(ผักบุ้ง)
ยอมรับว่าการเจอพี่ต้องเตรออยู่ในบ้านเวลานี้ค่อนข้างเป็นเรื่องน่าตกใจ ถึงแม้ว่าเมื่อก่อน เขาจะเข้าออกบ้านฉันเป็นประจำ
แต่ช่วงสองปีหลังมานี้ เขาแทบไม่มาบ้านฉันเลย เป็นฉันเองเสียอีกที่เป็นฝ่ายไปหาเขาตลอด
“พี่ต้องเตมาทำอะไรเหรอคะ”
“เดี๋ยวนี้ พี่มาบ้านเราไม่ได้แล้วรึไง”
“เอ่อ ไม่ใช่อย่างนั้นนะคะ บุ้งแค่แปลกใจ ปกติเวลานี้พี่ต้องเตต้องซ้อมมวยไม่ใช่รึไง”
พี่ต้องเตยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนจะเดินเข้ามาหาฉัน แล้วดึงฉันไปนั่งที่ศาลาในสวนซึ่งเขานั่งอยู่ก่อนหน้านี้
ฉันมองการกระทำของพี่ต้องเตด้วยความรู้สึกสับสน ไม่รู้ว่าควรรู้สึกประหลาดใจ หรือดีใจดีที่เขาทำแบบนี้
“บุ้งบอกว่าเกิดอุบัติเหตุหนิ พี่เลยมาดู”
“อ๋อ บุ้งไม่เป็นอะไรมากค่ะแค่หกล้มเอง”
“ซุ่มซ่ามอีกแล้วนะคะเรา”
พี่ต้องเตวางมือลงบนศีรษะฉัน แล้วโยกเบา ๆ อย่างที่เขาชอบทำ ฉันเลยยิ้มแหย ๆ กลับไปให้เขา ทั้งที่ก่อนหน้านี้ เขาทำเหมือนไม่ได้สนใจแล้วแท้ ๆ ทำไมตอนนี้เขาถึงทำเหมือนเป็นห่วงกันละ
“เข้าบ้านมั้ย คุณยายบัวทำวุ้นมะพร้าวไว้ให้ด้วยนะ”
“พี่ต้องเตเจอคุณยายด้วยเหรอคะ?”
เมื่อก่อนบ้านหลังนี้ฉันอาศัยอยู่กับยายสองคน ซึ่งตั้งแต่ที่ฉันเข้ามหาวิทยาลัย ยายก็กลับไปอยู่บ้านที่ต่างจังหวัดและยายจะขึ้นมาหาฉันเดือนละครั้ง หรือสอง สามเดือนครั้ง
เมื่อก่อนตอนยายยังอยู่บ้านหลังนี้ ยายจึงได้เจอกับพี่ต้องเตอยู่บ่อย ๆ เพราะบ้านพี่ต้องเตอยู่ไม่ไกล เดินไม่ถึงสามนาทีก็ถึงแล้ว และเขาก็มาที่บ้านฉันบ่อยด้วย
“อืม แต่ยายบัวขึ้นไปนอนแล้วล่ะ เราเข้าบ้านกันมั้ย”
“เอ่อค่ะ เข้าบ้านกัน” ฉันยิ้มกว้างออกมา แล้วเดินนำพี่ต้องเตเข้าไปในบ้าน
พี่ต้องเตเดินตรงเข้าไปในห้องครัว หยิบวุ้นมะพร้าวออกมาให้พร้อมทั้งเสิร์ฟน้ำเองเสร็จสรรพ
จนฉันเริ่มสับสนแล้วว่าใครเป็นเจ้าของบ้านกันแน่
“ทำเหมือนบ้านตัวเองเลยเนอะ” ฉันหันไปยิ้มแซว
พี่ต้องเตยื่นมือมายีหัวฉันก่อนจะหันกลับไปกินวุ้นมะพร้าว
ภาพพี่ต้องเตกำลังนั่งกินวุ้นมะพร้าวฝีมือยายเคยเป็นภาพคุ้นตาเมื่อสองปีก่อน มันนานจนแทบจะเลือนหายไปจากความทรงจำของฉันแล้วด้วยซ้ำ
“นานแล้วเนอะ ที่เราไม่ได้นั่งกินวุ้นมะพร้าวกันแบบนี้” ฉันพูดขึ้นขณะตักวุ้นมะพร้าวเข้าปาก
“พี่ขอโทษนะ ช่วงนี้พี่ไม่ว่างเลย”
น่าแปลกที่คำขอโทษจากพี่ต้องเตทำให้ฉันยิ้มออกมาได้ง่าย ๆ เพียงแค่เขาพูดว่าขอโทษ ไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย ก่อนหน้านี้ใจฉันต้องทนเจ็บแทบตายกับความน้อยใจ แต่ฉันก็ยังมายิ้มให้กับคำขอโทษจากเขาอีกอย่างนั้นหรือ
“บุ้งก็รู้ว่าความฝันของพี่คือการเป็นนักมวยอันดับหนึ่งของเอเชีย พี่เลยต้องซ้อมหนักเพื่อทำให้ความฝันนั้นเป็นจริง”
ฉันรู้ดีว่าการเป็นนักมวยคือความฝันของพี่ต้องเต เพราะฉันรู้ และอยากสนับสนุนเขา ฉันเลยพยายามเข้าใจมาโดยตลอด เขาไม่มีเวลาเหมือนเดิม ไม่ได้คุยกันทุกวันเหมือนเดิม ฉันเองก็พร้อมจะเข้าใจ ขอเพียงแค่เขาบอก ฉันก็พร้อมจะรอแต่มีสิ่งเดียวที่ฉันยังค้างคาใจ
“พี่ต้องเต บุ้งถามอะไรหน่อยสิ”
“อืม ถามอะไร”
“ความฝันของพี่มีบุ้งอยู่ในนั้นบ้างมั้ย ถ้าวันหนึ่งไม่มีบุ้ง พี่ก็ยังทำความฝันต่อไปได้ใช่มั้ย”
“ทำไมถามอย่างนั้นล่ะ?” พี่ต้องเตหันมามองหน้าฉัน
ซึ่งตอนนี้ฉันกำลังสั่งห้ามน้ำตาตัวเองไม่ให้ไหลลงมา บางทีคนที่เข้าใจทุกอย่างก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่เจ็บนะ
เพียงแค่คนคนนั้นจะเลือกเก็บความเจ็บปวดไว้แบบไหนแค่นั้นเอง
“ไม่รู้สิ บุ้งก็แค่ถามดู” ครั้งนี้น้ำตาฉันไหลลงมาอย่างห้ามไม่อยู่
“เป็นอะไรไป ปกติเราไม่ใช่คนงี่เง่าแบบนี้หนิ”
คำว่า งี่เง่า ของพี่ต้องเต ทำให้ฉันยิ้มออกมาทั้งน้ำตา ฉันงี่เง่าอย่างนั้นเหรอ ฉันคนที่อดทนมาตลอดแบบนี้เรียกว่างี่เง่าอย่างนั้นเหรอ
“พี่ว่าบุ้งงี่เง่าเหรอ”
ฉันเงยหน้ามองพี่ต้องเตทั้งน้ำตา สายตาที่เขามองมาทำให้ฉันเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่ามันเกิดอะไรกับสายตาคู่นั้น สายตาที่มองมาทางฉันตอนนี้มันแปลว่าอะไรกันแน่
“ไปกันใหญ่แล้วบุ้ง พี่ไม่ได้อยากทะเลาะกับเรานะ”
“บุ้งก็ไม่ได้อยากทะเลาะค่ะ แต่บุ้งแค่กำลังเสียใจ” ฉันเม้มปากเข้าหากันแน่นพยายามกลั้นเสียงสะอื้นของตัวเอง
“พอแล้วอย่าร้อง”
“พี่ไม่คิดจะถามหน่อยเหรอคะว่าบุ้งกำลังจะเสียใจอะไรอยู่”
พี่ต้องเตถอนหายใจออกมาก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงติดรำคาญ “บุ้งอย่างี่เง่าแบบนี้ดิ บุ้งก็รู้ว่าพี่ไม่ชอบ”
ฉันยกหลังมือขึ้นปาดน้ำตา แล้วลุกขึ้นยืน รวบรวมความกล้าทั้งหมด พูดความรู้สึกภายในใจตัวเองออกไป
“บุ้งขอถามหน่อยเถอะ สองปีมานี้พี่เคยสนใจ หรือเป็นห่วงบุ้งจริง ๆ สักครั้งมั้ย”
“บุ้งแม่งทำทุกทางเลยนะเว้ย ทำทุกอย่างเพื่อให้พี่พอใจ แม้ว่าบางอย่างอาจจะฝืนตัวเอง บุ้งก็ยังเต็มใจจะทำ”
น้ำตาฉันไหลลงมาอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่พี่ต้องเตยังมองมาทางฉันด้วยสายตานิ่งเรียบ
“ถ้าคนหนึ่งเป็นฝ่ายเฝ้ารอตลอด เป็นฝ่ายเข้าใจอีกคนตลอดแล้วมาวันนี้อีกคนกลับมาบอกว่าเธองี่เง่า เป็นพี่ พี่จะเสียใจมั้ย”
“พี่จะว่าบุ้งยังไงก็ได้ แต่พี่อย่าดูถูกความพยายามของบุ้งได้มั้ย ฮึก”
ความอ่อนแอครั้งนี้ทำให้ฉันเหมือนคนไร้เรี่ยวแรง แม้แต่จะทรงตัวยืนยังทำไม่ได้เลย
พรึบ
ฉันทรุดลงคุกเข่าลงกับพื้นตรงหน้าพี่ต้องเต พร้อมทั้งร้องไห้ออกมาอย่างหนัก วินาทีต่อมา ฉันรู้สึกถึงสัมผัสอบอุ่นที่คุ้นเคยบนศีรษะตัวเอง
“ถ้ามันต้องพยายามขนาดนั้น พี่ว่าบุ้งเลิกพยายามดีมั้ย”
คำพูดของพี่ต้องเตทำให้ฉันนิ่งไปชั่วครู่
หัวใจที่เคยเต้นแรงเวลาอยู่ใกล้เขา บัดนี้กลับค่อย ๆ เต้นช้าลง ความเจ็บปวดเริ่มกลายเป็นความด้านชา ลามไปทั้งตัวคล้ายกำลังตกลงสู้ห้วงลึกอันหนาวเหน็บของมหาสมุทร
“พี่ต้องเตหมายความว่าอะไรคะ”
“ความสัมพันธ์ของเราตอนนี้ ผักบุ้งไม่เห็นต้องพยายามอะไรขนาดนี้เลย”
“…”
“บุ้งอย่าลืมนะว่า เรายังไม่ได้เป็นอะไรกัน บุ้งเองก็รู้ดีไม่ใช่เหรอว่าที่ผ่านมามันคืออะไร”
พี่ต้องเตพูดถูก ความสัมพันธ์ของเราไม่ได้ถูกนิยามมาแล้วตั้งแต่แรก แล้วตอนนี้ฉันกำลังเสียใจกับอะไรอยู่
ในเมื่อความสัมพันธ์ในครั้งนี้ มีแค่ฉันที่คิดไปเองคนเดียว
“นั่นสินะคะ บุ้งขอตัวไปอาบน้ำก่อนดีกว่า ฝากพี่ต้องเตปิดบ้านด้วยนะ”
ฉันลุกเดินออกมาจากตรงนั้น ตรงไปยังห้องนอนตัวเองโดยที่ไม่กล้าหันกลับไปมองทางด้านหลังอีก
น้ำตายังคงไหลลงมา คล้ายกำลังตอกย้ำความจริงที่ฉันรู้อยู่แล้วตั้งแต่แรกซึ่งเป็นฉันเองที่เลือกมองข้ามมัน
ความสัมพันธ์ที่ไม่เคยเริ่มต้นจากคำว่า คนรัก และไม่เคยมีคำนั้นอยู่เลย