หญิงสาวนั่งจ้องตะเกียบในมือสลับกับอาหารหลากหลายตรงหน้า น้ำลายสอเต็มกระพุ้งแก้มด้วยกลิ่นอาหารเย้ายวน
“เจ้าอายุเท่าไหร่แล้ว เหตุใดแค่จับตะเกียบกินข้าวยังทำไม่ได้” ติงชุ่ยดุพร้อมทั้งยกมือเท้าเอว สีหน้าจริงจังจนหญิงสาวที่นั่งอยู่ทำหน้ามุ่ยแล้วชูนิ้วเรียวงามขึ้นมาสี่นิ้ว ติงชุ่ยขมวดคิ้วแล้วเอ่ยถาม
“สี่? สี่อะไร สิบสี่ ยี่สิบสี่” ติงชุ่ยหงุดหงิดที่เห็นหลันหลันจับตะเกียบคีบอาหารเองไม่ถูกวิธี
“ข้าสี่ขวบแล้วนะ” นางอ้าปากโต้เถียง ติงชุ่ยไม่ยอมให้นางกินข้าวเช้าเสียที เพราะนางจับตะเกียบไม่เป็น เมื่อวานนางกินโจ๊กกับหมั่นโถว เช้านี้หลัววั่งมาแต่เช้าตรู่ มาถึงก็เร่งรีบหุงข้าวทำอาหาร หลันหลันตื่นแต่เช้ามืด ไม่กล้ามองเลยไปยังเตียงนอนของเซียวเหรินที่อยู่ด้านใน นางไม่รู้ว่าตั่งที่นางอาศัยนอนอยู่นี่มีฉากกั้นตั้งแต่เมื่อใด ปกตินางอยู่กับคุณหนูกงก็ตื่นแต่เช้าตรู่อยู่แล้ว นางรีบจัดแจงเก็บที่นอนจากที่เคยเห็นคุณหนูทำมาก่อน แล้วรีบล้างหน้าล้างตาแปรงฟันก็เป็นจังหวะที่หลัววั่งเข้ามาในครัวแล้ว นางจึงได้ช่วยงานเล็กๆ น้อยๆ เท่าที่หลัววั่งไว้วางใจจะให้ช่วย จนกระทั่งติงชุ่ยเข้ามา จัดการยกอาหารเช้าไปให้เซียวเหรินแล้วมายืนดูนางที่หิวจนท้องร้องโครกครากแล้ว แต่ก็ยังไม่ยอมให้นางได้กินข้าวเช้าเสียที
“สี่ขวบ!” ติงชุ่ยส่ายหน้าไปมา ไม่ว่าอย่างไรหลันหลันก็ยืนยันว่าตัวเองเป็นนกหงส์หยก หากไม่เพราะนางเคยเห็นคนสติฟั่นเฟือนมาก่อน คงรับมือกับหลันหลันไม่ได้แน่ จะว่าไปจากคนป่วยที่มาหาเซียวเหริน หลันหลันดูจะเป็นอันตรายน้อยที่สุด อย่างน้อยนางก็ไม่คลุ้มคลั่งอาละวาดทำร้ายผู้ใด
“เอาละ เช่นนั้นปกติแต่ก่อนเวลากินเจ้ากินอย่างไร” หลัววั่งเอ็นดูหญิงสาวผู้นี้นัก มักใช้น้ำเสียงอ่อนโยนขัดกับรูปร่างสูงใหญ่ของตน
“คุณหนูป้อนข้า” นางยิ้มกว้าง แล้วอ้าปากขึ้นเล็กน้อย แต่ก่อนคุณหนูก็คอยป้อนอาหารให้นางจริงๆ นี่นะ
หลัววั่งเห็นแล้วก็โคลงศีรษะไปมา เป็นฝ่ายหยิบตะเกียบคีบเนื้อไก่คำเล็กๆ แล้วยื่นไปหมายจะป้อนให้นาง แต่ติงชุ่ยกลับหวีดร้องออกมาก่อน
“มารดาเถอะ! เจ้าเป็นแม่นางหรือไรต้องป้อนอาหารนางเช่นนี้!” ติงชุ่ยกระทืบเท้าไม่พอใจแล้วเป็นฝ่ายจับมือของหลันหลันให้คีบตะเกียบอย่างถูกวิธี
“เจ้าก็เหมือนกัน! จะสอนใช้ตะเกียบทำไมต้องดุนางด้วย หากเจ้าเป็นแม่คนจริง ลูกๆ คงร้องไห้หิวข้าวเป็นแน่”
หลันหลันมองติงชุ่ยกับหลัววั่งสลับไปมาแล้วนางก็ยิ้มกว้างออกมา
“พี่สาวกับพี่ชายต้องเป็นแม่และพ่อที่ดีแน่ๆ”
เพียงประโยคเดียวของหลันหลันทำให้ทั้งสองหยุดชะงักไปทันที ติงชุ่ยแก้มแดงอย่างไม่รู้ตัวในขณะที่หลัววั่งก็ทำหน้าไม่ถูก หลันหลันใช้นิ้วประคองตะเกียบแล้วพุ้ยข้าวเข้าปากคำน้อยๆ ค่อยๆ เคี้ยว เมื่อทำได้แล้วจึงยื่นตะเกียบไปหมายจะคีบเนื้อไก่ผัดผักในจาน แต่ติงชุ่ยตีมือเบาๆ
“เห็นไหม มีตะเกียบกลางวางอยู่ตรงนี้”
“อ้อ” นางพยักหน้าขึ้นลงแล้วทำตามที่ติงชุ่ยสอน
“หลันหลัน แล้วครอบครัวของเจ้าเล่า” หลัววั่งชวนคุยเปลี่ยนเรื่อง
“อ้อ!” นางยิ้มน้อยๆ พลางเคี้ยวอาหารในปาก “คุณหนูเป็นคนเลี้ยงดูข้ามาตั้งแต่เด็ก ข้าเองก็จำเรื่องราวของท่านพ่อท่านแม่ไม่ได้แล้ว แค่จำได้ว่าตอนเด็กข้าอ่อนแอและอัปลักษณ์ พี่น้องถูกขายไปหมดเกลี้ยง แต่กับตัวข้าที่ยกให้เป็นของแถมยังไม่มีผู้ใดเอา คนเลี้ยงก็มิใส่ใจ ข้าหิวมากๆ ก็เลยลอบหนีออกมาตั้งแต่นั้นก็ไม่ได้ข่าวคราวพี่น้องหรือพ่อแม่อีกเลย”
ทั้งหลัววั่งและติงชุ่ยได้ยินก็เวทนานัก แม้ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งมาให้เห็นใจ แต่ดูจากท่าทางบริสุทธิ์ไร้เดียงสานี้แล้ว ก็พอเข้าใจได้ว่าทำไมนางจึงคิดว่าตัวเองเป็นนกน้อย
“พี่หลัววั่งทำกับข้าวอร่อยที่สุดเลย” หลันหลันชมจากใจจริง นางคิดถึงคุณหนู หากคุณหนูได้ชิมก็ต้องชอบแน่ๆ
“อร่อยก็กินเยอะๆ เจ้าผอมไปนะ” หลัววั่งเอ็นดูนางนัก “หรืออยากให้ข้าสอนทำกับข้าวก็มาเป็นลูกมือข้าได้”
นางกำลังจะพยักหน้าเช่นทุกครั้งแต่แล้วก็ชะงักไป นางมีชีวิตในโลกนี้ได้แค่สี่สิบเก้าวัน นี่ก็วันที่สี่แล้ว นางจะมีเวลาหัดทำกับข้าวอร่อยๆ เช่นนี้หรือ?
“เป็นอะไรไป” ติงชุ่ยถามเพราะเห็นสีหน้าหมองหม่นของหญิงสาว
หลันหลันส่ายหน้าไปมา “ประเดี๋ยวกินข้าวเสร็จแล้ว ข้าช่วยเก็บล้างถ้วยชามแล้วจะขึ้นเขานะเจ้าคะ”
“ขึ้นเขาไปทำอะไร” ติงชุ่ยขมวดคิ้ว
“ข้าอยากไปดูที่ที่ข้าตกลงมาเจ้าค่ะ” ‘เผื่อว่า....นางจะเจอร่างนกหงส์หยกของตัวเอง’
“ไปคนเดียวอันตราย ประเดี๋ยวข้าไปเป็นเพื่อน” หลัววั่งเสนอตัว
“เจ้าไปแล้วใครจะช่วยท่านเซียว หากเกิดเรื่องเช่นเมื่อวานอีกจะทำอย่างไร”
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ข้าถามซือ เอ่อ ท่านเซียวแล้ว ท่านเซียวบอกว่าอยู่ไม่ไกลจากที่นี่นัก เดินตามเส้นทางที่ชาวบ้านเข้าไปหาของป่าก็พบ ข้าไม่หลงทางแน่นอน เพราะข้าเป็นนก!”
ติงชุ่ยกับหลัววั่งพยายามกลั้นหัวเราะไม่ขำถ้อยคำของหลันหลัน เอาเถิด พวกเขาเริ่มเชื่อว่านางเป็นนกจริงๆ แล้วละ
ทั้งสองเห็นว่านางได้ปรึกษากับท่านเซียวแล้วจึงไม่คิดห้ามปรามอีก มื้อเช้าผ่านไปเรียบร้อย หลันหลันที่ใส่เสื้อผ้าของติงชุ่ยก็รีบวิ่งไปตามทิศทางที่หลัววั่งย้ำอีกครั้ง ติงชุ่ยได้แต่บอกตัวเองให้ซ่อมชุดเก่าของตนมาให้เจ้านกน้อยใส่อีกสักชุด ดูท่านางจะตัวเล็กกว่ามาก ขนาดแขนเสื้อยังยาวเลยข้อมือออกมามาก
ใช่! เพราะนางเป็นนกที่ไม่ว่าจะอย่างไรก็บินกลับรังได้นะซิ!