ตึก...
ระหว่างวิดน้ำจากก๊อกใส่หน้าตัวเองเพื่อดับอารมณ์ร้อน เสียงฝีเท้าหนัก ๆ ที่ดังขึ้นบริเวณหน้าประตูทำให้ฉันต้องเงยหน้าขึ้น ปรากฏว่าเป็น...ไอ้ดิน
มันตามมาเหรอ?
“...” ฉันเลือกไม่พูด ก่อนดึงทิชชูมาซับหน้าลวก ๆ ทำท่าจะเดินออกไปด้านนอกให้เร็วที่สุด ทว่า...
หมับ!
ต้นแขนถูกฝ่ามืออุ่นร้อนรั้งเอาไว้ด้วยเรี่ยวแรงที่ไม่มากเกินไป แต่ไม่ง่ายเลยที่จะสลัดให้หลุดจากการเกาะกุม ฉันตวัดตามองเจ้าของฝ่ามือทันที
“คุยกันหน่อย”
กริ๊ก...
สิ้นประโยคนั้น ประตูห้องน้ำก็ถูกล็อกทันทีราวกับเป็นการบอกกราย ๆ ว่าฉันห้ามไปไหนจนกว่ามันจะพอใจ
คือร้านอาหารตามสั่งนี้ค่อนข้างใหญ่นะ ซึ่งข้อเสียที่ฉันไม่ชอบเป็นการส่วนตัวคือต่อให้มีห้องน้ำหลายห้อง แต่ดันเป็นแบบรวม ไม่แยกชาย – หญิงดี ๆ ดังนั้นการที่มันเข้ามาในนี้ได้จึงไม่ใช่เรื่องแปลก...สำหรับคนอื่นนะ
ตัวฉันน่ะ ไม่โอเคอยู่แล้ว
“คุยไร ไม่อยากคุย”
ฉันปฏิเสธ “ปล่อย รั้งทำไมนัก จะกินข้าว”
อยากคุยอะไรตอนนี้ ทีชั่วโมงก่อนทำเป็นอ้ำอึ้ง
“มาเคลียร์...เรื่องเมื่อชั่วโมงก่อน” คราวนี้เพื่อนเลวบังคับฉันหันไปมองมันตรง ๆ มือข้างที่เคยรั้งเรียวไหล่ เปลี่ยนมากอบกำข้อมือเรียบร้อยแล้ว มือมันอุ่นมาก แต่กลับชื้นไปด้วยเหงื่อ “ถ้าเลิกยุ่งกับหยง จีบเธอได้?”
“ก็พูดไปแล้ว ความจำสั้นเหรอ” หายใจฮึดฮัด พยายามเอาข้อมือออกจากฝ่ามือหนา แต่ไอ้ดินกลับกระชับจนแน่น รู้ตัวอีกทีก็ถูกดึงเข้าไปใกล้จนได้กลิ่นน้ำหอมประจำตัวมันซะแล้ว จากนั้นจึงก้มหน้าลงมาจนปอยผมระหน้าผากกัน
จักจี้ชะมัด...
“เปล่า ถามให้แน่ใจ” ลมหายใจกรุ่นร้อนเจือด้วยกลิ่นบุหรี่เป่ารดปลายจมูกฉัน “รางวัล...” เสียงกระซิบในประโยคถัดมาทั้งแหบพร่าและเว้าวอน เป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือนที่มันทำสีหน้าและน้ำเสียงแบบนี้
“ทำให้ได้ก่อนค่อยมาถามหารางวัล!” ว่าเสียงดังฟังชัด
“มัดจำได้ไหม?” ความหน้าด้านของไอ้ดินเป็นที่รู้กันว่าโคตรเกินเยียวยา “ทำได้แน่ เพราะงั้นมัดจำให้ชื่นใจ...ได้ไม่ได้?”
“ไม่ได้!”
ยืนกรานด้วยเสียงที่เข้มข้นและเด็ดขาด ของแบบนี้มันพูดได้ไง แต่จะทำได้หรือเปล่า ฉันอยากพิสูจน์ด้วยตัวเองมากกว่า
“ทำไม...” เจ้าของร่างสูงร้อยแปดสิบเหมือนไม่สนใจคำพูดฉัน ซ้ำยังหนักข้อด้วยการขยับหน้าเข้ามาใกล้จนปลายจมูกสัมผัสโดนผิวแก้มฉันแบบเฉียดผ่านหนึ่งที ไรหนวดสั้น ๆ ทิ่มผิวกันอย่างไม่ต้องสงสัย
“อย่ามารุ่มรามนะ มีสิทธิ์ไร” ถามพลางจ้องเขม็ง รู้ทั้งรู้ว่าฉันโกรธเพราะไม่ชอบที่ถูกทำแบบนี้ใส่ แต่ก็ไม่ยอมปล่อยกันสักที
“ไม่รู้เหมือนกัน แต่...” ไอ้ดินกลืนน้ำลายลงคอหนึ่งอึกขณะหลุบมองริมฝีปากฉัน ไม่นานนัยน์ตาสีสวยถึงเคลื่อนขึ้นมาเพื่อมองสบตา “ที่เธอแสดงออกตอนนั้น ฉันชอบมาก”
“...” ฉันเงียบไป รู้นะว่ามันหมายถึงเหตุการณ์เมื่อชั่วโมงก่อน แต่ที่ทำเพราะมีอีหยงอยู่ต่างหาก ไม่ได้พิศวาสเป็นการส่วนตัว
“ใจเต้นเลย”
“ใจก็ต้องเต้นเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้วไหม หรือปกตินายเป็นผี อื้อ...” เกิดการสะอึกกะทันหันเมื่อถูกริมฝีปากหยักลึกฉกวูบลงมาอย่างรวดเร็ว ฉันใช้มืออีกข้างทุบมัน แต่นั่นกลับเป็นการกระตุ้นให้คนหน้าด้านเพิ่มแรงเสียดสีระหว่างริมฝีปากเราสองคนจนความอุ่นวาบแปรเปลี่ยนเป็นร้อนระอุในพริบตา
“มุกไร เชยสะบัด” หมอนั่นสละเวลาเสี้ยววินาทีในการกระซิบ ก่อนร่างฉันจะถูกยกขึ้นนั่งบนเคาน์เตอร์ซิงก์ล้างหน้า ต่อมาเพื่อนเลวก็เอาตัวเข้ามาอยู่ระหว่างเรียวขาทั้งสองข้างของฉัน...
มือหนาข้างหนึ่งยกขยำสะโพกฉันคล้ายมันเขี้ยวเต็มทน แต่กลับดิบเถื่อนจนคิดว่านี่เป็นการทำโทษซะมากกว่า
ทำอะไรผิด! มาจูบทำไม! มาลวนลามทำไม! ไม่ชอบ!
จังหวะการหายใจของไอ้ดินให้ความรู้สึกร้อนแรงและขาดการยับยั้งชั่งใจ กระทั่งฉันเปลี่ยนมาจิกเล็บที่ใบหูของมันนั่นแหละ ไอ้สารเลวถึงชะงักและผละออกเล็กน้อย
“อยากไรนัก ไปทำกับคนอื่นไป๊” ด้วยความโมโห ฉันจึงอาศัยจังหวะนั้นตะคอกใส่หน้ามันอย่างสุดจะกลั้น
ไอ้ดินขมวดคิ้วเล็กน้อย...
“ไปทำกับคนอื่นไม่ได้ จะจีบเธอ ต้องทำกับเธอ”
“จีบบ้านพ่อนายเขาทำกันแบบนี้เหรอวะ!” โอ๊ย ฉันจะบ้าตาย ไม่มีคนดี ๆ ที่ไหนเขาจีบคนอื่นด้วยการจูบเอา ๆ ๆ ๆ แบบนี้หรอกนะ
“ตอนพ่อจีบแม่ พ่อกินแม่ตั้งแต่แรกพบ”
“...” ครอบครัวนี้มัน...
“ถ้าฉันเลิกยุ่งกับหยงจริง ๆ เธอเตรียมตัวไว้เลย” หนาวไปทั้งตัวเมื่อข้อนิ้วแข็งกระด้างแตะโดนซิปกระโปรงนักศึกษา “ฉันจะ ‘จีบเธอ’ แบบไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน คอยดู”
เดี๋ยวนะ จีบแบบไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน...
ไอ้หมอนี่มันเป็นคนประเภทไหนกันแน่
พลั่ก!
ยอมรับว่าตกใจมากจนต้องดิ้นรนขัดขืน อีกทั้งยังผลักร่างหนาออกหวังเอาตัวเองออกไปจากตรงนี้ แต่ไอ้ดินกลับไม่สะเทือนและทำท่าจะจู่โจมฉันอีกครั้ง
ครืด...
ยังโชคดีที่มีการสั่นเตือนจากเครื่องมือสื่อสารในกระเป๋ากางเกงไอ้ดิน ทำให้มันยอมละความใจจากฉัน
ซึ่งแทนที่ฉันจะได้โอกาสจากตรงนี้ มันกลับใช้มือเพียงข้างเดียวล้วงเอาโทรศัพท์ที่ยังคงสั่นอย่างต่อเนื่อง ส่วนมืออีกข้างยังรั้งกันไว้ ฉันจึงทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากดิ้น ดิ้น และดิ้น!
“หยงโทรมา” เจ้าของโทรศัพท์ชูหน้าจอขึ้นประกอบคำพูด ซึ่งเป็นอีหยงจริง ๆ
พูดไม่ทันขาดคำ
“แล้วจะทำไงต่อ?” ทางด้านฉันเลิกคิ้วขึ้นเพื่อสังเกตปฏิกิริยาของฝ่ายตรงข้าม ไอ้ดินทำหน้าอึน ๆ เหมือนอยากให้ฉันเป็นคนตัดสินใจ แต่เมื่อฉันนิ่งและแผ่รังสีบางอย่างผ่านสายตา มันจึงพูดต่อ
“รับแทนไหม”
“ทำไมฉันต้องรับแทนนายด้วย มันโทรมาหานายไม่ใช่ไง?”
“อือ ก็...”
เจ้าตัวเม้มริมฝีปาก ไม่รู้หรอกว่ามันกำลังคิดอะไรอยู่ และไม่ได้อยากรู้ขนาดนั้นด้วย
แต่ดูจากทรงแล้ว คล้ายไอ้ดินยังมีความลังเลและชั่งใจอยู่พอสมควร อ้อ อีหยงไม่ได้มาร้านอาหารกับพวกเรานะ หลังจากเหตุการณ์ที่มหาวิทยาลัย มันขอตัวกลับก่อน เหมือนจะมาเจอที่แอลกอฮอล์ทีเดียวเลย
“แล้ว?” ฉันไม่ได้ละลายสายตาไปจากมัน รู้นะว่าตัวเองมีมุมที่น่าหมั่นไส้ แต่แล้วไง ฉันไม่ได้เกิดมาเพื่อทำตัวให้โดนใจทุกคนบนโลก เช่นเดียวกันกับสถานการณ์ในตอนนี้ที่ฉันทำราวกับว่ามีอิทธิพลเหนือไอ้ดิน ฉันแค่อยากรู้ว่ามันจะทำยังไงต่อก็เท่านั้นเอง
ติ๊ด...
สิ้นคำถามนั้นไม่นาน ไอ้ดินก็กดรับทันที ทว่ามันไม่ส่งเสียงอะไรเป็นการทักทาย มีเพียงแค่...การโน้มหน้าเข้ามาใกล้ฉัน ส่วนปลายนิ้วที่ยังสัมผัสอยู่ตรงซิปถูกเคลื่อนมายังชายกระโปรง ปลายนิ้วกดลงที่ขาอ่อน...ทำท่าจะรุกรานเข้ามาด้านใน
“อ๊ะ ไอ้ดิน” สัญชาตญาณสั่งให้ฉันด่ามันทันที กว่าจะรู้ตัวว่าทำไมมันถึงทำแบบนี้ก็ตอนได้ยินเสียงเล็ก ๆ เล็ดลอดออกมาจากปลายสาย
[ดิน...นายอยู่กับไอ้ฟ่างเหรอ?]
เพราะไอ้ดินเปิดลำโพง ฉันจึงได้ยินชัดเจนว่าเสียงอีหยงเต็มไปด้วยความประหลาดใจมากแค่ไหน
“...” ไอ้ดินไม่ตอบอีหยงรวมถึงฉันด้วย เพียงจ้องหน้าฉันด้วยสายตาทำลายล้าง ปลายนิ้วเย็นเฉียบที่ไม่รู้ว่าเปลี่ยนเป็นร้อนระอุตั้งแต่เมื่อไหร่ยังคงสัมผัสขาอ่อนฉันอย่างหมิ่นเหม่ ฉันรู้ว่าไอ้ดินต้องการพิสูจน์เรื่องความสัมพันธ์ของมันกับอีหยงต่อหน้าฉัน แต่เป้าหมายรองลงมาเป็นผลประโยชน์ส่วนตัวมากกว่า ดังนั้นฉันจึงส่งสายตาประมาณว่า ‘อย่าแม้แต่จะคิด’ กลับไป
ทว่าคนดื้อด้านกลับเลิกคิ้วข้างหนึ่งอย่างกวนประสาท ก่อนใช้ริมฝีปากที่เคยคลี่ยิ้มอย่างร้ายกาจแตะเบา ๆ บนริมฝีปากของฉัน ลักษณะการสัมผัสแม้จะแค่เฉียดผ่าน แต่เพราะปลายนิ้วของมันไม่ได้อยู่เฉย ทำให้ฉันสะดุ้ง และต้องสะดุ้งหนักขึ้นไปอีกเมื่อริมฝีปากเคลื่อนไปสัมผัสซอกคอ
...ขบเม้มเบา ๆ
ปึก!
ฉันทุบไหล่หนาด้วยแรงทั้งหมดที่คิดว่าทำให้อีกฝ่ายสะทกสะท้าน
มันชะงักก็จริงอยู่...แต่ไม่ยอมหยุดทำตัวลามปามฉันสักที พักหลังมานี้ฉันเปลืองตัวกับมันไปเท่าไหร่แล้ว
[ดิน ๆ ได้ยินไหม? ถามว่าอยู่กับไอ้ฟ่างเหรอ] เสียงอีหยงดังแทรกขึ้นมาอีกครั้ง สัมผัสได้เลยว่าน้ำเสียงมันเข้มข้นมากกว่าเดิมพอสมควร
“อ๊ะ...” สาบาน ฉันไม่ได้ตอแหลหรือจงใจสร้างสถานการณ์ให้อีหยงดิ้นตาย แต่เสียงกระท่อนกระแท่นที่หลุดออกไปเมื่อกี้...ฉันเองก็แทบไม่รู้ตัว “ยะ อย่ามาทำแบบนี้นะเว้ย...”
ปลายนิ้วเพื่อนชั่วสัมผัสโดนอันเดอร์แวร์...ตรงจุดกึ่งกลางของร่างกายฉัน ฉันถูกความโกรธพุ่งชน แต่ขณะเดียวกันความอับอายก็ฉาบหัวใจของฉันไปด้วยจนไม่รู้ว่าควรจัดการกับสถานการณ์แบบนี้ยังไงดี ก็เห็น ๆ กันอยู่ว่าไอ้ดินเป็นฝ่ายได้เปรียบ ด่าก็แล้ว ทุบก็แล้ว แต่ไม่สะทกสะท้านสักนิด
คุกคามกันขนาดนี้ ยังกล้าใช้คำว่าจีบได้อีกเหรอ
“ทำให้หยงรู้สิว่าฉันเป็นของเธอ”
หลังเงียบไปพักหนึ่ง ไอ้ดินก็กระซิบข้างหูฉันด้วยน้ำเสียงชวนจักจี้ จากความเบาของเสียง คาดว่าอีหยงคงไม่ได้ยิน “ดินเป็นของใคร ฟ่างบอกเลย”
“ไม่!...อ๊ะ”
กำลังจะพ่นคำหยาบคายใส่เพราะทนพฤติกรรมลามปามนี้ไม่ไหวแล้ว แต่เสียงของฉันกลับสะดุดลง ก่อนกลายเป็นเสียงอุทานแปร่ง ๆ เพราะอันเดอร์แวร์ภายใต้กระโปรงนักศึกษาถูกปลายนิ้วแหวกเข้ามาจน...เนื้อแนบเนื้อ
ฉันจิกเล็บที่หัวไหล่ไอ้ดินโดยอัตโนมัติ สั่นสะท้านไปทั้งตัวกับการคุกคามที่ทั้งเอาแต่ใจและดื้อรั้น
หัวใจฉันเต้นระทึกจนแทบกระดอนออกมาจากอก ขณะนั้นลมหายใจกรุ่นร้อนของไอ้ดินรุนแรงขึ้นเมื่อปลายนิ้วทำท่าจะสอดลึกเข้ามา แต่มันกลับชะงักและกระซิบข้างหูฉันอีกครั้งเหมือนให้ทางเลือก
“บอกหยงทีว่าดลภาคีมีเจ้าของแล้ว”
ฉันเกลียดมัน...เกลียดที่ทำแบบนี้กับฉัน
ผู้ชายก็เหมือนกันหมด
สำหรับพวกมันแล้ว ผู้หญิงคงเป็นได้แค่วัตถุทางเพศเท่านั้นสินะ