“เจ้าไม่ใช่คนโง่หลิงเอ๋อร์ อย่าให้พวกเขาจับได้ก็พอ หาจังหวะดีๆ ลงมือแล้วหนีมา เราจะคอยช่วยเจ้าเสมอ ต่อให้เจ้ามิอาจใช้ชีวิตอย่างเปิดเผยต่อไปได้ เราก็ยังเป็นครอบครัวเดียวกัน” หญิงวัยกลางคนพูดด้วยท่าทางจริงจัง คำพูดนี้มีเพียงพวกเขาสามคนเท่านั้นที่ได้ยิน แผนการลอบสังหารและหนีกลับมาเป็นความลับเพราะจากมุมมองของคนรอบด้านพวกเขาเพียงแค่บอกลากันครั้งสุดท้ายทั้งน้ำตาเท่านั้น
“ลูกเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ” สตรีทั้งสองกอดกันแน่น พวกนางไม่เคยพรากจากกันมาก่อน แม้รู้ดีว่าวันนี้ย่อมมาถึงแต่ก็เร็วเกินกว่าจะทำใจ
“ท่านพ่อ ลูกไปก่อนนะเจ้าคะ ฝากลาท่านพี่ด้วย” เวลานี้อี้ซีหยางติดภารกิจทางเหนือ กว่าข่าวเรื่องการสมรสพระราชทานจะไปถึง นางคงเข้าพิธีกราบไหว้ฟ้าดินกับรุ่ยอ๋องไปแล้ว เขาเป็นคนอารมณ์ร้อนนางจึงค่อนข้างเป็นห่วง
“อืม รักษาตัวด้วย” แม่ทัพอี้รับคำ
“ลูกไม่บอกลาหรอกนะเจ้าคะ เพราะลูกจะกลับมาพบพวกท่านให้ได้” เหม่ยหลิงตอบด้วยรอยยิ้ม นางเป็นเด็กที่เข้มแข็งมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ทั้งที่ต้องไปแต่งงานกับชายชั่วช้าผู้มีแต่คำครหา นางก็ยังคงบอกว่าจะไปเพราะไม่ต้องการให้ครอบครัวลำบากใจ
อี้หลี่เฉียง เป็นทั้งเจ้าตระกูลและแม่ทัพที่สร้างผลงานมากมายในสนามรบ เก่งกาจทั้งบู้บุ๋นแต่เขารู้ซึ้งแล้วว่าความสามารถและความดีความชอบที่ผ่านมาไร้ค่ายิ่งนัก แค่ลูกสาวคนเดียวก็มิอาจให้นางเลือกทางเดินของตนเองได้
เขามองดูบุตรีด้วยแววตานิ่งสงบจนกระทั่งรถม้าของนางเคลื่อนห่างไปไกลสุดสายตา
“ฟูเหริน ขะ…ข้า” แม่ทัพอี้เสียงกล่าวสั่น วินาทีนี้เจ็บปวดเสียยิ่งกว่าตอนที่ต้องจากไปสนามรบและฟาดฟันกับศัตรูโดยที่ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตรอดกลับมาได้หรือไม่ แม้ตนจะไม่เคยร่วมศึกกับรุ่ยอ๋องแต่ชื่อเสียงของเชื้อพระวงศ์หนุ่มไม่มีเรื่องดีอยู่เลย หากมิใช่ราชโองการเขาไม่มีทางยอมให้บุตรสาวไปตบแต่งกับชายผู้นั้นเด็ดขาด
“นางรับมือได้เจ้าค่ะ ท่านพี่อย่าห่วงไปเลย เขาอาจเป็นคนป่าเถื่อนที่ฆ่าคนเป็นผักปลา ทำเรื่องไม่เข้าท่ามากมายแต่ไร้ข่าวลือเรื่องสตรี ใครจะรู้เล่าท่านอ๋องอาจเป็นเพียงชายที่ไม่ประสีประสาเรื่องผู้หญิงก็ได้เจ้าค่ะ” ฮูหยินอี้เอื้อมไปยังมือสากอันสั่นเทา หยาดน้ำตาของบุรุษผู้แข็งแกร่งกว่าใครร่วงเผาะทันทีที่มั่นใจว่าบุตรสาวจะไม่เห็นทำเอาจินผิงน้ำตาแห้งไปเลย อารมณ์และสติสัมปชัญญะที่ขาดหายของฮูหยินวิ่งกลับเข้าร่างอย่างรวดเร็ว
“เจ้าคิดแง่ดีเกินไปแล้ว พี่ว่าส่งคนไปรอช่วยเหลือนางที่ฉาเฟิงเถอะ” แม่ทัพอี้หมุนตัวกลับเข้าไปด้านในจวนเตรียมออกคำสั่ง
“ท่านพี่ เรื่องนี้จำเป็นต้องรอบคอบนะเจ้าคะ มิเช่นนั้นเราจะมีโทษกบฏได้!” นางปวดหัวกับบิดาหวงบุตรผู้เป็นสามีตนเหลือเกิน ลูกก้าวเท้าออกจากบ้านไปไม่ถึงหนึ่งเค่อ (15 นาที) ด้วยซ้ำ
“เจ้าอย่าห้ามพี่เลยฟูเหริน” ดวงตาเรียบเฉยของหลี่เฉียงมองมาที่ภรรยาหวังให้นางเข้าใจ
“เปล่าเลยเจ้าค่ะ สองหัวดีกว่าหัวเดียว ข้าจะช่วยเอง” อย่างไรเสียจะให้เขาติดสินใจเองอาจเป็นเรื่องใหญ่โตได้ สู้ให้นางช่วยคิดคงดีกว่า
“นั่นสินะ” หลี่เฉียงยิ้มออกในที่สุด ภรรยาของเขาตั้งแต่แต่งงานกันมานางคอยส่งเสริมและช่วยเหลือเสมอ เหตุนี้หลี่เฉียงจึงอยากให้ลูกๆ ได้เจอคนรักที่ดีเช่นเดียวกับตน
เมืองฉาเฟิง
หลังจากเดินทางมาได้สามวันสามคืน รถม้าของเจ้าสาวสกุลอี้ก็ถูกนำมาส่งยังตำหนักเฟิงซานอย่างปลอดภัย ที่แห่งนี้สมแล้วจริงๆ ที่ได้สมญานามว่า ยอดเขาเฟิง ทีแรกนางเข้าใจว่ายอดเขาแห่งนี้ตั้งตระหง่านสูงเทียมฟ้าจึงได้นามของ ‘เฟิง’ ที่หมายถึงลม ไฉนเลยเมื่อเห็นด้วยตาจึงเข้าใจได้ว่าหมายถึงต้นเฟิง ใบไม้สีส้มแดงสวยสลับไปมาเบ่งบานงดงามทั่วทั้งเขา กลีบใบของต้นเฟิงร่วงหล่นตามแรงลม ฝ่ามือน้อยยื่นออกไปรับไว้พลางคิดว่าช่างเป็นความงามที่น่าเศร้าเหลือเกินเพราะต้องโรยราจึงงดงาม แยกจากกิ่งก้านเพื่อจะได้ตราตรึงใจใครสักคนให้เหลียวแล
หน้าประตูตำหนักใหญ่เงียบสนิทไม่มีบ่าวรับใช้หรือผู้ใดออกมาต้อนรับ เมื่อเห็นว่าเงียบไปนานสตรีร่างบางในอาภรณ์สีอ่อนจึงเยื้องกายลงมาจากรถม้า มือขาวราวกับหยกเนื้อดีเปล่งปลั่งส่องประกายโผล่พ้นชายเสื้อ ใบหน้าพริ้มเพราแม้มิได้มีรอยยิ้มประดับแต่กลับงดงามยิ่งกว่าภาพวาดทำเอาคนโดยรอบมองค้างจนลืมที่จะถวายคำนับ นางยกมือรับอย่างไม่ถือสาก่อนเดินเข้าไปหาองครักษ์ที่ถูกส่งมาอารักขาจากวังหลวง เขากำลังเจรจากับคนของรุ่ยอ๋องแต่มีเพียงคำขอโทษลอยมาเข้าหู เห็นทีงานแต่งนี้คงล่มแล้วกระมัง
“เกรงว่ารุ่ยอ๋องจะติดธุระ หากบุกเข้าไปอาจมีโทษหนัก แบบนี้คงเลี่ยงที่จะเดินทางกลับไม่ได้กระมังเจ้าคะ” แม้มีสถานะสูงกว่าคนในที่นี้เหม่ยหลิงกลับใช้คำพูดอ่อนน้อมราวกับเป็นผู้น้อยจนสร้างความลำบากใจให้เหล่าองครักษ์ได้
ยิ่งกว่านั้นดูแล้วคงไม่ได้ตบแต่งตามธรรมเนียม นางจึงไม่จำเป็นต้องสวมผ้าคลุมปิดบังใบหน้าอะไร หากไม่มีราชโองการรัดคอสกุลอี้นางคงไม่ลำบากมาถึงที่นี่เหมือนกัน
ท่ามกลางความอึดอัดทั้งจากบุตรีแม่ทัพและคนของรุ่ยอ๋อง เหล่าราชองครักษ์ได้รับคำสั่งเพียงแค่มาส่งว่าที่เจ้าสาว พวกเขามิอาจตัดสินใจเรื่องใดซึ่งอยู่นอกเหนืออำนาจของตนได้ เวลานั้นประตูรถม้าคันแรกก็เปิดออก
“ตายจริง ทั้งที่ส่งจดหมายล่วงหน้ามาตั้งหลายครั้งแล้วแท้ๆ” เสียงหวานกังวานใสดังมาจากด้านหน้ารถม้า พร้อมกันนั้นทุกคนพลันยอบตัวลงทำความเคารพทันที
เหม่ยหลิงหันกลับไปมองก็พบว่าเป็นสตรีผู้งดงามเกินกว่าจะหาใดเปรียบ ชาดสีสดที่ริมฝีปากตัดกับผิวขาวราวหิมะ ดวงตาคู่เรียวชี้ขึ้นเล็กน้อย ใบหน้าหวานสวยในอาภรณ์สีครามเข้มสลับอ่อน แขนขาเรียวเล็กทำให้รู้สึกบอบบางน่าทะนุถนอม นางคือพระสนมซูเฟยนาม เหอเจียอี บุตรีเพียงคนเดียวของตระกูลเหอ
ว่ากันว่านางคือหญิงสาวที่เฉลียวฉลาด เด็ดขาดและน่ากลัวจนฮ่องเต้ต้องเป็นคนขอให้นางมาอยู่ข้างกายเพื่อกันไว้มิให้เกิดคู่ต่อสู้ที่ยากจะต่อกรในภายภาคหน้า
“ถวายบังคมพระสนมซูเฟยพ่ะย่ะค่ะ!” หัวหน้าองครักษ์กล่าวพร้อมทั้งก้มศีรษะทำให้คนที่เหลือรีบคำนับกันอย่างพร้อมเพรียง
“ถวายบังคมพระสนมซูเฟยเพคะ” อี้เหม่ยหลิงรีบก้มตัวลงทำความเคารพทันที หาได้ยากที่คนสำคัญของวังหลวงจะเดินทางออกมาข้างนอก การกระทำของนางอยู่นอกเหนือสามัญสำนึกของคนปกติทำให้เหม่ยหลิงคาดไม่ถึง อย่างว่าอิทธิพลของตระกูลเหอมีไม่น้อย พระสนมถึงได้ทำตามอำเภอใจได้โดยไม่สนใครหรือธรรมเนียมปฏิบัติใด
“พระสนมที่ไหนหลิงเอ๋อร์ เรียกเสด็จแม่สิ” สตรีเบื้องหน้าหันมายิ้มให้ลูกสะใภ้ก่อนเรียกให้นางเดินตามเข้าไปยังด้านในของตำหนักเฟิงซาน
“เดินทางเหนื่อยหรือไม่ ต้องมาเห็นการต้อนรับเช่นนี้คงสะเทือนใจไม่น้อยเลยล่ะสิ ผิดที่ข้าเลี้ยงลูกมาไม่ดี รุ่ยอ๋องถึงได้ไม่รู้ว่าสิ่งใดควรไม่ควร” เหอเจียอีกล่าวพร้อมคลี่พัดในมือขึ้นโบกเบาๆ