4 บอกความจริง - 1

1416 คำ
"ตั้งแต่กลับเข้ามาก็ยังเห็นยืนกันอยู่ตรงนั้นไม่ไปไหน ท่าทางจะมีเรื่องคุยกันยาวนะนั่น เอ้ มีเรื่องอะไรกันนะ?" รุ่งระวีเอ่ยอย่างเคลือบแคลง ขณะยืนอยู่ตรงหน้าต่างเพื่อมองดูชายหนุ่มสองคนที่กำลังยืนกอดอกคุยกันอยู่ตรงสนามหญ้าเขียวขจีตรงนั้น ตั้งแต่ตนได้กลับจากข้างนอก กระทั่งอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมจะเข้านอนแล้ว ทั้งสองก็ยังยืนกอดอกคุยกันด้วยท่าทางเคร่งเครียดอย่างไม่ท่าทีว่าจะขยับไปไหน ซึ่งรุ่งระวีก็ชักจะหวั่นใจแล้วว่า ดรันและอาชาอาจจะมีเรื่องอะไรที่ปกปิดตนอยู่หรือเปล่า  "เรื่องงานที่บริษัทล่ะมั้ง คุณก็รู้ว่า ตารันเพิ่งกลับจากเมืองนอกมาได้ไม่กี่เดือน..." คุณอัศวินที่นั่งอ่านหนังสือเล่มโปรดบนเตียงนอนส่งเสียงมา "...อีกไม่นานเขาก็ต้องขึ้นมานั่งหัวเรือบริหารบริษัทแทนผมแล้ว เขายังต้องศึกษาระบบการทำงานของบริษัทให้มาก ๆ นี่ก็คงกำลังไถ่ถามถึงเรื่องนี้จากอาชาอยู่ล่ะ เพราะอาชาเขามีประสบการณ์การทำงานมากกว่า" อธิบายค่อนข้างยาว เพื่อให้ภรรยาของตนไม่ต้องมัวแต่ครุ่นคิดอยู่กับเรื่องหลานชายคนเดียวให้มากนัก แต่...                                                                                        "ถ้าเป็นเรื่องงานจริง รุ่งคงไม่ห่วงหรอกนะคะ กลัวจะเป็นเรื่องผู้หญิงน่ะสิ!" ตอบพลางหมุนตัวกลับมามองคนที่นั่งพิงหัวเตียงและกำลังอ่านหนังสืออยู่                                                                                  "เอ้า ก็พวกเขาเป็นผู้ชายหนุ่ม ๆ ถ้าจะคุยกันเรื่องสาว ๆ ก็ต้องมีบ้างเป็นเรื่องปกติออก หรือจะให้พวกเขาคุยถึงเรื่องผู้ชายด้วยกัน" ปลายประโยคกระเซ้าคนที่ยืนตรงหน้าต่างอย่างอารมณ์ดี                     และก็จริง รุ่งระวีรีบตวัดมือทาบอก แล้วว่า "ตายแล้ว!..." ก่อนจะรีบเดินตรงไปทุบไหล่สามีเบา ๆ "…พิลึกจริงคุณนี่ พูดจาน่าเกลียด ฟ้าจะได้ผ่าลงมากลางบ้านเราปะไร!"                                              "พูดเรื่องงานก็หาเรื่องตั้งแง่ว่าพวกเขาจนได้ พูดเรื่องผู้หญิงคุณก็ออกอาการหวงหลานชายขึ้นมาอีก พอจะบอกว่าพูดถึงเรื่องผู้ชายด้วยกัน คุณก็ทำท่าพิลึกพิลั่นเสียอย่างนี้ ตกลงคุณจะให้พวกเขาพูดคุยกันแต่เรื่องอะไร ถึงจะถูกใจคุณ หึ?" คุณอัศวินยังคงหยอกเย้าภรรยาด้วยความอารมณ์ดีอยู่                                                                      "ยอกย้อนเก่งจริงเชียว คุณนี่!" ว่าพลางส่งค้อนวงใหญ่ให้อีกฝ่าย ก่อนจะเดินกลับไปยังหน้าต่างของห้องนอนบานเดิม เพื่อจะแอบมองดูชายหนุ่มทั้งสองอยู่ห่าง ๆ                                                                        "เอาน่า พวกเขาโต ๆ กันแล้ว ปล่อย ๆ พวกเขาไปบ้างเถอะ"      "แต่ถ้าเป็นเรื่องผู้หญิงของตารัน อย่างไรก็ต้องให้รุ่งรับรู้ด้วย อย่าลักลอบไปทำอะไรลับหลังโดยที่ไม่ให้ผู้ใหญ่รู้กันเชียว นายอาชาก็อีกคน ขืนแอบไปทำอะไรที่นอกลู่นอกทางตามคำสั่งของตารัน รุ่งจะบอกนมแม้นบิดหูให้ขาดเลยทีเดียว!"                                                          "ปล่อยให้ตารันเขาคิดเองเถอะน่า" คุณอัศวินวางหนังสือลง คราวนี้ใช้น้ำเสียงจริงจังขึ้น  รุ่งระวีจึงหันตัวกลับ แล้วเอียงคอถาม "เรื่องไหนล่ะคะ?"                    "ก็เรื่องคู่ครอง ให้ตารันเขาได้ไตร่ตรองเอง" รุ่งระวีรีบส่ายหน้า ปฏิเสธท่าเดียว "ไม่ล่ะค่ะ ขืนตารันไปคว้าผู้หญิงไม่ดีไม่มีตระกูลมา รุ่งไม่ขอรับนะคะ เรื่องแบบนี้ต้องให้ผู้ใหญ่อย่างเรา ๆ ช่วยดูด้วย"              "ยุคสมัยนี้แล้ว ปีสองพันห้าร้อยหกแล้วนะคุณ เมืองนอกเมืองนาก็เคยไปอยู่ เคยไปเห็นมากับตาแล้ว ทำตัวให้หัวสมัยใหม่ได้แล้ว"                                                                                                        "เอ๊ะ! คุณอัศนี่ว่ารุ่งแรงไปแล้วนะคะ!" รุ่งระวีรีบเอ็ดเสียงเขียว ก่อนจะตัดบทเอง "ช่างเถอะ ถึงคุณจะค่อนขอดรุ่งอย่างไร รุ่งก็ไม่สนใจหรอก อย่าลืมว่าเราสองคนมีตารันคนเดียว ก็อยากให้เขาได้รับแต่สิ่งที่ดี ๆ โดยเฉพาะเรื่องคู่ครอง อีกอย่าง พี่สาวรุ่ง ก็น้องสะใภ้คุณนั่นแหละ ก่อนจะขึ้นเครื่องบินวันนั้น ยังหันมาสั่งเราทั้งสองนักหนาว่าให้ช่วยดูแลลูกชายคนนี้ให้ดีด้วย คุณก็น่าจะจำได้ นั่นคำสั่งเสียสุดท้ายของพี่สาวรุ่งเชียวนะคะ รุ่งก็ต้องทำตามอย่างเคร่งครัดสิ"                                                                        "เรื่องของบุพเพสันนิวาส คุณห้ามได้หรือ?" จู่ ๆ คุณอัศวินก็ถามกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทำให้รุ่งระวีได้แต่สบตาปริบ ๆ กลับอย่างเถียงไม่ออก คุณอัศวินจึงรีบเอ่ยต่อ "ถ้าหากมันเป็นเรื่องของโชคชะตา ตารันเขามีโชคชะตาผูกกับใครบางคนเอาไว้แล้ว ถึงเวลาที่เขาต้องเจอ ต้องรัก... คุณห้ามเรื่องพวกนี้ได้หรือ"                                            รุ่งระตีตวัดมือกอดอกเม้มริมฝีปากแนบแน่นเริ่มรู้สึกหวั่น ๆ ใจกับเรื่องทำนองนี้อยู่  หากมันเป็นเรื่องของโชคชะตาฟ้าลิขิตแล้วไซร้ ตนสามารถเข้าไปกะเกณฑ์มันได้หรือไม่ เมื่อจนด้วยถ้อยคำจะโต้กลับ รุ่งระวีจึงสะบัดตัวหนีสามีอย่างแง่งอนเสีย และนั่นก็เป็นกิริยาที่รุ่งระวีมักจะทำทุกครั้งเวลาสามีพูดเรื่องไม่ถูกใจขึ้น ตั้งแต่แต่งงานกันใหม่ ๆ จนมาถึงตอนนี้ก็ยังคงเป็นอยู่เสมอ  คุณอัศวินถอนหายใจยาว วางหนังสือลงข้างตัว ลุกจากเตียงแล้วเดินตรงไปหาภรรยาผู้แสนแง่งอน ก่อนจะวางสองมือหนาลงตรงหัวไหล่ทั้งสองข้าง พร้อมกับทอดสายตามองเจ้าของหัวไหล่อย่างหลงใหล เพราะไม่ว่าผ่านไปกี่ปี ๆ รุ่งระวีก็ยังคงสาวและสวยอยู่เสมอ อาจจะเป็นเพราะอีกฝ่ายไม่มีบุตร จึงทำให้รูปร่างไม่ได้แตกต่างไปจากสมัยสาว ๆ เลย   ขณะที่มัวแต่ชื่นชมหลงใหลรูปร่างของภรรยาอยู่นั้น จู่ ๆ คุณอัศวินก็ได้นึกถึงเรื่องแปลกอยู่เรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ จึงถามอีกฝ่ายว่า "ว่าแต่มีเรื่องหนึ่งที่ผมค่อนข้างแปลกใจอยู่"                                                           "คะ?" เมื่อระงับความขุ่นมัวได้ ก็ถามกลับสามีอย่างสั้น ๆ ในขณะที่สายตายังคงมองดูสองหนุ่มที่ยืนสนทนาบนสนามหญ้าอย่างไม่คลาดคลา                                                                            "ก็เรื่องคุณผกาเพื่อนรักของคุณไง"                                     รุ่งระวีทำหน้าสงสัยหนัก พลางหันกลับมาสบตากับสามี "ทำไม? มีอะไรกับผกาหรือคะ"           "เพื่อนคุณคนนี้ก็มีลูกสาวแถมสะสวยอยู่ไม่น้อย ทำไมผมถึงไม่เคยเห็นคุณจะพยายามให้ตารันได้รู้จักกับลูกสาวเพื่อนรักคนนี้ของคุณเลย ดูผิดปกติออก คุณมองข้ามลูกสาวเพื่อนรักอันดับหนึ่งของคุณไปได้อย่างไรกัน"  รุ่งระวีเบิกดวงตาขึ้นเล็กน้อย แล้วเผลอทำหน้าสยดสยองขึ้น      "อ้าว! ทำไมหน้าอย่างนั้น" คุณอัศวินถาม แล้วกลั้วหัวเราะอย่างขบขันกับท่าทางแปลกประหลาดของภรรยาผู้ยังสะสวยอยู่ไม่สร่าง                                                                                                     "แม้เพื่อนรักของรุ่งและสามีจะเป็นคนดี แต่กับลูกสาวนั้นไม่ไหวค่ะ รุ่งเคยเจอกับตัวมาหลายครั้งแล้ว ทั้งกิริยา วาจาหยาบกระด้าง ผิดพ่อผิดแม่เหลือเกินค่ะ"                                                      "หืม?" ถามสั้น ๆ แล้วขมวดคิ้วด้วยความสงสัย                                "ก็ เพื่อนรักของรุ่งคนนี้ ไม่รู้ว่าทำกรรมอะไรมา ตัวเองและสามีต่างมีนิสัยใจคอดีด้วยกันทั้งคู่ แต่ก็ดันมีลูกสาวที่มีนิสัยตรงกันข้ามกับพ่อแม่ทุกประการ จัดว่าแย่ทีเดียวค่ะ นี่คือเหตุผลที่รุ่งได้มองข้ามลูกสาวเพื่อนรักคนนี้ไป ไม่ขอเข้าไปทาบทามให้หลานชายเราเด็ดขาด!”                                                                                      คุณอัศวินพยักหน้าอย่างเข้าใจ ก่อนจะถามอย่างสนใจอีกเล็กน้อยว่า "ว่าแต่ ลูกสาวเพื่อนคนนี้ของคุณอายุเท่าไหร่แล้วนะ"                                       รุ่งระวีทำหน้าครุ่นคิดเล็กน้อยประกอบ แล้วตอบว่า "อื่ม...ถ้านับไม่ผิด อายุน่าจะใกล้ยี่สิบปีแล้วค่ะ"     "อ้อ..." รับคำสั้น ๆ เพียงเท่านี้ ก็ไม่ได้ถามไถ่อะไรอีก ได้แต่ส่งสายตาทอดมองสองหนุ่มที่ยืนคุยกันตรงนั้นเป็นเพื่อนภรรยาต่ออีกสักพัก จากนั้นจึงชักชวนภรรยาสุดที่รักเข้านอนเสีย ด้วยเหตุผลที่ว่าพรุ่งนี้ตนมีประชุมกับกรรมการของบริษัทตั้งแต่เช้า   
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม