ร่างบางรับกระบี่ที่บุกเข้ามาพลางจับจังหวะจนสามารถสกัดคู่ต่อสู้ได้ จากนั้นขาเรียวยกขึ้นถีบยอดอกของอีกฝ่ายจนกระเด็นไปไกล เพราะขยับร่างกายอย่างต่อเนื่องทำให้หยาดเหงื่อเกาะเต็มทั่วทั้งใบหน้าสวย
ศัตรูโดยรอบที่ยังพอลุกขึ้นได้เริ่มมีหวัง ดูแล้วเทพธิดานางนี้แม้เก่งกาจแต่ก็มีกำลังกายจำกัด ใครจะรู้เล่าว่าขณะที่พวกเขาประมาท มือขาวผ่องกวัดแกว่งกระบี่อย่างรวดเร็วฟันกราดจนกลุ่มชายฉกรรจ์แตกกระเจิง ทว่าหางตาของนางกลับเห็นเงาดำที่ด้านหลังของเหอเจียอี
“ระวัง! อึ่ก!” ชั่วพริบตาร่างเล็กกระโดดเข้ามาคว้าตัวของพระสนมเหอเอาไว้ ทั้งสองล้มลงไปทั้งคู่ หญิงสาวเป็นฝ่ายโอบร่างสตรีวัยกลางคนเข้ามาทำให้นางต้องรับแรงกระแทกแทนจนระบมไปทั้งตัว ขณะนั้นกระบี่เล่มสวยกลับกระเด็นออกไปไกลเกินเอื้อมถึง
“เจ็บรึเปล่า กล้าดียังไงมาทำร้ายพวกเราไม่รู้รึไงว่าข้าเป็นใคร!” ใบหน้าที่เคยเต็มไปด้วยความสนุกของพระสนมเปลี่ยนเป็นกังวลขึ้นมา
“ไม่เป็นไรเพคะ...” แม้จะพูดแบบนั้นแต่ร่างนุ่มนิ่มที่ยันตัวขึ้นมาขวางมิให้ใครเข้าใกล้สตรีด้านหลังนั้นเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ ว่ากันตามตรงพระสนมเหอจะเป็นตายยังไงไม่เกี่ยวกับนางเสียหน่อย แต่เวลาที่เห็นคนอ่อนแอกว่ากำลังพลาดพลั้งร่างกายก็เคลื่อนไหวไปเอง รู้ตัวอีกทีก็มาอยู่ตรงหน้าพระสนมซูเฟยแล้ว
“หึๆๆ เอาตัวไป” สถานการณ์ที่เป็นรองอยู่แล้วย่ำแย่ยิ่งกว่าเดิม สองสตรีร่นตัวถอยหลังจนชิดผนัง
“เจ้าคงเป็นพระชายาที่ถูกส่งมาใหม่งั้นสิ อยากจะรู้นักว่าถ้าอยู่ในเงื้อมมือของข้าแล้ว พ่อเจ้าจะทนไม่มาช่วยได้นานเพียงใด ฮ่าๆๆๆ” ข้อมือเล็กถูกกำแน่นจนเจ็บไปหมดแต่เหม่ยหลิงยังคงกัดฟันทนไม่เผยความอ่อนแอให้ใครเห็น
“ไม่ได้ผลหรอก หากเขาเห็นข้าสำคัญกว่าคำสั่ง ข้าคงไม่ได้อยู่ที่นี่” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบไร้ความหวาดกลัวใดๆ
“เดี๋ยวก็รู้” ร่างเล็กของบุตรีแม่ทัพอี้ถูกชายที่ดูแล้วคงเป็นหัวหน้ากลุ่มเหล่าบุรุษชุดดำนำเชือกมามัดมือบางไว้แน่นพร้อมทั้งคุมตัวอยู่ข้างกายไม่ให้แผลงฤทธิ์ได้อีก
“แปลกนัก”
“เกิดกลัวขึ้นมาแล้วรึไง” พอเห็นนางถูกจับได้ศัตรูก็เริ่มได้ใจมากขึ้นอีก มันมองสำรวจเรือนร่างของหญิงสาวอย่างคุกคาม
“พวกเจ้าแต่งกายเยี่ยงศัตรูต่างถิ่นแต่อาวุธที่ใช้กลับเป็นของแคว้นหมิง” ทั่วบริเวณเงียบกริบจนผิดสังเกตคล้ายกับถูกเหม่ยหลิงจี้ถูกจุด
“เห็นทีแค่รัดมือคงไม่พอต้องรัดปากสวยๆ นั่นด้วยแล้วสิ” ร่างเล็กถูกรวบจับไว้แน่นขึ้นจนเศษผ้ากินเนื้อที่แขนไม่พอยังมีผ้าอีกผืนปิดปากไว้ไม่ให้เอ่ยวาจาใดได้อีก
เสียงฝีเท้าหนักเบาของทหารในเครื่องแบบสีน้ำเงินสลับดำเคลื่อนตัวมาประชิดกำแพงสูงที่ตั้งตระหง่านโอบล้อมตำหนักใหญ่แห่งขุนเขาฉาเฟิง มือธนูประจำการง้างศรรอเพียงคำสั่ง
“ท่านอ๋อง!” องครักษ์นามเฉาจางจิงเอ่ยเรียก แต่กระนั้นสายตาคมของเจ้านายมิได้หันมาตามเสียง ตัวเขาเองก็จับจ้องไปที่กลางวงปะทะเช่นกัน
ภาพเบื้องหน้าทำให้มือธนูลังเลที่จะปล่อยลูกศรออกไปเพราะนั่นคือพระชายาสาวที่เพิ่งถูกส่งตัวมาเมื่อวานกำลังยืนอยู่ท่ามกลางศัตรูนับไม่ถ้วน
“ยิง” ร่างสูงในชุดสีครามเข้มออกคำสั่ง
“ระวังอย่าให้โดนพระชายา!” จางจิงร้องขัด หากโดนขึ้นมาต่อให้นายของตนไม่สนใจแต่มีหรือที่ใต้เท้าอี้จะเก็บพวกเขาไว้
ฝนธนูพุ่งไปยังกลุ่มคนชุดดำที่บุกรุกเข้ามายังตำหนักส่วนพระองค์ เวลานี้พวกมันก็มีสภาพไม่ต่างจากหนูในกรงที่รอถูกสังหาร ไม่ว่าจะหนีไปหลบที่ใดหากอยู่ในลานแห่งนี้ก็มิอาจรอดลูกธนูของรุ่ยอ๋องไปได้ สายตาทุกคู่มองมาด้วยความโกรธแค้น บ้างก่นด่า บ้างสาปแช่งกันให้วุ่นไปหมด สำหรับไห่เทามันไม่ต่างจากเสียงนกเสียงกา
กองกำลังหลักของพวกเขาถูกรุ่ยอ๋องทำลายจนป่นปี้ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว คนที่มาคือผู้เหลือรอดซึ่งหมายใจจะล้างแค้น แต่ใครจะรู้เล่าว่าสุดท้ายพวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าตายอย่างสิ้นชื่อบนแผ่นดินศัตรู
อ๋องไห่เทาจับจ้องไปยังเบื้องหน้า ลานกว้างในตำหนักยามนี้มีผู้บุกรุกและคนของเขาล้มเกลื่อนกลาดแต่กลับยังมีคนหนึ่งยืนอยู่ท่ามกลางการต่อสู้ตั้งแต่เมื่อครู่ ดวงตาสีรัตติกาลประสานกับร่างบางในสภาพสะบักสะบอม เส้นผมสีน้ำหมึกยาวปลิวไสวท่ามกลางแรงสะบัด ข้อมือสองข้างถูกเชือกเส้นใหญ่รัดแน่นจนยากจะขยับกระนั้นก็ยังกุมดาบเล่มหนึ่งของศัตรูเอาไว้
“…” นางหันมามองเขาครู่หนึ่งโดยที่ไม่ได้เอ่ยวาจา ร่างเล็กซวนเซคล้ายจะล้ม เฉาจางจิงสังเกตเห็นจึงจะรีบวิ่งเข้าไปช่วยแต่มิทันการ โฉมสะคราญล้มลงในวงแขนของรุ่ยอ๋องเสียก่อน เมื่อครู่นายเหนือหัวของตนยังอยู่ข้างกายอยู่เลย เหตุใดถึงลงจากกำแพงไปอยู่ข้างพระชายาได้รวดเร็วปานนั้น
“กระหม่อมจะเร่งตามหมอมาพ่ะย่ะค่ะ” เขาขันอาสาและหันไปออกคำสั่งให้เตรียมม้าเร็วเพราะหน่วยแพทย์ที่มีทั้งหมดถูกส่งไปประจำการยังแถบชายแดนจนสิ้น หากไม่รีบจะช้าไปกันใหญ่
“ไม่ต้อง ไปเอาเครื่องมือมาข้าจะจัดการเอง”
“พะ…พ่ะย่ะค่ะ” ชายหนุ่มช้อนตัวหญิงสาวขึ้นอุ้มก่อนจะชะงักไปชั่วครู่ มือข้างที่ประคองแผ่นหลังเล็กมีโลหิตสีแดงสดติดมือมาด้วย ทำให้เขาจำต้องเปลี่ยนตำแหน่งการวางมือไปบริเวณอื่นแทน
“นางเป็นอะไรมากหรือไม่” เหอเจียอีถามด้วยใบหน้ากังวลอย่างมาก เพราะตนถูกกันไว้ที่บันไดโถงรับรองจึงไม่โดนลูกหลงไปด้วย ตอนที่ศัตรูจับบุตรีแม่ทัพได้ นางทำเหมือนจนมุมสุดท้ายกลับชิงดาบข้างเอวศัตรูและผลักพระสนมไปยังที่ปลอดภัยก่อนต่อกรกับอีกฝ่ายทั้งที่ตนเองก็ถูกมัดไว้ เจียอีไม่กล้าหนีไป ใจหนึ่งคิดว่าถ้าจะตายก็ต้องตายด้วยกัน
“หลับไปเพราะเหนื่อย” บุตรชายตอบด้วยสีหน้าเย็นชาตามปกติ ชีพจรของนางยังคงเต้นอยู่สม่ำเสมอแม้จะบาดเจ็บหลายจุดแต่ที่หมดสติคงเพราะใช้กำลังมากเกินไปเท่านั้น
“นางพยายามจะปกป้องข้า” จิ้งจอกเจ้าเล่ห์เอ่ยเสียงอ่อนคล้ายสำนึกผิด
“รู้สึกผิดก็ค่อยมาบอกตอนที่นางได้สติ ท่านไปพักเถอะข้าไม่ฆ่านางหรอก” ว่าจบบุรุษร่างสูงก็เดินออกไป
ทันที
หอนอนเรือนอรุณรุ่ง
บนเตียงนุ่มมีสตรีนอนไม่ได้สติอยู่ ข้างกันเป็นเครื่องมือพยาบาลวางเตรียมไว้ให้เสร็จสรรพ มีดเล่มสั้นตัดเชือกที่รัดแน่นบนข้อมือน้อยออก ทิ้งไว้เพียงรอยบาดของมันบนผิวขาวผ่อง
เขาค่อยๆ กรีดอาภรณ์ที่มีคราบเลือดเล็กๆ หลายบริเวณของหญิงสาวตรงหน้า แผ่นหลังนวลเนียนมีแผลสดใหม่จากการถูกคมกระบี่เฉือนผ่าน ดีที่มิได้ลึกมากไม่นานก็คงหาย แต่สิ่งที่ทำให้เขาอดตกตะลึงไม่ได้คือนางเป็นสตรีชั้นสูงจริงๆ งั้นรึ เรือนร่างบอบบางเพียงนี้กลับมีบาดแผลเล็กใหญ่กระจายตัวไม่น้อยและทั้งหมดล้วนมาจากอาวุธทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นดาบ กระบี่ หรือธนู
ผ้าผืนใหญ่ถูกห่มคลุมบนร่างอรชรก่อนที่เขาจะสำรวจบริเวณอื่นซึ่งอาจรอดพ้นสายตาไปบ้าง ที่ผ่านมาเรือนร่างเปลือยเปล่าของสตรีมิเคยทำให้บุรุษเช่นเขาหวั่นไหวมาก่อน ไห่เทาจึงไม่ฉุกคิดกังวล
“...” มือสากเลื่อนไปบนผิวนุ่มก่อนค่อยๆ พลิกร่างบางให้หันในท่าตะแคงข้าง เมื่อคืนแม้ใกล้ชิดกันเพียงใดแต่ก็มิได้เห็นชัดเต็มสองตาเท่านี้ ลูกกระเดือกของชายหนุ่มเลื่อนขึ้นลงช้าๆ พร้อมทั้งลมหายใจติดขัดเล็กน้อย บนไหล่ซ้ายมีรอยถลอกยาวที่เหลือทิ้งไว้เพียงเลือดแห้งกรัง เขาบรรจงเช็ดออกด้วยผ้าสะอาดและใส่ยาสมานแผลก่อนปิดทับด้วยผ้าขาว ไห่เทามักได้รับบาดเจ็บเป็นประจำ การทำแผลด้วยตนเองหาใช่เรื่องยาก กระทั่งเย็บแผลเขาก็ทำมาแล้ว
ชายหนุ่มมองหญิงสาวข้างกายที่หายใจเข้าออกอย่างสงบนิ่ง จากนั้นจึงเดินออกจากห้องมา
“เรียบร้อยดีหรือไม่” เขาถามเมื่อเห็นว่าศพที่ตายเกลื่อนถูกบรรจุใส่ห่อผ้าเพื่อเตรียมส่งไปยังชายแดนอีกฝั่ง
“พ่ะย่ะค่ะ”
“เพิ่มเวรยามที่เฟิงซานให้มากขึ้น อย่าให้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นอีก” อ๋องหนุ่มออกคำสั่ง
“พ่ะย่ะค่ะ แล้วเรื่องของพระชายา ท่านอ๋องต้องการให้กระหม่อมจัดหอนอนในเรือนอื่นแทนหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” จางจิงที่เดินตามหลังเอ่ยถาม
“มีแค่เรือนเดียวยังดูแลกันไม่ได้ นับประสาอะไรกับการแยกเรือน” รุ่ยอ๋องตำหนิด้วยสีหน้านิ่งเรียบ
“เข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ชายวัยกลางคนโค้งศีรษะรับคำสั่ง เรื่องที่พวกเขาบกพร่องมิอาจคุ้มกันพระสนมและพระชายาได้นับเป็นความผิดก็จริง ทว่าแต่ไหนแต่ไรมามิเคยมีสักครั้งที่ตนจะพลาดซ้ำสอง การตัดสินใจของนายเหนือหัวนั้นชัดเจนแล้วว่าการมีสตรีที่เขาไม่รู้จักร่วมเรียงเคียงหมอนหาใช่ปัญหาที่องครักษ์เช่นตนต้องยื่นมือเข้าไปจัดการ