ยามจื่อ (23.00 – 00.59 น.)
ร่างเล็กเริ่มได้สติก็บิดกายเล็กน้อยตามความเคยชิน วันนี้ไม่เหมือนทุกวันราวกับเหม่ยหลิงฝันเรื่องพิสดารอะไรมากมายไปหมด
“อยู่นิ่งๆ” เสียงไม่คุ้นหูดังขึ้นมาในความฝันพร้อมกับสองแขนเล็กที่ถูกรวบจับไว้แน่น จมูกได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ของมวลบุปผาที่มาจากน้ำอาบทำเอาต้องลืมตาดู แพขนตายาวที่ซุกซ่อนดวงเนตรสุขสกาวเอาไว้ค่อยๆ ปรือขึ้น ความมืดรอบด้านทำให้สายตาของหญิงสาวยังปรับสภาพไม่ทันจนต้องกะพริบตาหลายหน ใบหน้าหล่อเหลาและแววตาเย็นชาดุจดั่งน้ำแข็งสะท้อนให้เห็นในระยะประชิด
‘รุ่ยอ๋อง!’
“เจ้าควรจะชินกับหน้าข้าเสียที” ไห่เทาดุเมื่อเห็นเหม่ยหลิงจ้องมองมาอย่างตกใจก่อนที่นางจะขยับหนีออกไปจนเขาต้องคว้าเอวคอดเอาไว้ก่อนที่อีกฝ่ายจะตกเตียง
มือเย็นจับส่วนเว้าโค้งเสียแน่น สัมผัสแนบเนื้อสะกิดใจเจ้าของร่างจึงรีบก้มดูตนเอง ทำให้พบว่าบนเรือนกายอ้อนแอ้นเสื้อผ้าสักชิ้นก็ไม่มี สติที่เดิมทีก็มีน้อยอยู่แล้วหดหายไปมากกว่าเดิม
“ปะ...ปล่อยข้านะ โอ๊ย!” คนตัวเล็กหยุดดิ้นทันทีที่รู้สึกถึงความเจ็บปวดตรงแผ่นหลัง นางตกใจกับคนตรงหน้าไปหน่อยจึงเผลอใช้สรรพนามแทนตัวไม่สุภาพออกไปโดยไม่ตั้งใจ
“นอนดีๆ แล้วหยุดสร้างปัญหาให้ข้าเพิ่มเสียที” ลมหายใจร้อนพ่นผ่านศีรษะทุยไป วงแขนและร่างกายกำยำทุกสัดส่วนกอดร่างบางเอาไว้ต่างหมอนข้าง
“เห็นรึเปล่าเพคะ...ร่างกายของหม่อมฉัน” เสียงหวานพึมพำถามบนอกกว้าง
“เห็น” เขาตอบสั้นๆ
“แล้วยังอยากจะให้หม่อมฉันอยู่ร่วมเตียงแบบนี้หรือเพคะ” ผู้หญิงถูกตีค่าด้วยความงาม การมีบาดแผลจึงนับเป็นตำหนิร้ายแรง แม้เพียงน้อยก็ด้อยค่าสตรีไปได้มาก ที่ผ่านมาอี้เหม่ยหลิงต้องผ่านการฝึกกระบี่เพื่อป้องกันตัวจากผู้ไม่หวังดี ตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่เคยเกิดเรื่องลอบทำร้ายนับครั้งไม่ถ้วน ร่างกายของนางจึงเต็มไปด้วยบาดแผลไม่น่าดูมากมาย
“...” ไห่เทาไม่ตอบอะไรเพียงแต่กระชับวงแขนให้แน่นกว่าเดิม การกระทำของเขาทำให้คนตัวเล็กสงสัยและไม่เข้าใจถึงเจตนา มือบางลองสวมกอดเขากลับบ้างเพื่อดูว่าเจ้าตัวจะว่าเช่นไร มีเพียงความเงียบเท่านั้นที่เป็นคำตอบ
‘แบบนี้คงอนุญาตแล้วกระมัง’ ใบหน้าหวานแนบลงบนแผงอกของพระสวามี คืนนี้มีเสียงหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะเดียวกันกล่อมนอน
ยามเช้ามาถึงน่าแปลกที่อี้เหม่ยหลิงได้เห็นใบหน้าของบุรุษคนเดียวกันกับเมื่อคืน เขาตื่นก่อนและจ้องนางไม่วางตาสักพักใหญ่ หลังจากใคร่ครวญแล้วจึงเป็นฝ่ายเปิดปากก่อน
“อรุณสวัสดิ์เพคะ” ไม่รู้ว่าคำทักทายนี้ถูกต้องหรือไม่สีหน้าของอีกฝ่ายถึงได้ยังเรียบนิ่งไม่เปลี่ยนแปลง
“มีคนรอพบเจ้าอยู่ แต่ถ้าไม่ต้องการก็แค่แจ้งนางไป” ดวงตาคมดุหรี่ลงเล็กน้อยคล้ายเหนื่อยหน่าย
“…” คิ้วเรียวเรียงเส้นสวยขมวดเป็นปมด้วยความสงสัย ไห่เทาลุกออกจากเตียงไปโดยที่มิได้แจ้งอะไรเพิ่ม ไม่นานเขาก็กลับมาพร้อมเสื้อคลุมหนึ่งตัว เหม่ยหลิงรับไว้ก่อนที่ชายหนุ่มจะเปิดประตูบานใหญ่เดินออกไป จังหวะนั้นทำให้นางได้เห็นว่าแท้จริงแล้วคนที่รออยู่ก็คือ เหอเจียอีนั่นเอง
“ทำไมถึงยืนรออยู่ตรงนี้ล่ะเพคะ” คนตัวเล็กสวมเสื้อก่อนเดินลงจากเตียงไปยังประตูหอนอนของรุ่ยอ๋อง
“เมื่อวานเจ้าเจ็บตัวเพราะข้า แทนที่ข้าจะเป็นห่วงกลับทำตัวไม่สมเป็นผู้ใหญ่ ผิดต่อเจ้าแล้วหลิงเอ๋อร์” เสียงหวานกล่าวด้วยความสุภาพต่างจากทุกที
สำหรับเหอเจียอีแล้วนางถูกเลี้ยงดูมาด้วยอำนาจและเงินทองไม่แปลกที่จะมองเรื่องทุกอย่างเป็นเพียงเรื่องสนุก
ตระกูลเหอมีต้นสายเลือดมาจากหนึ่งในผู้ก่อตั้งแคว้นหมิง ไร้สถานะทางการเมืองแต่มีกำลังทหารมากมายคอยหนุนหลังราชบัลลังก์ รับคำสั่งโดยตรงจากฮ่องเต้ทำภารกิจที่เกินกำลังของทหารเพื่อความยุติธรรม นานวันเข้าก็มีการค้าขาย ขนถ่ายสินค้าจากแม่น้ำใหญ่มายังแคว้นหมิง สร้างโครงข่ายที่มากกว่าการรับใช้บัลลังก์มังกรและยังนำเงินเข้ามาให้แคว้นอีกด้วย เพียงแต่การกระทำเหล่านั้นล้วนมีผู้รู้เพียงน้อยนิด ส่วนหนึ่งเพราะพวกเขาไร้ความปรารถนาในเกียรติยศและต้องการอยู่ให้เงียบที่สุดดังเช่นที่ผ่านมาจนสามารถเรียกได้ว่าเป็นเงาที่แท้จริงของราชสำนัก
“หม่อมฉันจะโกรธเสด็จแม่ได้อย่างไรเพคะ” อีกฝ่ายฐานะสูงส่งมิหนำซ้ำยังเป็นมารดาของพระสวามี นางจะกล้าโกรธเคืองหรือ
“เจ้าอยากพักหรือไม่” ซูเฟยมองด้วยความเป็นห่วง
“อยาก เช่นนั้นท่านก็กลับออกไปได้แล้ว” คำพูดนี้หาใช่มาจากปากของเหม่ยหลิงแต่เป็นชายหนุ่มด้านหลังต่างหาก
“ไห่เทา!” ผู้เป็นมารดาสวนกลับด้วยน้ำเสียงแกมดุ
“เห็นแล้วนี่ว่านางไม่เป็นอะไร ท่านก็ไปพักได้แล้ว” เขาพูดพลางปิดประตูหออรุณรุ่งใส่พระมารดาเสียอย่างนั้น
“เหตุใดถึงรีบไล่ให้นางกลับไปงั้นหรือเพคะ” คนข้างกายทักอย่างไม่เข้าใจ
“ข้าไม่มีความจำเป็นต้องตอบคำถามของเจ้า” ร่างสูงตอบก่อนจะลากนางกลับไปที่เตียงดังเดิม
“ถ้าเป็นห่วงมิสู้บอกไปตามตรงเลยจะไม่ดีกว่าหรือเพคะ” อาภรณ์ของพระสนมเหอเป็นตัวเดียวกับเมื่อวานไม่ผิด สภาพก็อิดโรยคล้ายคนที่ไม่ได้นอนมาทั้งคืน
“หาใช่กงการอะไรของเจ้า สนใจแต่ตัวเองก็พอ ถอดเสื้อออก” สายตาคมเข้มทอดมองคู่สนทนาด้วยใบหน้าที่ไม่เปลี่ยนแม้ตนจะพูดจาชวนเข้าใจผิดก็ตาม
“ถะ ถอดทำไมเพคะ” คนตัวเล็กลนลานทันทีที่ได้ยินคำสั่ง
“คิดว่าข้าจะทำอะไรล่ะ” มือข้างหนึ่งของรุ่ยอ๋องถือยาพร้อมทั้งผ้าพันแผลผืนใหม่สีขาวสะอาดอยู่
“…” ริมฝีปากบางเม้มเป็นเส้นตรงคล้ายเด็กโดนบังคับ
“กลัวอะไร เคยเห็นแล้ว สัมผัสก็ทำแล้ว”
“ถอดแล้วเพคะ ได้โปรดอย่ากล่าวอะไรอีกเลย” ทีแรกอายเพราะต้องเผยเรือนร่างให้บุรุษเพศได้เห็น ต่อมาอายเพราะตนเองขาดเสน่ห์ในฐานะสตรี ขนาดเขาทั้งเห็นและสัมผัสไปขนาดนั้นยังไม่มีท่าทางสนใจนางสักนิด แค่คิดเหม่ยหลิงก็อยากถอนหายใจออกมายาวๆ
หญิงสาวกุมผ้าแพรไว้แน่นเพื่อปิดบังความเป็นหญิงด้านหน้า แผ่นหลังเปลือยเปล่าไร้อาภรณ์ปกปิด แม้มีบาดแผลหลายจุดแต่ในสายตาของไห่เทาเขากลับมิได้มองว่ามันน่ารังเกียจ ใครต่างก็ล้วนมีบาดแผลได้ทั้งนั้นไม่เกี่ยวว่าเป็นชายหรือหญิง มือสากอ้อมไปยังด้านหน้าเพื่อเอาผ้าเก่าที่พันรอบร่างบางออก ในใจคิดว่าผู้หญิงตัวเล็กทุกคนเลยหรือไม่ แค่แขนข้างเดียวก็โอบล้อมร่างเล็กได้แล้ว
“เจ็บเหรอ” เขาถามเมื่อเห็นอีกฝ่ายสะดุ้งตัวจนเหยียดหลังตรง
“ปะ เปล่าเพคะ” ที่จริงมือใหญ่ของชายหนุ่มโดนเต้าหู้นุ่มของนางเข้าต่างหาก แต่ถ้าบอกไปว่าเป็นอะไร รุ่ยอ๋องก็คงตอบมาด้วยน้ำเสียงเย็นชาดังเดิมว่า
เคยเห็นแล้ว เคยสัมผัสแล้ว ให้นางช้ำใจอีก
...............................................................
..............................