญร้องประท้วงเมื่อถูกช่วงชิงอากาศไปจนหมด แทนที่เขาจะพอกลับยิ่งรุกล้ำหนักหน่วงมากกว่าเดิม เหม่ยหลิงพลาดท่าเปิดช่องให้ลิ้นร้อนแทรกเข้ามาได้ จุมพิตที่เรียนจากแม่สื่อมากับความเป็นจริงตรงหน้าเทียบกันไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
“อื้ม!”
สองมือนุ่มที่เคยประคองใบหน้าของรุ่ยอ๋องเลื่อนมาทุบอกกำยำสองสามทีให้เขายอมปล่อย ไฉนกลับยิ่งเพิ่มความร้อนแรงมากกว่าเดิมก็มิอาจทราบได้ โพรงปากหวานถูกบุกรุกและตีตราจนไม่มีพื้นที่ใดที่เจ้าตัวไม่สัมผัสผ่าน นางตามเขาไม่ทันแล้ว...
“รุ่ยอ๋อง….” เสียงหวานประท้วงอ้อยอิ่ง หญิงสาวได้ช่องหายใจเพียงครู่ก่อนที่ใบหน้าเย็นชาจะเผยรอยยิ้มมุมปาก
“เห็นแก่ความหวานที่สมกับวาจาหรอกนะ วันนี้จะไว้ชีวิตเจ้าไปก่อน” คำพูดกับการกระทำของเขาสวนทางกันอย่างสิ้นเชิง ปากบอกจะไว้ชีวิต แต่ริมฝีปากหนักที่แนบลงมาดุดันเกินทานทนไหว
หลายอึดใจกว่าริมฝีปากน้อยจะหลุดพ้นจากชายตรงหน้า ทันทีที่ไห่เทาปล่อยให้นางเป็นอิสระ ร่างบางแทบล้มลงกับพื้นยังดีที่ถูกมือสากดึงเข้าหาและช้อนตัวขึ้นมาในวงแขนแกร่งเสียก่อน
“แฮ่ก แฮ่ก” คนตัวเล็กหอบถี่อยู่ได้สักพักสติของนางก็เลือนรางหายไป
“ถือเสียว่าเป็นบทเรียนให้กระต่ายน้อยเช่นเจ้ารู้สถานะของตนเอง” เขากล่าวพลางวางร่างบางลงบนเตียงนุ่ม มืออีกข้างดึงเอามีดสั้นด้านหลังของนางออก ไห่เทาเห็นตั้งแต่แรกแล้วว่านางซ่อนสิ่งใดไว้ ที่ยั่วยุไปเมื่อครู่ก็คิดว่านางจะใช้มันเสียอีก เป็นบุตรีของแม่ทัพอี้ทั้งทีจะมายอมให้เขารังแกได้อย่างไรถึงแม้ตนจะมีศักดิ์เป็นสามีก็ตาม เป็นไปได้ว่ากลางดึกนางอาจลุกมาแทงเขาก็ได้ใครจะรู้ กระนั้นชายหนุ่มก็โยนมันทิ้งไว้แถวๆ หัวเตียงอย่างไม่สนใจเท่าไหร่นัก
“…” เขามองใบหน้าสวยละมุนของคนด้านข้างครู่หนึ่งก่อนทิ้งกายลงข้างกันแล้วหลับตา
เสียงนกร้องพร้อมทั้งอุณหภูมิที่อุ่นขึ้นปลุกร่างบางบนเตียงกว้าง อี้เหม่ยหลิงรู้สึกตัวจึงรีบลุกขึ้นทันที สมองน้อยๆ จำเรื่องก่อนที่จะหมดสติไปได้ ดวงตากลมสวยกวาดมองรอบด้านมีเพียงความว่างเปล่าเท่านั้นไร้เงาของรุ่ยอ๋องซึ่งเป็นเรื่องที่ดีมากแล้ว ข้างเตียงยังคงอุ่นอยู่เป็นไปได้ว่าอีกฝ่ายคงเพิ่งลุกไป นอนร่วมเตียงกับเขาคืนนึงแล้วยังมีลมหายใจอยู่นางต้องใช้ผลบุญที่สั่งสมมาเท่าใดกันนะ ไม่อยากจะคิดเลยว่าคืนนี้ยังจะรอดอยู่อีกไหม
ใช้ชีวิตวันต่อวันจริงๆ…..