“หม่อมฉันต่างหากเพคะที่เสียมารยาท ไม่รู้ว่าทรงเดินทางมาด้วยกัน ขอเสด็จแม่ทรงอภัยในความโง่เขลาของหลิงเอ๋อร์ด้วย” อี้เหม่ยหลิงปรับสีหน้าเป็นสดใส อย่างไรเสียหากหลีกเลี่ยงงานสมรสนี้ไม่ได้ ก็ควรผูกมิตรเพิ่มอย่าได้สร้างศัตรู
“เรื่องนี้ว่าเจ้าไม่ได้ ข้าเองก็ไม่คิดจะเปิดเผยตัวเหมือนกัน” นางคลี่ยิ้มอ่อนหวานก่อนหันไปถามองครักษ์ที่ประจำอยู่ยังตำหนักเฟิงซาน
“รุ่ยอ๋องไปไหนเสียเล่า”
“เกิดการปะทะที่ชายแดน ท่านอ๋องทรงเดินทางไปปราบด้วยตนเองพ่ะย่ะค่ะ”
“งั้นรึ เช่นนั้นก็ว่าเขาไม่ได้แต่คงต้องโทษเหล่าทหารที่ไม่มีความสามารถมากพอรุ่ยอ๋องถึงต้องเสด็จไปปราบศัตรูด้วยองค์เอง คงต้องกราบทูลให้ฮ่องเต้ทราบแล้วกระมัง” ริมฝีปากสีสดเอ่ยคำพูดน่ากลัวออกมาโดยที่สีหน้ายังคงยิ้มแย้มไม่เปลี่ยน
“พระสนมทรงเมตตาด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!” คนของรุ่ยอ๋องทั้งหมดก้มศีรษะขอความกรุณา หากฝ่าบาททราบเรื่องตามเจตนาที่พระสนมบอก มีหวังพวกเขาคงต้องรับโทษกันไม่หวาดไม่ไหวเป็นแน่
“ข้าก็พูดไปเรื่อยพวกเจ้าอย่าใส่ใจเลย ช่างเรื่องนั้นเถอะ ที่พักของพระชายาไปถึงไหนแล้ว”
“เอ่อ...” องครักษ์หน้าซีดทันที ดูแล้วพวกเขาคงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าวันนี้อี้เหม่ยหลิงจะเดินทางมา เผลอๆ เรื่องราชโองการสมรสพระราชทานเองก็คงไม่รู้เช่นกัน
“ขนสัมภาระของพระชายาเข้าไปเก็บในห้องของรุ่ยอ๋องได้เลย” ร่างบางหันไปออกคำสั่ง
“พะ พระสนมพ่ะย่ะค่ะ” เหล่าคนด้านในรั้งการกระทำของพระสนมเหอด้วยสีหน้าวิตกอย่างหนัก
“ข้ากำลังช่วยพวกเจ้าแก้ปัญหาอยู่นะ เวลานี้ไม่มีใครเตรียมพร้อมสักอย่างเท่ากับขัดราชโองการของฝ่าบาท ไม่ตายตอนนี้นับว่าดีถมเถแล้ว” เพียงเท่านั้นทุกคนต่างรีบกุลีกุจอจัดการตามรับสั่งทันที
“ขอบพระทัยเสด็จแม่ที่เป็นห่วงหม่อมฉันนะเพคะ เพียงแต่หลิงเอ๋อร์ยังมิได้เข้าพิธีวิวาห์หากอยู่ร่วมชายคาเดียวกับพระสวามีอาจขัดกับธรรมเนียมปฏิบัติได้ ตำหนักเฟิงซานแห่งนี้ยิ่งใหญ่กว้างขวาง หม่อมฉันพักห้องอื่นดีกว่าเพคะ” เหม่ยหลิงยิ้มให้ทั้งที่ในใจอยากร้องไห้ใจจะขาด
นางจำต้องยกเรื่องขนบธรรมเนียมโบราณมาอ้าง อย่างที่รู้ว่าการไร้งานแต่งก็มิต่างกับหยามเกียรติสตรีต่อให้ทั้งสองมีราชโองการสมรสพระราชทานเป็นหลักประกันก็ตาม ตอนนี้ตัวนางก็ไม่สวมผ้าคลุมและทำตัวเปิดเผยไม่สนใจเกียรติของสามีเหมือนกัน เหม่ยหลิงมีคติว่าดีมาดีกลับ แข็งมาแข็งกลับ
“เจ้าอย่าคิดเล็กคิดน้อยเลยหลิงเอ๋อร์” นางกล่าวพร้อมทั้งจัดแจงเรื่องต่างๆ ด้วยตนเองทั้งหมด
‘ไม่ให้คิดเล็กน้อยยังไงไหว แค่แต่งงานกับชายที่ไม่มีเรื่องดีๆ ให้เล่าขานไม่พอยังต้องมาอยู่ร่วมห้องกันอีก!’ บุตรีท่านแม่ทัพทำได้เพียงกรีดร้องในใจ
มื้อค่ำผ่านไปด้วยความเรียบง่ายโดยไร้เงาของรุ่ยอ๋อง แม้อี้เหม่ยหลิงจะทำเหมือนมีความสุขดีกับชีวิตใหม่ที่นี่แต่แท้จริงแล้วอาหารที่กลืนลงคอไปนั้นน้อยมาก หญิงสาวทนกินไปเพื่อไม่ให้มีปัญหากับพระสนมเหอซึ่งคอยจ้องมองการกระทำทุกอย่างของนางราวกับเป็นนักโทษ
ค่ำคืนที่ควรใช้เวลาร่วมกันกระนั้นผู้ที่ได้ชื่อว่าพระสวามีกลับหายหัว ถ้ายกเอาราชโองการมาอ้าง อ๋องท่านนี้สมควรถูกลงโทษคนแรก ส่วนเหม่ยหลิงทำได้เพียงดีใจกับค่ำคืนแสนสงบสุขเงียบๆ
ยามห้าย (21.00 – 22.59 น.)
ทั้งสองพูดคุยกันตามมารยาทก่อนแยกย้ายเข้าที่พัก ตำหนักแห่งนี้มิได้มีบ่าวรับใช้มากมาย ส่วนมากเป็นองครักษ์และทหารทั้งสิ้น ถึงจะเรียกว่าตำหนักแต่ก็ไม่ได้ใหญ่โตหรูหราอะไร ออกจะเรียบง่ายและเน้นใช้งานมากกว่า ก่อนหน้าที่รุ่ยอ๋องจะเข้ามาอยู่ก็มิมีผู้ใดเคยใช้มานานแล้วจึงดูล้าสมัยไปไม่น้อย
“ห้องนี้เป็นห้องของท่านอ๋องเพคะพระชายา” บ่าวรับใช้นางหนึ่งที่เดินนำทางมาเอ่ยขึ้น
“ไม่มีห้องอื่นให้ข้าพักแล้วจริงๆ งั้นหรือ”
“เรื่องนี้บ่าวไม่สามารถขัดรับสั่งของพระสนมได้เพคะ” คำตอบของนางทำให้เหม่ยหลิงถอนหายใจยาว
“เข้าใจแล้ว เจ้าไปเถอะ”
“เพคะพระชายา” หญิงสาวโค้งศีรษะทำความเคารพจากนั้นจึงออกไปจากตำหนัก
เหม่ยหลิงเดินเข้าไปด้านในพื้นที่ส่วนตัวของรุ่ยอ๋อง นางมิได้มีสิ่งใดติดตัวมากมายจึงไม่ได้ระเกะระกะห้องอีกฝ่ายนัก ข้าวของส่วนใหญ่เป็นสินเดิมส่วนหนึ่ง ละอีกส่วนคือสมบัติพระราชทานจากฮ่องเต้ที่นางยังไม่มีอารมณ์จะเปิดดูตอนนี้ เมื่อวันก่อนนางยังเป็นเพียงผู้หญิงธรรมดาอยู่เลย มาวันนี้ต้องตบแต่งเข้าเป็นพระชายากับชายที่ไม่เคยแม้แต่จะเห็นหน้า ชีวิตหลังจากนี้จะเป็นเช่นไรต่อไม่อยากจินตนาการเลยจริงๆ
คนตัวเล็กเดินสำรวจรอบด้านเพื่อหาที่ทางหลับนอน นางมองเตียงไม้ซึ่งปูด้วยฟูกนุ่มกับตั่งตัวยาวอีกฝั่ง ไม่ต้องคิดเลยว่าควรเลือกซุกหัวนอนตรงไหน
แอ๊ดดดด
ขณะที่กำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อยประตูห้องก็เปิดออก เหม่ยหลิงถอยห่างจากประตูเพราะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร ในใจคาดเดาได้ว่าคนที่เข้ามาโดยไม่เคาะประตูมีเพียงผู้มีสิทธิ์เด็ดขาดในที่แห่งนี้ซึ่งไม่จำเป็นต้องได้รับอนุญาตจากนางก่อน
“....” ในห้องตกอยู่ในความเงียบ อีกฝ่ายคือบุรุษที่มีใบหน้าหล่อเหลา ดวงตาเรียวยาวรับกับใบหน้าคมชัดให้ความรู้สึกหยิ่งยโสไม่เบา จมูก ปากทั้งหมดวางตัวในตำแหน่งที่เหมาะสม เส้นผมสีดำสนิทรวบเก็บไว้บนกวานเงินที่ศีรษะ ร่างกายสูงใหญ่จนเหม่ยหลิงต้องเงยหน้าสบสายตาคู่นั้น ไม่ว่าจะมองมุมใดก็นับได้ว่าไร้ที่ติ มีเพียงกลิ่นคาวเลือดบนร่างกายของเขาที่ยังมิได้ชำระออกทำให้นางเคลื่อนตัวออกห่างตามสัญชาตญาณ
“เจ้า...” ริมฝีปากหยักได้รูปกำลังจะกล่าววาจาออกมาแต่ถูกขัดไว้ด้วยคำพูดของสตรีด้านหลังเสียก่อน
“นางคืออี้เหม่ยหลิง บุตรีของแม่ทัพอี้ เรียกง่ายๆ ก็พระชายาของเจ้า ไปอาบน้ำให้เรียบร้อยแล้วค่อยมาคุยกัน” พระสนมซูเฟยเอ่ยพร้อมโบกพัดในมือคล้ายไม่ชอบกลิ่นโลหิตที่ติดตัวบุตรชาย
“ท่านมาที่นี่ทำไม” บุรุษผู้นั้นหันไปประสานสายตากับสตรีสูงศักดิ์ด้วยท่าทางไม่เกรงกลัว ชายหนุ่มคนนี้คือรุ่ยอ๋องพระสวามีของนางนั่นเอง
“ข้ามาทำไมไม่สำคัญเท่าที่เจ้าหายไปไหนมาหรอก”
“…” ชายหนุ่มหันกลับมาสบตาหญิงสาวด้านใน แววตาแข็งกร้าวของเชื้อพระวงศ์หนุ่มทำเอาอากาศเย็นสบายร้อนระอุขึ้นมา แต่ไม่รู้ทำไมเหม่ยหลิงกลับจับจ้องอย่างไม่วางตาจนเขาเป็นฝ่ายผละออกไปและเดินเข้าห้องอาบน้ำด้านหลังหอนอนโดยที่ไม่ได้กล่าวสิ่งใด
“เก่งนะ” เสียงหวานเอ่ยชมดึงหญิงสาวออกจากภวังค์
“เจ้าน่ะจ้องตาโดยที่ไม่หวาดกลัวเลย 18 ปี ตั้งแต่ข้าให้กำเนิดเขามามีเจ้าเป็นคนแรก”
“เอ่อ…เสด็จแม่” คนถูกชมยกมือสองข้างออกมาจากแขนเสื้อยาวให้พระสนมเห็นทำเอานางหัวเราะลั่นจนตัวงอเพราะสองมือน้อยกำลังสั่นเทาอย่างรุนแรงเลยเชียว เมื่อครู่ที่นางมองเขานานเกินงามขนาดนั้นเพราะตัวแข็งจนเกือบหยุดหายใจไปแล้วต่างหาก
“ข้าล่ะชอบเจ้าจริงๆ บอกเขาว่าข้าง่วงแล้วและพรุ่งนี้จะมาคุยใหม่ หากยังหลบหน้า ข้าจะไม่กลับวังหลวงเด็ดขาด ราตรีสวัสดิ์หลิงเอ๋อร์” นางทำเป็นหาวสองสามทีก่อนเดินกลับไปทิ้งเอาไว้เพียงอี้เหม่ยหลิงที่ทำอะไรไม่ถูก
“เสด็จแม่เพคะ!”
เสียงเรียกเว้าวอนไม่ได้ทำให้พระสนมหันกลับมาแม้แต่น้อย