และแล้วความกระจ่างจึงได้บังเกิดขึ้นมาในใจของชายหนุ่มแล้ว ดรันจึงพยักหน้าช้า ๆ พอจะเริ่มเข้าใจขึ้นทีละนิด ๆ ว่า พะนอขวัญกำลังนำเรื่องของลูกสาวคุณน้าผกากรองมาเปรียบเทียบกับชีวิตของตัวเองไปด้วย แล้วเขาก็ได้เห็นหล่อนค่อย ๆ ฝืนยิ้มออกมา แต่... ดรันกลับรู้สึกว่า หญิงสาวกำลังพยายามปกปิดความปวดปร่าที่เกิดขึ้นอยู่ภายในใจของตัวเองอยู่
ดรันมองสบตากับหญิงสาวให้มากขึ้น การที่จะได้พบใครบางคนที่มีวันเดือนปีเกิดเดียวกันก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกนัก แต่จะแปลกก็คงตรงที่ ใครอีกคนที่ว่านั้นกำลังทำหน้าที่คล้ายกระจกเงาที่ได้สะท้อนชีวิตอีกด้านที่สว่างสดใสให้กับหญิงสาวอีกคนได้เห็นนั่นเอง และหญิงสาวคนนั้นก็กำลังนิ่งงันอยู่ เมื่อยังนึกถึงสัมผัสอันอ่อนโยน ความเยือกเย็นที่คุณผกากรองมี และนั่นราวกับจะเป็นสิ่งที่หล่อนได้โหยหาจากตัวมารดาของหล่อนมาตลอด ครั้นได้มาประสบอย่างนี้ แม้จะเพิ่งพบกันเพียงคราแรก แต่ก็ทำให้พะนอขวัญรู้สึกดีเกินจะบรรยายออกมาได้
แล้ว จู่ ๆ หญิงสาวก็เลื่อนสายตาขึ้นมองร่างสูงตรงหน้าแล้วเอ่ยออกมาอีกว่า "ฉันก็แค่รู้สึกอิจฉาลูกสาวคุณผกา..." หล่อนได้เปิดเปลือยความในใจ อันแสนเศร้าออกมา "...เพราะตั้งแต่จำความได้ ฉันไม่เคยได้อะไรจากคุณแม่เลย แม้แต่การโอบกอดเหมือนอย่างลูกคนอื่น ๆ ก็ไม่เคย..." หล่อนน้ำตารื้นขึ้น กลั้นใจพูดไปอีกว่า "เพราะคุณแม่ไม่เคยกอดฉันเหมือนพี่ ๆ อีกสองคน..."
การที่หล่อนจะต้องมาทำของขวัญวันเกิดให้คุณแม่คนหนึ่งที่จะมอบให้กับลูกสาวอีกคนที่เกิดวันเดือนปีเดียวกัน พะนอขวัญจึงรู้สึกสะท้านใจ เหมือนหล่อนได้เห็นเงาสะท้อนบางอย่างตรงหน้า ที่กำลังสะท้อนทุกสิ่งที่ตรงกันข้ามกับชีวิตของตัวเองออกมาทั้งสิ้น นั่่นเองจึงทำให้ จู่ ๆ พะนอขวัญ ก็กลายมาเป็นคนอ่อนแอลง
ดรันมีสีหน้าเคร่งเครียด ทั้งเข้าใจ เห็นใจและสงสารหล่อนขึ้นมาอย่างท่วมท้น เพราะอย่างนี้นี่เอง … ชายหนุ่มจึงถอนใจเล็กน้อย การรับบทเป็นนายใบ้ทำให้เขาไม่สามารถทำอะไรไปได้มากกว่า การอยู่เป็นเพื่อนรับฟังหล่อนเท่านั้น ว่าแล้วร่างสูงจึงค่อย ๆ ทรุดนั่งลงตรงหน้าหญิงสาว ที่มีความเศร้าอยู่เต็มดวงตาทั้งสอง จากนั้นก็นั่งอยู่เป็นเพื่อนหล่อน จนกว่าหล่อนจะรู้สึกดีขึ้นมาเพียงเท่านั้นเอง…
กว่าพะนอขวัญกลับมาถึงบ้านก็เกือบเย็นมาก ขณะที่เดินผ่านบ้านหลังใหญ่ สาวใช้ที่บ้านหลังนี้จึงรีบวิ่งมารายงานเรื่องหนึ่งให้หล่อนทราบทันทีว่า "คุณขวัญคะ..."
"มีอะไร ส้มเช้ง" หล่อนถามเสียงเนือย ๆ
“ป้าช้อยฝากบอกว่า แกพาลุงชดไปโรงพยาบาล ลุงชดแกปวดท้องมากค่ะ บอกว่าให้คุณขวัญรอที่บ้าน ไม่ต้องตามไปที่โรงพยาบาล"
หญิงสาวจึงหันกลับมามองนายใบ้ ก่อนจะหันมาขอบใจสาวใช้อีกครั้งเบา ๆ "เข้าใจแล้ว ขอบใจนะส้มเช้ง"
จากนั้น หล่อนก็กลับไปรอผู้สูงวัยทั้งสองที่เรือนคนใช้ โดยมีนายใบ้อยู่เป็นเพื่อน เพราะดรันเองก็ยังไม่อยากกลับ เขาขออยู่เป็นเพื่อนหญิงสาวอยู่ห่าง ๆ เพื่อจะรอฟังอาการของลุงชดไปด้วย รอไปจนกระทั่งหัวค่ำ ป้าช้อยจึงเดินตรงมาในลักษณะท่าทางเชื่องซึม
พะนอขวัญจึงรีบเดินเข้าไปหาพลางถามทันที “ป้าช้อยเกิดอะไรขึ้น ทำไมลุงชดถึงไม่กลับมาพร้อมกัน"
"แกปวดท้องค่ะ ปวดมากป้าจึงพาไปโรงพยาบาล หมอบอกว่าไส้ติ่งแตกเลยต้องเข้าห้องผ่าตัดด่วนเลย นี่หมอก็เพิ่งจะผ่าตัดเสร็จเรียบร้อย ป้าเลยต้องกลับมาเก็บเอาของใช้แล้วจะต้องกลับไปเฝ้าแกที่โรงพยาบาลต่อ"
หญิงสาวถอนหายใจโล่งอก เมื่อทราบอาการของผู้สูงวัยอีกคน และรับรู้ว่าการผ่าตัดผ่านไปอย่างปลอดภัย แต่หญิงสาวก็ยังเห็นความวิตกกังวลอยู่บนใบหน้าเหี่ยวกร้านของผู้สูงวัยอีกคนอยู่
"คุณขวัญดูแลตัวเองได้ใช่มั้ย ป้าเป็นห่วง ถ้าเกิดคืนนี้คุณรำพึงพา เอ่อมา..." นางช้อยไม่อยากพูดเสียงดังแต่ ก็พะนอขวัญเข้าใจได้ว่าคุณแม่ของหล่อนมักจะพาพรรคพวกมาเล่นไพ่ที่บ้านเสมอ "...คุณขวัญห้ามออกมาจากห้องนอนนะ ให้ปิดประตูลงกลอนให้แน่นหนานะ"
หญิงสาวพยักหน้า "ป้าช้อยไม่ต้องห่วงหรอกนะ ขวัญดูแลตัวเองได้"
ป้าช้อยหันกลับมามองชายหนุ่มที่ยืนนิ่ง เพราะเป็นบ้าใบ้ ใจน่ะ ไม่อยากฝากฝังให้นายใบ้อยู่เป็นเพื่อนหญิงสาวในยามค่ำคืนเลย แต่ตนก็กังวลสารพัดยิ่งถ้านายสุรทินมาที่นี่ด้วยอีกคน หญิงสาวคนนี้จะดูแลปกป้องตัวเองอย่างไรไหว
"ใบ้ ... เอ่อ เอ็งก็อย่าเพิ่งกลับได้มั้ย นอนชั้นล่างนี่ล่ะ อยู่เป็นเพื่อนคุณขวัญเธอเถอะ ข้าไหว้วานใครไม่ได้แล้วจริง ๆ" สุดท้ายนางช้อยต้องยอมขัดใจตัวเองไปก่อน เพื่อความปลอดภัยของหญิงสาวที่ตนแสนจะรักใคร่ปานบุตรหลาน
ดรันจึงรีบพยักหน้า แต่หญิงสาวกลับปฏิเสธ "ขวัญอยู่ตามลำพังได้"
"แต่มันอันตรายนะคะ ให้นายใบ้นอนเฝ้าอยู่ชั้นล่างนี่เถอะ" แล้วนางช้อยจึงเหลียวไปบอกชายหนุ่มคนเดียวที่ยืนตรงนี้ "มุ้งหมอนก็อยู่ในตู้เสื้อผ้าข้า เอามากางด้วย" ก่อนจะหันกลับมาบอกหญิงสาวช้า ๆ "เถอะ ป้าไม่ไว้ใจ..." แล้วจึงยื่นหน้ากระซิบบอกหญิงสาว แต่ ดรันก็พอได้ยินว่า "คนที่คุณรำพึงพามาแต่ละคน น่ากลัวกันทั้งนั้น มีแต่หญิงชายใจทรามกันไปหมด มีนายใบ้มานอนเฝ้าตรงนี้ คืนนี้ป้าก็จะได้เฝ้าตาแก่นั่นที่โรงพยาบาลอย่างไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง...นะ"
เห็นถึงความเคร่งเครียดบนแววตา และสีหน้าเป็นห่วงหล่อนของคนตรงหน้า สุดท้ายพะนอขวัญจำต้องพยักหน้ารับคำ "ค่ะ งั้นป้าช้อยก็รีบเก็บของเถอะค่ะ ไม่ต้องเป็นห่วงขวัญแล้ว"
ดรันกำลังเกาศีรษะด้วยอาการหงุดหงิด กับความยุ่งยากอย่างหนึ่งที่ตนเพิ่งประสบ บ้าจริง ๆ ก็แค่ผูกหูมุ้งเข้ากับเชือกแค่นี้ทำไมดูยากเย็นเหลือเกินนะ!
เขาใช้เวลาร่วมครึ่งชั่วโมงแล้วนะ กับการพยายามผูกมุ้งแต่ละด้านเข้ากับเชือกที่ผูกติดอยู่กับเสาเรือน ไม่ว่าจะทำสักเท่าไหร่ ผลที่ออกมาก็ไม่น่าพึงพอใจเอาเสียเลย มุ้งเอียงกระเท่เร่บ้าง หรือพอเขาผูกมุมนี้แล้ว มุมที่ผูกก่อนหน้าก็หลุดขาดออกมาอีก นั่นจึงสร้างความรู้สึกงุ่นง่านให้กับชายหนุ่มในเรื่องที่เขาไม่เคยทำมาก่อน เพราะเขาไม่เคยผูกมุ้งเอง เลยไม่มีทักษะอย่างที่เห็น และเห็นทีว่า เขากลับบ้านคราวนี้จะต้องให้นมแม้นมาสอนผูกมุ้งให้เสียหน่อยแล้ว
ว่าแล้วดรันจึงเกาศีรษะแกรก ๆ อยากจะสบถอะไรสักอย่างออกมา แต่แล้ว...
"ใบ้..." เสียงหวานอันคุ้นหูของใครบางคนได้ดังขึ้นมา
ดรันจึงหันหลังกลับไปอย่างช้า ๆ หญิงสาวในชุดนอนสีขาวตัวใหญ่มิดชิดเรียบร้อย กำลังมองเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย น่ากลัวว่าพะนอขวัญ คงลงมาเห็นเขาพยายามผูกมุ้งเองอยู่สักพักแล้ว หล่อนจึงได้เรียกเขาขึ้นมา
ชายหนุ่มแสดงอาการเลิ่กลั่กทันทีที่เห็นความประหลาดใจบนใบหน้างาม หล่อนคงไม่สงสัยหรอกนะว่า ทำไมเขาถึงผูกมุ้งไม่เป็น เพราะสมัยนี้มุ้งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกบ้านมันไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ผูกเองไม่เป็นนี่น่าจะเป็นเรื่องแปลกประหลาด
ดรันเกาศีรษะอีกครั้ง พร้อมกับยิ้มแหยให้ใบหน้างามที่เต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้ อย่าว่าแต่ผูกมุ้งไม่เป็นเลย เขาไม่ค่อยได้นอนในมุ้งอย่างนี้มาก่อนด้วยซ้ำ
"ใบ้ กางมุ้งไม่เป็นหรือ" หล่อนค่อย ๆ ถาม อย่างน่าแปลกใจทีเดียว ด้วยท่าทางเก้ ๆ กัง ๆ กับการพยายามนำมุ้งผูกเข้ากับเชือกในแต่ละครั้งที่พะนอขวัญแอบมองชายหนุ่มอยู่ครู่หนึ่งแล้ว
ทีแรก หล่อนกะว่าอาบน้ำเสร็จแล้วจะเข้านอน แต่ไม่รู้ว่านายใบ้จะมีปัญหากับเรื่องที่นอนหรือเปล่า ไหน ๆ เขาก็อุตส่าห์มาอยู่เป็นเพื่อนเพื่อดูแลความปลอดภัยให้ตามคำขอร้องของป้าช้อยแล้ว จึงทำให้หญิงสาวต้องลงมาดูความเรียบร้อยให้เขาเสียหน่อย และก็จริง ท่าทางของนายใบ้ เหมือนคนกางมุ้งเองไม่เป็นเลย ทั้งที่เรื่องแบบนี้ ไม่ใช่เรื่องน่ายากเย็นสำหรับคนทั่วไป สมัยนี้บ้านเรือนแต่ละหลังต้องมีมุ้งให้ใช้อยู่แล้วนี่
ดรันหลบสายตาที่มองเขาด้วยความจริงจังนั่นเล็กน้อย เริ่มรู้สึกว่าฝ่ามือตัวเองเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ ยามถูกหญิงสาวมองคล้ายจับผิดเป็นครั้งหนแรก และด้วยสายตาจับผิดของหล่อนก็ทำให้เขาเกิดความรู้สึกตื่นเต้นหวาดหวั่นขึ้นมา เพราะอุตส่าห์โกหกคำโตว่าเขาเป็นนายใบ้มาได้ด้วยดีตลอด แต่แค่...เขาผูกมุ้งกางมุ้งไม่เป็นเท่านั้น จะมาทำให้ความแตกเอาเพราะเรื่องมุ้งนี่มันก็จะเกินไปหน่อยกระมัง
แล้วดรันก็ได้ยินเสียงถอนหายใจของหญิงสาว ตามด้วยคำพูดหนึ่งอีกว่า "มา...เดี๋ยวฉันทำให้เอง” ว่าแล้วพะนอขวัญ จึงเดินผ่านร่างสูงไปยังมุ้งที่เอียงกระเท่เร่ตรงหน้า
ดรันขยับออกเล็กน้อยยามที่หญิงสาวเดินผ่านตัว และจมูกโด่งของชายหนุ่มก็ได้กลิ่นตัวหญิงสาว ที่หอมฟุ้งด้วยแป้งหรือสบู่ก็ไม่แน่ใจ แต่แค่นั้นก็ทำเอาหัวใจของชายหนุ่มพองคับอกขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้
จากนั้น ดรันจึงขยับตัวออกมายืนดูหญิงสาวช่วยผูกมุ้งให้ เขาใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมงกับการกางมุ้ง แต่หล่อนใช้เวลาเพียงไม่ถึงสิบนาทีด้วยซ้ำ มุ้งสีขาวหลังเล็กจึงถูกกางเอาไว้อย่างเรียบร้อยอยู่ตรงหน้า แล้วจึงหล่อนจึงหันกลับมาถามอีกว่า "แล้วหมอนกับผ้าห่มล่ะ"
ชายหนุ่มจึงชี้ไปยังหมอนผ้าห่มที่เอามากอง ๆ ไว้อีกด้าน หล่อนจึงพยักหน้าคล้ายพอใจ
"ใบ้ ไม่มีพี่น้องเลยหรือ" หล่อนลองถามพร้อมกับตวัดสองมือกอดอก เพราะตั้งแต่รู้จักชายหนุ่มมา เรื่องส่วนตัว หรือพื้นเพของเขา หล่อนไม่รู้อะไรเลยสักนิด
เขาส่ายหน้าจำต้องโกหก
"ชีวิตเร่ร่อนกินและนอนอยู่แต่ในเรือ?" หญิงสาวถามย้ำ เขาจึงจำต้องพยักหน้าอีกหนเพื่อโกหก
"เป็นคนที่นี่มาตั้งแต่เกิด?"
ดรันแสดงอาการเลิ่กลั่กอย่างอึดอัดขึ้น ทำไมเริ่มรู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ ที่จู่ ๆ หญิงสาวต้องมาชักฟอกเขาขึ้นมาในตอนนี้
ระหว่างที่กำลังโดนซักฟอกอยู่ จู่ ๆ ก็มีเสียงห้าวยานคางคล้ายคนเมาของใครอีกคนได้ดังแทรกขึ้นมา "หลานสาวคนสวยของลุง ยังไม่หลับอีกรึ!"
พะนอขวัญสะดุ้งกับน้ำเสียงคุ้นเคยที่ดังขึ้น หล่อนมีอาการหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด จึงได้รีบขยับตัวเข้าไปหานายใบ้ทันที
ดรันมองหญิงสาวที่ดวงตามีแววตระหนก ก่อนจะหันไปมองทางเจ้าของเสียง ยามนี้ชายหนุ่มก็ได้เห็นผู้ชายร่างสูงผิวค่อนข้างคล้ำอีกคน แถมใบหน้าดวงตาก็แดงก่ำคล้ายคนดื่มมา กำลังยกเท้าขึ้นมาเหยียบลงบนแผ่นไม้กระดานตามอีกด้วย
และการปรากฏตัวของผู้ชายคนนี้ ก็ได้ตอกย้ำให้ดรันเห็นชัดว่าพะนอขวัญคงหวาดกลัวผู้ชายคนนี้แน่ ๆ แต่หล่อนจะหวาดกลัวอีกฝ่ายทำไม ก็ในเมื่อ ผู้ชายคนนี้ได้เรียกหล่อนว่า 'หลานสาว' และเรียกแทนตัวเองว่า 'ลุง'
ดรันหันกลับมองผู้มาใหม่ตรงหน้าอีกครั้ง เขาจึงได้รู้ตัวว่า ตัวเองกำลังถูกผู้มาใหม่นี่มองด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ แล้วอีกฝ่ายก็ถามด้วยน้ำเสียงกระด้างขึ้นมาว่า "ไอ้...ผู้ชายคนนี้มันเป็นใคร!"