บทที่ 9 อย่าได้เจอกันอีก

2096 คำ
บทที่ 9 อย่าได้เจอกันอีก “ฉันไม่ได้สร้างสถานการณ์เรื่องงานในวันนี้นะคะ” ทันทีที่เดินตามเขาเข้ามาในห้องฉันก็รีบพูดอธิบายถึงเหตุการณ์ที่เป็นไป เนื่องจากรู้ดีว่าตอนนี้สถานะของตัวเองนั้นตกอยู่ในกำมือของเขาโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ “เธอเป็นอะไรกับไอ้ตุลย์” “หะ...ฮะ?” เสียงเข้มของเขาทำเอาฉันถึงกับหลุดเสียงในลำคอออกมาเบา ๆ ครั้นลองทบทวนถึงคำพูดของเขาซ้ำ ๆ ถึงได้เข้าใจว่าสิ่งที่เขาถามนั้น คงจะหมายถึงความสัมพันธ์ของฉันและน้องชายของเขาเป็นแน่ “ถามก็ตอบ” “อะ...เอ่อ คือเราเรียนมหา’ลัยเดียวกันค่ะ” ฉันให้คำตอบอ้อม ๆ ก็อย่างที่เคยบอกว่าฉันรู้จักตุลย์นั้นก็เพราะเขาค่อนข้างมีชื่อเสียงในมหาวิทยาลัย แถมเพื่อนของตุลย์เองก็เคยตามจีบฉันอยู่สักพักเหมือนกัน แต่ด้วยไลฟ์สไตล์และความแตกต่าง ความสัมพันธ์กับเพื่อนของตุลย์จึงไม่ได้พัฒนาไปมากกว่านั้น “รู้จักมันได้ยังไง” “ก็เป็นเพื่อนที่มหา’ลัยไง แต่คนละคณะ รู้จักกันก็เพราะเพื่อนของน้องชายคุณเคยคุย ๆ กับฉัน แถมน้องชายคุณเองก็ไม่ธรรมดา พูดง่าย ๆ ก็เกือบทั้งมหา’ลัยรู้จักตุลย์กันหมดนั่นแหละ!” ความหงุดหงิดส่งผลให้ฉันพูดเรื่องราวทั้งหมดออกมา โดยน้ำเสียงที่ตอบกลับล้วนเต็มไปด้วยความไม่พอใจที่แสดงออกอย่างชัดเจน แต่ก่อนที่ฉันจะได้เอ่ยอะไรออกไปมากกว่านั้น แรงสั่นครืดคราดของเครื่องมือสื่อสารที่วางอยู่บนโต๊ะก็ดังแทรกขึ้น คนตรงหน้าหยิบมันมารับสาย หากแต่ดวงตาคมเข้มกลับกดมองฉันด้วยความแข็งกร้าวไม่วางตา “ที่งานเรียบร้อยไหม” ฉันเม้มปากแน่นเมื่อถูกจับตามอง ครั้นคิดว่าสายที่โทรเข้ามาน่าจะเป็นลูกน้องของเขาที่สั่งการให้ดูแลงานต่อ ฉันถึงถือวิสาสะทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาตัวยาวที่อยู่ใกล้ ๆ เพราะหากให้เดาแล้วการพูดคุยสนทนาระหว่างฉันและเขาคงต้องใช้เวลาพอสมควร “กูฝากจัดการด้วย ให้นักข่าวกับคนในงานปิดปากให้ดี ถ้าข่าวหลุดจากสำนักไหนกูจะจัดการมันเอง!” เสียงเข้มดุดันที่เอ่ยนั้นพลันทำให้ฉันถึงกับสะอึก คำว่า ‘จัดการ’ ทำให้ฉันคิดเป็นอื่นไม่ได้เลยนอกจากการตามจัดเก็บให้สิ้นซาก ตามแบบฉบับมาเฟียที่เคยเห็นในละคร ฉันเองก็ไม่กล้าปักใจว่าคุณไตรเป็นผู้มีอิทธิพลมากขนาดไหน แต่ดูจากจำนวนลูกน้องและอาวุธปืนที่เคยถูกข่มขู่แล้ว มันก็พอคาดเดาได้ว่าเขาเองก็ไม่ธรรมดาเหมือนกัน “แล้วมึงตามจับคนยิงได้ไหม...” ฉันนั่งฟังคุณไตรพูดกับคนปลายสายไปราว ๆ ห้านาทีจวบจนเขากดวางสายนั่นแหละ ฉันถึงได้เสสายตาไปมองเพราะอยากรีบเคลียร์กับเขาแล้วจะได้กลับบ้านไปพักผ่อนสักที ถึงจะผ่านประสบการณ์เฉียดตายมาสามครั้งติด ในชนิดที่เกิดขึ้นภายในไม่กี่สัปดาห์ แต่ด้วยสภาพร่างกายในตอนนี้ทำให้ฉันไร้เรี่ยวแรงเกินกว่าจะเผชิญไหว อย่างน้อยการได้กลับบ้านไปพักผ่อนก็นับว่าเป็นการปรานีคนโชคร้ายอย่างฉันมากที่สุดแล้ว “มือปืนหนีไปได้ แต่ก็ถูกยิงบาดเจ็บไปเหมือนกัน” น้ำเสียงราบเรียบเอ่ย หากแต่นัยน์ตาดำขลับกลับจดจ้องมองมาที่ฉัน ราวกับเป็นการพูดหยั่งเชิงเพื่อลอบสังเกตถึงพฤติกรรม “แล้วไง? นี่ยังคิดว่าฉันเป็นสายสืบอีกเหรอ ฉันโดนยิงขนาดนี้คุณยังคิดว่าฉันเกี่ยวข้องกับเรื่องพวกนั้นอีกหรือไง” “จะกลับบ้านใช่ไหม ไปสิ กลับได้เลย” “หะ...ฮะ?” เกือบจะหลุดคำด่าออกมาแล้วถ้าไม่ได้ทบทวนคำพูดของเขาเมื่อครู่ ฉันหลุดเสียงร้องออกมาเบา ๆ เมื่อมั่นใจว่าคำพูดจากปากคุณไตรนั้นเป็นการบอกให้ฉันกลับบ้านได้โดยง่าย “กลับไปสิ” เขาทวนย้ำอีกครั้ง พร้อมกับการเลิกคิ้วมองฉันด้วยท่าทางเรียบเฉย หากแต่ฉันกลับมองว่ามันช่างยียวนอย่างถึงที่สุด เขาเป็นคนนิ่งที่กวนตีนมาก! “ฉัน...ฉันกลับได้จริง ๆ เหรอ กลับจริง ๆ นะ!” ความหมั่นไส้มีไม่มากเท่ากับความดีใจที่จะได้กลับบ้าน ฉันเอ่ยถามในขณะที่ดวงตาวาววับบ่งบอกว่ากำลังดีใจอย่างออกนอกหน้า “อืม กลับเองได้ใช่ไหม” ใบหน้าคมคายเชยขึ้นมอง จังหวะนั้นมือหนาก็ลูบที่คางของตัวเองเบา ๆ “ได้ค่ะ! ฉันกลับเองได้! ขอบคุณนะคะ ฉันไปแล้วนะ ฮือ อย่าได้เจอะเจอกันอีกเลยค่ะ ครั้งนี้ครั้งสุดท้าย หมดเวรหมดกรรมต่อกันนะคะ สาธุ ๆ เพี้ยง!” ความในใจเปล่งออกมาด้วยน้ำเสียงกระดี๊กระด๊าขั้นสุด หนำซ้ำฉันยังยกมือไหว้ในจังหวะที่พูดถึงคำว่าสาธุ เพื่อเป็นการย้ำน้ำหนักในความศักดิ์สิทธิ์ ที่หวังว่าโชคชะตาจะช่วยดลบันดาลให้ไม่ได้พบเจอกันกับคุณไตรอีกในชาตินี้ พอกันที...อย่าได้เจอกันอีกเลย! ฉันกลับมาถึงบ้านด้วยรถที่เรียกผ่านแอปพลิเคชัน ซึ่งใช้เวลาประมาณสิบห้านาทีก็มาถึงจุดหมาย สิ่งแรกที่ทำก็คือการเดินเข้ามาในตัวบ้าน โดยไม่ลืมที่จะลงกลอนอย่างแน่นหนาตั้งแต่รั้วบ้านและประตูด้านใน หากแต่ความผิดปกติบางอย่างกลับทำให้สองขาที่กำลังจะก้าวกลับหยุดชะงัก ประตูบ้านด้านในปิดสนิทแทบไม่มีความแปลกไป แต่มันกลับเป็นการลงกลอนชั้นเดียวอย่างที่ฉันไม่เคยทำมาก่อน เพราะประสบการณ์การอยู่คนเดียวคอยสั่งสอนให้ฉันระมัดระวังตัวเองอยู่เสมอ ประตูบ้านแต่ละชั้นจะถูกล็อกอย่างแน่นหนาและไม่ต่ำกว่าสองขั้นตอน แต่ทว่าประตูตรงหน้านี้กลับมีการล็อกเพียงชั้นเดียว แถมข้าวของภายในบ้านก็ถูกจับวางเปลี่ยนทิศทางไปจากเดิม ฉันถอยหลังก้าวออกมา ขณะที่ในมือก็กำโทรศัพท์ตัวเองเอาไว้แน่น กระทั่งเสียงปริศนาบางอย่างดังแทรกเข้าสู่โสตประสาท นั่นจึงทำให้ฉันตัดสินใจหันไปหยิบไม้เบสบอลที่ซ่อนไว้หลังตู้ใส่รองเท้ามาถือเอาไว้ หากเกิดอะไรขึ้นฉันเองก็มั่นใจว่าจะจัดการต่อสู้และฟาดมันด้วยไม้อย่างไม่ยอมแพ้เช่นกัน “ไอ้โจรสารเลว ไอ้สวะ ไอ้ชาติหมา แกตายแน่!” เสียงนั้นคืบคลานเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อย ๆ เช่นเดียวกับความรู้สึกถึงไอร้อนบางอย่าง ส่งผลให้ฉันตวาดคำด่ากราดพร้อมกับการง้างมือขึ้นฟาดไม้ไปตามความรู้สึกที่ประสาทรับรู้ แต่ทว่า... หมับ! “หยุด! พี่เองป่าน นี่พี่เอง!” ข้อมือของฉันถูกคว้าหมับก่อนที่แรงบีบรัดจะหนักแน่นขึ้น จนกำลังแรงในการจับไม้เบสบอลร่วงหล่นสู่พื้น ฉันเบิกตากว้างและรีบหันขวับใบหน้าไปมองยังต้นเสียง หัวสมองประมวลสิ่งที่เป็นไปได้ไม่ทันการว่ามันใช่เสียงที่คุ้นเคยหรือเปล่า หากแต่คำพูดที่ดังขึ้นนั้นกลับทำให้ฉันเริ่มมั่นใจว่าคนคนนั้นคือพี่สาวของฉันจริง ๆ “พะ...พี่ด้าย!” “ก็พี่เองน่ะสิ ทำบ้าอะไรของแกเนี่ย!” ทันทีที่หันไปก็พบว่าเจ้าของเสียงนั้นคือพี่สาวของฉันจริง ๆ “ป่าน...คือป่านนึกว่าเป็นโจรอะ” “เฮ้อ...แต่ที่พี่ทำมันก็เหมือนโจรจริง ๆ นั่นแหละ แล้วทำไมเพิ่งกลับ ไปไหนมาทำไมถึงแต่งตัวแบบนี้” เสียงถอนหายใจดังขึ้น ก่อนที่คำถามจะสวนกลับมาพร้อมกับสายตาของคนเป็นพี่สาวที่กวาดมองเสื้อผ้าที่ฉันกำลังสวมใส่ “อย่าบอกนะ...ว่าแกไปทำงานพริตตี้ที่งานเปิดตัวไทรอัมพ์วันนี้!” “อะ...โอ๊ย! พี่ด้ายอย่าจับแรงสิ ป่านเจ็บ” ฉันร้องขึ้นเมื่อมือของพี่สาวจับรั้งที่ต้นแขนเพื่อให้ฉันหันไปประจันหน้า ซึ่งจุดที่พี่ด้ายจับนั้นเป็นจุดที่ฉันได้รับบาดเจ็บพอดิบพอดี “ตอบพี่!” “คือป่าน...” “ตอบพี่มา!” เสียงตวาดกร้าวดังกึกก้องจนฉันถึงกับสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ เพราะมันเป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ที่พี่ด้ายตะคอกเสียงดังใส่กันแบบนี้ “เอ่อ...คือป่านไปทำงานที่งานเปิดตัวรถของบริษัทไทรอัมพ์ แล้วป่านก็โดนยิง...” “ว่าไงนะ!” “ตะ...แต่ป่านปลอดภัยนะพี่ด้าย มันแค่เฉียด ๆ นี่ก็ทำแผลแล้ว พี่ด้ายดูสิ ป่านไม่ได้เป็นอะไรมากเลย” ฉันพยายามหมุนตัวไปมาเพื่อให้พี่สาวมั่นใจว่าฉันปลอดภัยกลับมาทุกอย่าง แม้ว่าการขยับเขยื้อนจะทำให้รู้สึกเจ็บถึงบาดแผลก็ตาม แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องพยายามแสร้งทำตัวให้เป็นปกติมากที่สุด “แกคือคนที่โดนยิงเหรอ!” “แหะ...ป่านเอง ว่าแต่พี่ด้ายรู้เรื่องนี้ได้ยังไง อย่าบอกนะว่าข่าวออกไปทั่วแล้ว!” ความสงสัยเกิดขึ้นจนคิดไปต่าง ๆ นานา แล้วสิ่งที่พอคาดเดาเองได้นั้นก็คือข่าวคงจะแพร่สะพัดออกไปเป็นวงกว้างแล้ว เนื่องจากภายในงานมีสื่อจากหลายสำนักที่มาทำข่าวด้วยเช่นกัน “เปล่า ไม่มีข่าวอะไร แต่เพื่อนพี่มันไปงานนั้นพอดี มันเลยเล่าให้ฟังว่ามีคนยิงกัน” “อ้าวเหรอคะ ป่านก็นึกว่าจะออกข่าวแล้วซะอีก” “ฮึ...ระดับนั้นไม่ยอมปล่อยให้ข่าวหลุดออกมาง่าย ๆ หรอก เชื่อพี่สิว่าแค่ไม่กี่ชั่วโมงทุกอย่างก็ปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้ว” คำพูดของพี่สาวทำให้ฉันพยักหน้ารับพลางคิดตามสถานการณ์ที่ควรเป็นไป คนระดับคุณไตรคงไม่ยอมปล่อยให้ข่าวเสียหายหลุดออกไปแน่ แถมตัวเขาเองก็มีอิทธิพลไม่น้อย เรื่องการปิดข่าวคงไม่ได้ยากเย็นอะไรสำหรับคนอย่างเขา “ก็จริงนะ อ๊ะ...แล้วที่แขนนั่นพี่ด้ายไปโดนอะไรมา!” ทว่าสายตาของฉันดันสังเกตเห็นผ้าสีขาวที่พันอยู่ตรงต้นแขนข้างซ้ายของพี่ด้าย มันถูกซ่อนไว้ใต้แขนเสื้อ แต่ฉันกลับมองเห็นมันในจังหวะที่พี่ด้ายขยับแขน “เกิดอุบัติเหตุนิดหน่อยอะ แต่ก็ทำแผลแล้ว ทางบริษัทเลยให้พี่กลับมาพักที่บ้านอย่างที่แกเห็นนี่แหละ” ฉันมองหน้าคนเป็นพี่สาวด้วยความแปลกใจ สลับไปกับแผลที่ถูกพันด้วยผ้าสีขาวนั้น แต่ไม่นานก็เลือกที่จะปล่อยผ่านเพราะไม่อยากให้สถานการณ์เกิดความอึดอัดไปมากกว่าเดิม “ป่านดีใจนะที่พี่ด้ายกลับมา แต่มันจะดีกว่านี้ถ้าไม่มีแผลกลับมาด้วย เฮ้อ...เราสองพี่น้องนี่โคตรซวยเลยเนอะ” “รอพี่อีกหน่อยนะป่าน...หลังจากนี้ชีวิตของเราสองคนจะดีขึ้น แกจะได้ไม่ต้องลำบากทำงานหลายอย่างแบบนี้” ความสั่นเครือเจือปนในน้ำเสียงของพี่สาว ซึ่งฉันเองก็เข้าใจกับคำพูดนั้นเป็นอย่างดีว่าพี่ด้ายนั้นต้องการจะสื่อถึงอะไร เราสองพี่น้องต้องทำงานอย่างหนัก สู้ชีวิตและต้องดิ้นรนเพื่อถีบตัวเองขึ้นมาจากโคลนตม ความลำบากยากแค้นทำให้เราต้องขยันมากกว่าคนอื่น และภาพฝันอันสวยงามในอนาคตก็คือการอยู่ด้วยกันสองพี่น้องอย่างมีความสุข มีบ้านหลังเล็ก ๆ เป็นของตัวเอง กินอิ่มนอนหลับในทุก ๆ ค่ำคืน เพียงเท่านี้จริง ๆ ที่ฉันต้องการ “พรุ่งนี้มีเรียนหรือเปล่า แกรีบขึ้นไปนอนไป” “มีค่ะ แต่มีเรียนตอนบ่าย ตื่นสายได้” เราสองพี่น้องพูดคุยกันไม่นานก็แยกย้ายกันขึ้นไปพักผ่อนที่ห้องของตัวเอง แต่ก่อนจะทิ้งท้ายค่ำคืนนี้ก็ไม่วายแอบเข้าไปนอนกับพี่สาวในห้อง เพราะการได้อยู่ด้วยกันพร้อมหน้านับได้ว่าเป็นสิ่งที่ฉันโหยหามันมากที่สุด อย่างน้อย ๆ การได้นอนกอดพี่สาวก็คงทำให้หลับฝันดีกว่าการนอนกอดตัวเอง... SAIPAN’S PART ; END
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม