บทที่ 8
หน้าด้าน
สติอันน้อยนิดยังพอประคับประคองให้อยู่รอดจวบจนถึงที่หมายอันพิศวง รถยนต์คันหรูจอดที่หน้าตัวบ้านหลังใหญ่ก่อนที่ร่างกายของฉันจะถูกตวัดโอบอุ้มด้วยวงแขนแกร่งของคุณไตร ซึ่งฉันเองก็จับใจความได้ว่าเขากำลังพาฉันเข้ามาด้านในตัวบ้านหลังนั้น และวางฉันลงบนเตียงนุ่มภายในห้องห้องหนึ่ง
“รออยู่ที่นี่ก่อน เดี๋ยวหมอก็มาแล้ว”
เสียงเข้มเอ่ยบอกใกล้ ๆ ทำให้ฉันหันใบหน้าไปมองก็พบว่าคุณไตรได้ทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงข้าง ๆ กัน ก่อนที่เขาจะบรรจงใช้สำลีปาดเช็ดบาดแผลที่ตอนนี้มีเลือดไหลหลั่ง
“ที่นี่ที่ไหนคะ”
“บ้านฉัน”
“ฉันไม่รู้เรื่องกับคนที่ต้องการยิงคุณในวันนี้นะคะ ฉันมาทำงานจริง ๆ แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นฉันก็ไม่ได้สร้างสถานการณ์ให้ตัวเองเจ็บตัวด้วย” ฉันข่มความเจ็บปวดเอาไว้และพยายามเอ่ยอธิบายความจริงออกไป แม้ว่าน้ำเสียงจะเบาบางจนแทบฟังไม่ได้ศัพท์ก็ตาม
“นอนเฉย ๆ ไปเถอะ ทำแผลเสร็จค่อยว่ากัน”
“เดี๋ยวสิ อ๊ะ!” ร่างกายที่หยัดขึ้นจากเตียงเป็นต้องชะงักก่อนที่ฉันจะทิ้งตัวนอนลงดังเดิม เนื่องด้วยความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นบริเวณบาดแผลถูกยิง
“นอนลงไป จะลุกขึ้นมาทำไมวะ!”
“ก็ฉัน...”
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
เสียงดังแทรกขึ้นก่อนที่ประตูจะถูกเปิดออก ตามมาด้วยร่างบางของผู้หญิงคนหนึ่งที่เดินเข้ามา พลันทำให้บทสนทนาที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนั้นจำต้องหยุดลงในทันที
ผู้หญิงใบหน้าสะสวยอยู่ในชุดลำลองแขนยาวขายาวเดินเข้ามา เธอคนนั้นมองฉันด้วยหางตา คิ้วเรียวขมวดยุ่ง ขณะที่ริมฝีปากบาง ๆ นั่นจะเป็นการหยัดคว่ำคล้ายความไม่พอใจ ก่อนจะหันไปพูดคุยกับคุณไตรด้วยรอยยิ้มฉีกกว้างที่ดูแล้วแตกต่างจากการปฏิบัติต่อฉันอย่างลิบลับ
“คุณบาดเจ็บตรงไหนไหมคะคุณไตร รินรู้ข่าวจากคุณรุตว่ามีคนลอบยิงคุณ”
“ผมไม่เป็นไร แต่หมอช่วยทำแผลให้เธอคนนี้หน่อย เธอโดนยิงแทนผม แต่โชคดีที่โดนแค่เฉียด ๆ”
ฉันทอดสายตามองไปยังคนสองคนที่กำลังพูดคุยสนทนา จวบจนสายตาสองคู่หันมองมาที่ฉันซึ่งนอนอยู่บนเตียงเป็นจุดเดียว
ไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ของสองคนนี้เป็นแบบไหน แต่พอเห็นดวงตาของคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นหมอก็พอเดาออกได้ว่ามันคงเป็นความรู้สึกดี ๆ ที่ไม่ใช่คำว่าเพื่อนหรือพี่น้องเป็นแน่
“ผู้หญิงคนนี้เป็นใครคะคุณไตร”
“หมอรีบรักษาเถอะ ผมจะออกไปรอข้างนอก” คุณไตรไม่ได้ตอบแต่เลือกที่จะทิ้งคำสั่งการเอาไว้ ก่อนที่เขาจะเดินออกไปจากห้อง โดยมีฉันและคุณหมอคนนี้อยู่เผชิญหน้ากันเพียงสองคน
ความเงียบและอึดอัดตีพุ่งเข้ามา ส่งผลให้ความเจ็บปวดที่พึงมีหายลับไปอย่างที่ไม่สามารถหาคำตอบได้
ฉันเม้มปากแน่นขณะที่สายตาก็จดจ้องมองไปยังคุณหมอคนนั้นด้วยความหวาดหวั่น รับรู้ถึงกระแสความไม่พอใจและไม่เป็นมิตรที่ส่งมา แต่ในเมื่อกำลังร่างกายไม่เหลือแรงพอที่จะลุกออกจากห้องนี้ได้ ฉันจึงทำได้เพียงนอนอยู่บนเตียงเฉย ๆ และรอคอยการรักษาจวบจนทุกอย่างจะเสร็จสิ้น
เกือบหนึ่งชั่วโมงแล้วสำหรับการทำแผลจากการถูกยิง โชคดีมากที่ภายในห้องนี้มีนาฬิกาให้ดูเวลาที่เพียรผ่าน แต่มันก็มีความโชคร้ายที่ฉันดันเป็นคนไข้ที่คุณหมอเกลียดแสนเกลียด จนกลายเป็นว่าบรรยากาศภายในห้องนี้มีเพียงความอึดอัดที่ปกคลุมมาตลอดเกือบหนึ่งชั่วโมง
“เสร็จแล้วใช่ไหมคะ” ฉันเอ่ยถามหลังจากที่ปิดปากเงียบมานาน ครั้นเห็นคุณหมอสาวลุกขึ้นและหันไปจัดเก็บอุปกรณ์จึงพอเข้าใจได้ว่าการทำแผลบาดเจ็บคงได้เสร็จสิ้นอย่างที่เฝ้ารอแล้ว
แต่ทว่าคำตอบที่ได้รับเป็นความเงียบที่สะท้อนกลับมา…
คุณหมอคนสวยงุ่นง่วนกับกระเป๋าสัมภาระที่สะพายติดตัว แถมยังหันหลังให้กันราวกับว่าการเห็นหน้าฉันเหมือนกับเห็นสิ่งน่ากลัวที่เกลียดขยาดอะไรทำนองนั้น
มันไม่ใช่การคิดไปเองแต่มันคือความจริงที่ฉันสัมผัสได้ต่างหาก!
คุณหมอคนนี้เธอไม่ชอบฉัน หรืออาจจะเรียกว่าเกลียดเลยก็ได้ เพราะตลอดการทำแผลคุณหมอคนนี้ทำกิริยาไม่พอใจใส่ฉันตลอด ไหนจะท่าทาง ไหนจะสายตาดุดัน และไหนจะน้ำหนักมือที่กดย้ำ ๆ ที่เจ็บน้ำตาไหล แต่ฉันก็เลือกที่จะปิดปากเงียบ เพราะรู้ดีว่าการโวยวายออกไปก็ไม่มีทางเกิดผลดีกับตัวเอง
“ขอบคุณคุณหมอมากนะคะ” คำขอบคุณกล่าวออกไปตามมาด้วยเสียงผ่อนลมหายใจยาวเหยียดที่ปล่อยออกมาหนัก ๆ
ถึงจะได้รับความเกลียดชังกลับมา แต่ก็ต้องยอมรับว่าคุณหมอคนนี้ช่วยให้อาการบาดเจ็บจากแผลถูกยิงนั้นบรรเทาลงได้จริง ๆ
“อ้อ แล้วแผลแบบนี้ห้ามโดนน้ำใช่ไหมคะ ฉันต้องล้างแผลตลอดใช่ไหม สามารถไปที่คลินิกหรือโรงพยาบาลใกล้ ๆ ได้เลยใช่ไหมคะ”
ขณะที่สายตากำลังสำรวจร่องรอยความเจ็บปวดที่ถูกพันด้วยผ้าสะอาดเรียบร้อย ความสงสัยที่พุ่งตีขึ้นมาจึงทำให้ฉันเอ่ยปากถามออกไป
แต่ทว่า...
“อีหน้าด้าน! ทำแผลเสร็จแล้วจะไปไหนก็ไป จะอยู่ให้ผู้ชายเขาตามไปส่งหรือไง!”
สิ่งที่ได้รับกลับมานั้นคือคำด่ากราดต่ำช้าจากปากของแพทย์สาวที่ฉันมองว่าเธอทั้งสวยและโดดเด่น จังหวะนั้นเกิดความตกใจและชะงักงันไปชั่วขณะ เพราะไม่คิดว่าเธอคนนี้จะแสดงความรังเกียจกันออกมาได้มากขนาดนี้
“การที่ผู้หญิงติดสอยห้อยตามผู้ชายมาถึงบ้านเธอไม่คิดบ้างเหรอว่ามันไม่สมควร ฉันทำแผลให้แล้วก็รีบไสหัวออกไปซะ!”
“ฉะ...ฉันไม่ได้ตั้งใจ แต่ฉันยืนยันได้ว่าฉันกับคุณไตรเราไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกัน ฉันถูกยิงแล้วเขาก็พาฉันมาทำแผลเท่านั้น” น้ำเสียงที่เปล่งออกไปสั่นเทาเจือปนไปด้วยแรงสะอื้นที่ตีตื้นขึ้นกลางลำคอ
พอถูกด่าตอกหน้าก็รู้สึกเจ็บจุกไปไม่น้อย ทั้ง ๆ ที่ฉันเองก็ไม่ได้รู้เรื่องอะไรกับการถูกพาตัวมาในที่แห่งนี้ด้วยซ้ำ
พอถูกไล่แบบนี้ถ้าอยู่ต่ออีกสักนาที ก็คงหน้าด้านหน้าทนเกินไป
ฉันตัดสินใจรวบรวมเรี่ยวแรงและหยัดตัวขึ้นจากเตียงกว้าง พยายามประคองร่างกายตัวเองเพื่อเดินออกจากห้อง ครั้นเมื่อเปิดประตูก็พบกับร่างสูงของคุณไตรที่กำลังยืนประจันหน้าอยู่ ส่งผลให้ขาสองข้างชะงักกึกไปพัลวัน ซึ่งมันก็เป็นจังหวะเดียวกันกับคุณหมอสาวที่เดินตามออกมาพอดี
“รินทำแผลเสร็จแล้วค่ะ แล้วคุณไตรล่ะคะมีบาดแผลหรือเปล่า เดี๋ยวรินขอดูหน่อยนะ”
“ไม่ต้อง หมอทำเสร็จก็กลับไปได้ ขอบคุณมาก” คุณไตรตอบเสียงเข้ม หากแต่สายตาดุดันของเขากลับกดมองมาที่ฉันด้วยความเรียบนิ่งราวกับต้องการคาดคั้นอะไรบางอย่าง
“ให้รินกลับเลยเหรอคะ แต่ริน…”
“อย่าให้ฉันต้องพูดซ้ำ ส่วนเธอตามมานี่”
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าส่วนท้ายของประโยคนั้นหมายถึงใคร คนตัวสูงหมุนตัวเดินนำไปยังทางเดิน ซึ่งเบื้องหน้าเป็นประตูสีดำขลับที่ฉันเองก็คาดเดาไม่ได้เหมือนกันว่ามันคือห้องอะไร
ฉันลอบมองท่าทีคุณหมอเล็กน้อย เธอมีอาการฟึดฟัดไม่พอใจที่แสดงอย่างออกนอกหน้า แถมจังหวะที่ฉันเดินตามคุณไตรไปก็ยังได้ยินเสียงก่นด่าหยาบคายที่ดังเล็ดลอดให้ได้ยิน
สิ่งเดียวที่ทำได้ก็คือการถอนหายใจหนัก ๆ แทนการตอบโต้การกระทำต่ำหยาบ แม้ว่าการถูกด่าจากคุณหมอคนสวยจะทำให้ฉันไม่พอใจมากแค่ไหน แต่เหตุการณ์ที่จะต้องเผชิญในลำดับถัดไปนั้น ฉันคิดว่ามันคงสามารถลบล้างได้โดยปริยา