เซียวเหรินผลักบานประตูห้องออกมา เขากวาดตามองแต่ไม่เห็นร่างของหญิงสาวตัวเล็ก นางจะอยู่หรือไปไหนทำสิ่งใดมิใช่เรื่องของเขาเลยสักนิด แต่ก็อดมองหาไม่ได้ เขาเม้มปากครุ่นคิดด้วยความเคยชิน ใคร่ครวญว่าควรถามหลัววั่งกับติงชุ่ยที่กำลังรับมือกับคนป่วยที่ทยอยเข้ามาให้เขาตรวจโรคดีหรือไม่ หางตาของเขาก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา ด้วยบุคลิกลักษณะแล้วมิใช่ชาวบ้านทั่วไป กลิ่นไอสังหารเข้ามาก่อนจะมาถึงตัวเขาเสียอีก
“ข้ามาพบท่านหมอเซียวเหริน”
ติงชุ่ยกระโดดหลบไปอยู่ด้านหลังหลัววั่งทันทีที่เห็นชายฉกรรจ์ท่าทางดุดัน หลัววั่งเองแม้ตัวใหญ่แต่ไร้วรยุทธ์ เขาทำได้เพียงยืดแผ่นอกเตรียมปกป้องคนที่ถูกถามถึง แต่เซียวเหรินรู้ดีว่าคนกลุ่มนี้ไม่ใช่คนที่หลัววั่งจะล่วงเกินได้ เขาจึงก้าวออกมาด้านหน้าแม้ไม่ขยับปากเอ่ยอะไร แต่คนกลุ่มนั้นก็เข้าใจได้อย่างดี
“มีธุระอันใด”
“มีคนป่วย ต้องการให้ท่านไปรักษา”
“ข้าไม่ออกไปรักษาผู้ใด” เซียวเหรินยืนยันเจตนารมณ์ของตน แต่ไหนแต่ไรเขารักษาคนที่มาหาเขาที่นี่เท่านั้น ตามจริงแล้วเขาไม่อยากรักษาใครเลยด้วยซ้ำ อยากศึกษาตำราแพทย์เงียบๆ และใช้ชีวิตสันโดษมากกว่า
“แต่คนผู้นี้ ท่านต้องไปรักษา” ชายคนนั้นหยิบป้ายคำสั่งออกมาให้เซียวเหรินดู
เดิมทีเซียวเหรินมิได้สนใจนัก ต่อให้องค์ฮ่องเต้ออกคำสั่งมาก็ใช่ว่าจะสนใจ แต่ที่เรียกความสนใจของเขาเพราะเซียวเหรินคาดเดาว่าเป็นคนเดียวกับที่พยายามย่ำยีกงเสวี่ยหลิง เขาเองก็ใคร่อยากพิสูจน์คำพูดของหลันหลัน
“ได้”
หลัววั่งและติงชุ่ยตกตะลึงไป ไม่คิดว่าเซียวเหรินจะยอมออกไปรักษาผู้อื่น ทั้งสองติดตามเซียวเหรินมาเกือบสามปี ไม่เคยเห็นมีผู้ใดบังคับให้เซียวเหรินรักษาได้ หรือครั้งนี้จะเป็นคนที่มีอำนาจมากจริงๆ
“พวกเจ้าอยู่ดูแลที่นี่ ข้าไปไม่นานก็กลับ”
เซียวเหรินหมุนตัวเดินไปหยิบล่วมยา หนึ่งในชายฉกรรจ์ยื่นมือมารับล่วมยาไปถือให้ คล้ายกลัวอีกฝ่ายเปลี่ยนใจ ติงชุ่ยกับหลัววั่งได้แต่มองตามเซียวเหรินออกไปด้านนอกพร้อมคนชุดดำกลุ่มนั้น ตอนนี้ หลันหลันก็ไม่อยู่ ถึงอยู่ก็คงทำอะไรไม่ได้ พวกเขาได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ หวังว่าคนดีๆ อย่างเซียวเหรินจะไม่มีใครทำร้าย
....
หญิงสาวไม่แน่ใจว่าตัวเองมีเรี่ยวแรงขึ้นเพราะได้ ‘กลืนกิน’ ลมหายใจของเซียวเหรินหรือว่านางกินข้าวได้มากขึ้น หลันหลันเดินตามเส้นทางที่เซียวเหรินบอกไว้ ชีวิตนอกรั้ววังหลวงมิได้เลวร้ายนัก ได้เจอคนดีๆ อย่างติงชุ่ยและหลัววั่ง มิน่าเล่าคุณหนูกงเสวี่ยหลิงถึงได้ใฝ่ฝันอยากใช้ชีวิตนอกวังหลวงแห่งนั้น
นางเดินขึ้นเขาอยู่ราวหนึ่งชั่วยามด้วยความไม่เร่งร้อน หลัววั่งได้เตรียมอาหารแห้งและน้ำดื่มมาให้ด้วย เมื่อเห็นบึงขนาดใหญ่เบื้องหน้า ไม่ไกลนักมีน้ำตกสูงตระหง่าน หญิงสาวหลับตาคิดถึงภาพเหตุการณ์ทั้งหมด นางเผลอกำมือแน่นจนเล็บจิกที่กลางฝ่ามือ ความเจ็บที่เกิดขึ้นทำให้ได้สติอีกครั้ง หญิงสาวมองผิวน้ำแล้วนึกถึงตอนที่ร่างร่วงลงมากระแทกผิวน้ำ
างบอบบางสั่นสะท้านขึ้นมา
นางกลั้นเสียงสะอื้นไม่ให้ตัวเองร้องไห้ ไม่ว่าคุณหนูจะถูกรังแกมากเพียงใด แทบไม่เคยเห็นคุณหนูร้องไห้ หญิงสาวรวบรวมความกล้าเดินไปใกล้ตลิ่งแล้วกวาดตามองหา ‘ซากศพ’ ของตัวเอง ผ่านมาสี่วันแล้ว ร่างนกหงส์หยกของนางไม่น่าจะ....หรืออาจกลายเป็นอาหารของสัตว์อื่นไปแล้ว
นั่นสิ...นางมาดูสิ่งใดกัน มาเพื่อหวังว่าจะได้พบคุณหนูอีกครั้งหรือ?
“คุณหนู” หลันหลันพึมพำออกมา “คุณหนูอยู่ที่ไหน คุณหนูอย่าทิ้งหลันหลันไว้อย่างนี้”
นางไม่อยากร้องไห้ แต่น้ำใสๆ ก็ร่วงลงมาจากดวงตา นางส่ายหน้าไปมา ไม่ได้! นี่คือร่างกายของคุณหนู คุณหนูกงเสวี่ยหลิงที่แสนเข้มแข็งไม่แสดงความอ่อนแอให้ใครเห็น หลันหลันบอกตัวเองแล้วไปที่ริมตลิ่ง ย่อตัวลงนั่งหมายจะใช้มือวักน้ำขึ้นมาล้างหน้าตาให้สดชื่น ทว่านางเห็นเงาตัวเองในน้ำ นี่คือใบหน้าของคุณหนูที่นางรักและภักดี
ใครต่อใครว่านกหงส์หยกชอบส่องกระจก แต่นางไม่ชอบ ด้วยรู้ว่าตัวเองอัปลักษณ์เพียงใดจึงไม่ชอบส่องกระจก มือเรียวเล็กแตะที่แก้มตัวเอง ใบหน้านี้ ริมฝีปาก จมูก ดวงตา นี่คือใบหน้าของคนที่นางรักที่สุด คุณหนูไม่ได้ไปไหน คุณหนูอยู่กับนาง คุณหนูทิ้งร่างกายนี้ให้นางใช้
‘หลันหลัน’
น้ำเสียงของกงเสวี่ยหลิงลอยเข้ามาในหัวของนาง
‘เจ้าโบยบินไปสู่ท้องฟ้าอันอิสระเถิด อย่าถูกกักขังเช่นข้า ข้าติดค้างเจ้า รั้งนกน้อยอย่างเจ้าให้อยู่เป็นเพื่อนข้า ทั้งที่บ้านของเจ้าคือท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ คืออิสรเสรี’ เหตุใดคุณหนูถึงกล่าวเช่นนั้นนะ เพราะมีคุณหนูโอบอุ้มเลี้ยงดู นางจึงมีชีวิตรอดปลอดภัยต่างหาก
หรือคุณหนูอยากให้ข้าอยู่ในร่างนี้ ได้ลองใช้ชีวิตมนุษย์ดูนะหรือ?
โธ่! คุณหนู ท่านก็รู้ว่าสมองนกของข้าเล็กนิดเดียว เหตุใดไม่กล่าวให้กระจ่างเล่า!