“แล้วบ้านของป้าต๋าซูไปทางไหนเจ้าคะ”
“เจ้ามีธุระอันใดรึ” เขาถามกลับพลางดึงแขนเสื้อของนางคืนตามเดิม เป็นหญิงสาวที่ไม่ค่อยระวังตัวเองเสียเลย ปล่อยให้ผู้อื่นม้วนแขนเสื้อ จับมือจับไม้เช่นนี้
“ข้าคุยกับท่านป้าต๋าซูยังไม่เข้าใจกระจ่างนัก ท่านป้าก็หันหลังเดินหนีไปก่อน ข้าวิ่งตามอย่างไรก็ตามไม่ทัน”
“เจ้าคุยอะไรกับป้าต๋าซู” เซียวเหรินถามอย่างสนใจ ป้าต๋าซูตายหลังจากที่นางหมดสติไปไม่นานนัก เพียงแค่เขาอุ้มนางกลับเข้ามาในห้องได้ครึ่งก้านธูป หลัววั่งก็เรียกเขาเสียงสั่นให้ออกไปดูป้าต๋าซูอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ป้าต๋าซูจากไปแล้วแต่กลับมีรอยยิ้มบนใบหน้า ลูกชายตัวใหญ่ยักษ์ร้องไห้เสียงดังแต่ก็ไม่ได้โวยวายเอาเรื่องอะไรกับเขาอีก ได้ยินจากติงชุ่ยว่าป้าต๋าซูสั่งเสียไว้แล้ว เจ้าหมียักษ์นั้นจึงได้แต่อุ้มร่างไร้ลมหายใจของมารดากลับออกไป
“ท่านป้าบอกว่าข้าจะอยู่บนโลกนี้ได้แค่สี่สิบเก้าวัน” นางพูดด้วยสีหน้าจริงจัง แล้วก็ทำหน้าสะดุ้งยกนิ้วมือขึ้นมากางออก กระดิกไปมาเหมือนกำลังนับตัวเลข “ข้าตื่นมากี่วันแล้วเจ้าคะ”
“ถ้านับตั้งแต่ที่ข้าอุ้มเจ้าขึ้นจากน้ำ วันนี้วันที่สามแล้ว” เขาอมยิ้มน้อยๆ ไม่ได้ขัดว่านางกำลังพูดเรื่องอันใดอยู่ “แล้วอย่างไรต่อ”
“อ้อ!” นางรีบพูดตามที่นางได้ยินมาตรงทุกถ้อยคำ “เจ้ายังต้องทำความปรารถนาให้เป็นจริงเสียก่อน เจ้าอธิษฐานเช่นนั้นมิใช่หรือ”
“อธิษฐาน?” เขาเดินไปรินน้ำชาแล้วส่งให้หญิงสาวดื่ม นางรีบคว้ามาดื่มเพราะกระหายน้ำอยู่ก่อนแล้ว หลังจากดื่มจนหมดรวดเดียวก็ใช้หลังมือเช็ดปากตัวเองเร็วๆ ราวกับกลัวจะลืมถ้อยคำของป้าต๋าซู
“นี่ไม่ใช่ร่างของเจ้า ดวงจิตของเจ้ามาอยู่ในร่างนี้ได้เพียงแค่สี่สิบเก้าวันเท่านั้น” หลันหลันพูดพร้อมเลียนแบบน้ำเสียงของป้าต๋าซู “ที่เจ้ายังมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ได้เพราะมีผู้มอบลมหายใจต่ออายุให้เจ้า”
เซียวเหรินรับฟังทุกถ้อยคำของนางไม่กล่าวขัด รอให้นางพูดออกมาจนหมด
“ในสี่สิบเก้าวันที่เจ้าอยู่บนโลกมนุษย์นี้ เจ้าต้องกลืนกินลมหายใจของเขาเพื่อต่ออายุเจ้า”
หลันหลันพูดตามทุกถ้อยคำของป้าต๋าซู ความสามารถในการจดจำคำพูดของนางนั้นยอดเยี่ยมที่สุด คุณหนูกงกล่าวชมนางเสมอ หญิงสาวยืดอกรอรับคำชมจากเซียวเหริน แต่ชายหนุ่มกลับนิ่งฟังไร้รอยยิ้ม เมื่อมีเพียงแค่ความเงียบ ไหล่นางจึงห่อลงเล็กน้อยพร้อมรอยยิ้มที่เจื่อนไป
“เจ้าจะอยู่ได้แค่สี่สิบเก้าวันหรือ?” เขาเอ่ยขึ้นหลังจากมั่นใจว่านางไม่พูดอะไรออกมาอีก หญิงสาวพยักหน้าขึ้นลงแทนคำตอบ “เจ้าฟื้นมาสามวันแล้ว เท่ากับว่าเจ้าเหลืออีกสี่สิบหกวัน”
“ถูกต้อง!” นางยืดแผ่นหลังตั้งตรงขึ้นมาอีกครั้ง “ซือ...เอ่อ...เซียวเหรินเก่งที่สุด”
หัวคิ้วของเขากระตุก เขาอายุยี่สิบสองแล้วไม่จำเป็นต้องได้คำชมเชยกับแค่การคำนวณจำนวนตัวเลขง่ายๆ แค่นี้
“ระหว่างนี้เจ้าต้องกลืนกินลมหายใจผู้ที่ช่วยชีวิตเจ้า”
หลันหลันพยักหน้าขึ้นลงเร็ว “น่าจะเป็นเช่นนั้น”
เซียวเหรินยื่นหน้าไปใกล้หญิงสาว นางไม่ได้ถอยหลังหลบ หรือมีสีหน้าเขินอาย แต่ดวงตาของนางกลับจ้องมองเขาด้วยแววตาใสซื่อ
“เช่นนั้นเมื่อครู่เจ้ากลืนกินลมหายใจของข้ารึ?”
“เมื่อครู่ข้ากลืนกินลมหายใจของซือ...เอ่อ...เซียวเหรินหรือ?”
นางถามเขากลับแล้วขมวดคิ้ว นางจำได้ว่านางวิ่งตามป้าต๋าซู แต่ท่านป้าเดินเร็วเหลือเกิน นางวิ่งตามจนแน่นหน้าอกหายใจไม่ออก ร่างกายหมดเรี่ยวแรง และเหมือนมีคนยื่นมาพยุงนางนางจึงคว้าไว้เหมือนที่นางจมน้ำแล้วคว้าสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวเพื่อเอาตัวรอด
“ช่างเถอะ” เขาโบกมือไปมา
“บอกข้า คุณหนูกงของเจ้าเล่าเรื่องใดเกี่ยวกับข้าบ้าง”
หลันหลันฉีกยิ้มกว้าง ดวงตาเป็นประกายดุจดวงดาวบนฟากฟ้า “คุณหนูเล่าเรื่องซือจื่อทุกเรื่อง ท่านเป็นสหายร่วมอาจารย์กับคุณชายกงอี้เทาและท่านจางซงหยวน ทุกครั้งที่ท่านจางลอบมาพบคุณหนู มักนำเรื่องราวของซือจื่อมาเล่าให้คุณหนูฟังเสมอ”
เซียวเหรินยกมือขึ้นนวดขมับ เจ้าสองคนนั้นปากเปราะยังไม่พอ นี่กงเสวี่ยหลิงยังเล่าเรื่องเกี่ยวกับตัวเขาให้สาวใช้ฟังด้วยหรือ?
“มีเรื่องอะไรบ้าง”
“ซือจื่อเป็นคนโมโหร้ายแต่ไม่แสดงออก” นางพูดด้วยรอยยิ้ม
“ซือจื่อทำตัวเป็นสัตว์กินพืชทั้งที่ชอบกินเนื้อ ซือจื่อเก่งกล้าสามารถแต่ไม่อวดตัว ซือจื่อชอบศึกษากลยุทธ์การทำศึกแต่ไม่ชอบสงคราม ซือจื่อไม่ชอบอากาศเย็นและไม่ชอบกินถั่วแดง ซือจื่อ...”
“พอแล้ว” มีแต่เรื่องไร้สาระทั้งนั้น เขาไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้กับสาวใช้ของกงเสวี่ยหลิงดี นางไร้เดียงสาเกินไป นอกจากใบหน้างดงามอ่อนหวานและเรือนร่างบอบบางนี้ นางเป็นสาวใช้ที่ไม่น่าจะเอาตัวรอดในวังหลวงอันโหดเหี้ยมได้เลย หรือเพราะกงเสวี่ยหลิงต้องอยู่ในฐานะองค์หญิงเชลย นางจึงพอใจกับสาวใช้ไร้พิษสงเช่นนี้
“เอาเถิด เจ้าก็อยู่ที่นี่รอกงอี้เทามารับก็แล้วกัน” เขาลุกขึ้นยืน “และอย่ารบกวนข้าโดยเฉพาะเตียงของข้าและห้องปรุงยา”
“เจ้าค่ะ” หญิงสาวพยักหน้าหงึกๆ อย่างเข้าใจ “เอ่อ...”
“มีอะไรก็ว่ามา” เขาอยากยื่นมือไปจับใบหน้าของนางไม่ให้พยักหน้าขึ้นลงอีก นางช่างใส่ใจกับการเป็น ‘นก’ เสียจริง
“ท่านป้าต๋าซูบอกว่าข้าต้องกลืนกินลมหายใจของผู้ที่ช่วยชีวิตข้า..ซือ...เอ่อ..เซียวเหรินเป็นผู้ช่วยชีวิตข้า ข้าขอกลืนกินลมหายใจของท่านได้หรือไม่”
เซียวเหรินกำลังจะเดินออกไปต้องชะงัก เขาจ้องมองแววตาของนางที่ยืนยันคำพูดของตัวเองแล้วลอบถอนหายใจเบาๆ นางเป็นสตรี เป็นฝ่ายเสียหายแต่กลับเมินเฉยกับเรื่องเหล่านี้ เขาเองก็ไม่แน่ใจว่าคนที่เจ็บปวดทางจิตใจอย่างนาง หากขัดใจนางแล้วจะมีอาการต่อต้านอย่างไร
ชายหนุ่มไม่ได้เอ่ยปากตอบรับหรือปฏิเสธ เขาหมุนตัวเดินออกไปเงียบๆ ปล่อยให้หลันหลันได้แต่ทำหน้ามุ่ยไม่เข้าใจความหมายของเขา
เซียวเหรินไม่แน่ใจว่าระหว่างที่นางขอ ‘กลืนกินลมหายใจ’ กับขอ ‘กลืนกินหนอนอวบอ้วนเป็นอาหาร’ สิ่งไหนจะประหลาดน้อยกว่ากัน