(ผักบุ้ง)
พวกเราทั้งสามคนเลือกมาร้านหมูกระทะหลังมอ. ร้านนี้เป็นร้านเด็ดประจำมหาวิทยาลัยของเราเลยก็ว่าได้จึงไม่แปลกที่เวลานี้ คนจะนั่งกันเต็มร้าน โชคดีที่มีโต๊ะหนึ่งว่างพอดี หากต้องรอคิวนาน ฉันว่ามีหวังสองพี่น้องคู่นี้ได้เผาร้านก่อนพอดี
“คนเยอะฉิบหาย”
“อย่าบ่นหน่ากาย เอาเมนูไปแล้วรีบสั่งดีกว่า หิวจะแย่”
เมื่อเข้ามานั่งที่โต๊ะ พนักงานก็เดินมารับ ออร์เดอร์ หมูกระทะที่นี่จะเป็นแบบเซต ไม่ใช่บุฟเฟ่ต์ แม้ว่าจะมีเมนูไม่มากแต่ฉันยืนยันได้เลยว่ามีแต่ของอร่อยทั้งนั้น ฉัน และพวกบิวมากินกันบ่อยมาก
“เอาเซตหมูชุดใหญ่มา 2” พี่กวางเริ่มสั่งเป็นคนแรก
ตามมาด้วยพี่ชายของเธอ “เอามา 5 เลย”
“เอาทะเลมา 5 ชุดด้วย”
“ผักเซตใหญ่ 3”
“เอาผักกาดเยอะ ๆ นะกาย”
“เพิ่มผักกาดมาอีกสองจาน”
ฉันมองสองพี่น้องสั่งอาหารกันพลางกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ พวกเขามั่นใจใช่ไหมว่าสั่งมากินสำหรับสามคน ไม่ใช่สิบคน
“ผักบุ้งเอาอะไรมั้ย”
ฉันยิ้มแหย ๆ ให้พี่กวาง ตอนนี้ยังมีอะไรที่ยังไม่ได้สั่งอีกอย่างนั้นเหรอ ฉันกวาดสายตามองเมนูก่อนจะสั่งของโปรดตัวเองเพิ่มมาอีกเพียงอย่างเดียว
“เอาข้าวโพดแล้วกันค่ะ”
“โอเค จัดไป”
ไม่นานอาหารก็เริ่มทยอยมาเสิร์ฟ เนื่องจากปริมาณอาหารที่ค่อนข้างเยอะ ทางร้านจึงต้องเพิ่มโต๊ะให้เพื่อสำหรับวางอาหารเท่านั้น
บรรดาหมู อาหารทะเล และผักต่าง ๆ วางเรียงรายราวกับจัดงานเลี้ยงตรงหน้าทำให้ฉันได้แต่นั่งมองตาปริบ ๆ ไม่รู้ว่าควรเริ่มจากตรงไหนก่อนดี
“Lady and Gentleman”
พี่กวางลุกขึ้นยืน เธอผายมือไปยังอาหารมากมายบนโต๊ะด้วยรอยยิ้มกว้าง
“เวลาต่อจากนี้คือเวลาแห่งความสุข ต้องขอขอบคุณเจ้าภาพผู้หน้ายักษ์ของเราด้วย และขอเชิญน้องรักของพี่พูดอะไรเพื่อเปิดพิธีการกินหมูกระทะในครั้งนี้”
ปกติเวลาไปกินเลี้ยงสายรหัสกัน ฉัน และพี่กวางชอบเล่นกันแบบนี้ แต่ไม่คิดเลยว่าครั้งนี้พี่กวางจะเล่นด้วย
ฉันมองไปรอบ ๆ รู้สึกเขินอายเล็กน้อย ไม่อยากเล่นกับพี่กวางเลยจริง ๆ
“ขอบคุณสำหรับคำเชิญค่ะ” ฉันหันไปโค้งคำนับพี่กวาง เล่นสักหน่อยแล้วกัน ฮ่า ๆ
ฉันหันไปหยิบขวดน้ำขึ้นมาถือเป็นไมค์ “โหลเทส โหลเทส”
“เนื่องในโอที เอ๊ย โอกาส”
“ฮ่า ๆ” พี่กวางขำลั่น เธอเป็นคนสวยที่ไม่เคยห่วงสวยแถมเส้นตื้นมากจริง ๆ
ส่วนพี่กาย ฉันคิดว่าเขาคงทำหน้าเมื่อยอย่างเคยแต่บนใบหน้าเขากลับมีรอยยิ้ม แต่พอเห็นว่าฉันมองอยู่กลับแยกเขี้ยวใส่เสียอย่างนั้น
“ต้องขอขอบคุณน้องหมู เห็ด เป็ด ไก่ กุ้ง หอย ปู ปลาที่สละชีวิตอันมีค่ามาให้เราวันนี้ ฉะนั้นวันนี้พวกเราสามคนจอมเขมือบจะเขมือบทุกอย่างบนโต๊ะไม่ให้เหลือ”
“พอเลย ๆ ใครเป็นจอมเขมือบกับเธอวะ” พี่กายดึงฉันให้นั่งลง
ฉันกำลังจะอ้าปากพูดแต่เขาดันยัดหมูใส่ปากฉันเป็นการปิดปากเสียก่อน “กินเข้าไป จะได้เลิกบ้า”
ทันทีที่เนื้อหมูนุ่มฉ่ำไปด้วยน้ำซอสแตะต่อมสัมผัสรสชาติ ดวงตาฉันก็เบิกกว้าง ความอร่อยของมันทำเอาฉันลืมเรื่องเครียดทุกอย่างไปชั่วพริบตา
“กายอย่าพึ่งกินสามชั้นได้มั้ย กวางตั้งไว้ให้มันเกรียม ๆ เนี่ย”
“กินเกรียม ๆ มันไม่ดีนะ”
พรึบ
ตะเกียบของฉัน และพี่กวางจับหมูสามชั้นบนกระทะที่พี่กายกำลังจะหยิบไปกินพร้อมกัน แล้วยังพูดพร้อมกันอีกว่า
“หมูสามชั้นแบบเกรียมดีที่สุด!”
“เหลือเชื่อเลย พวกเธอเนี่ย”
พี่กายมองหน้าพวกเราพลางส่ายหน้า แล้วถอนหายใจออกมา
“ผักบุ้งขอใส่ข้าวโพดนะค้า” ฉันเทข้าวโพดลงในช่องสำหรับต้ม
นี่ถือเป็นจุดเด่นของหมูกระทะไทยเลยก็ว่าได้ ฉันอยากกราบแนบตักคนคิดเตาหมูกระทะเสียจริงที่ได้สร้างเตาออกมาแบบนี้ หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าการใส่ข้าวโพดเป็นเม็ด ๆ ลงไปในน้ำซุปนั้นวิเศษขนาดไหน แล้วยิ่งน้ำหมักจากหมูที่เราปิ้งด้านบนไหลลงมาแล้วนั้น ยิ่งทำให้น้ำซุปทั้งหอม หวาน เค็มนัวอย่าบอกใครเลย
“เฮ้ย อย่าใส่เยอะดิ อร่อยรึเปล่าก็ไม่รู้”
ฉันหันไปมองคนที่พึ่งสบประมาทสูตรลับเฉพาะของฉัน แล้วหันกลับมาตักข้าวโพดในน้ำซุปแล้วป้อนใส่ปากเขา
“เป็นไง อร่อยใช่มั้ย”
พี่กายไหวไหล่เล็กน้อย “ก็ดี”
ไม่น่าเชื่อว่าอาหารที่สั่งมามากมาย ทยอยหมดไปอย่างรวดเร็ว
เวลาผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงที่ฉันกินอย่างต่อเนื่อง ทำให้ฉันเริ่มรู้สึกอิ่ม และจุก แต่สิ่งที่ทำให้จุกมากกว่าอาหารดูเหมือนจะเป็นเพลงจากร้านหมูกระทะ
เคยมีใครทำวิจัยรึยังว่าทำไมร้านหมูกระทะชอบเปิดเพลงเศร้า และเหมือนจะมีคนหนึ่งด้วยแล้วที่คิดเหมือนฉันตอนนี้
“เคยสงสัยกันปะ ทำไมร้านหมูกระทะชอบเปิดเพลงเศร้า?”
“เพราะอยากให้มึงนั่งกินเงียบ ๆ ไง” ช็อตฟิวขั้นแรงสูงมาก
พี่กายหันมองฉัน และพี่กวางที่มองตรงไปยังเขาด้วยสายตาไม่พอใจ
“เลิกมองแบบนั้น เดี๋ยวพ่อก็ควักลูกตาหรอก”
“อย่าไปสนใจเลยบุ้ง ว่าแต่ทำไมบุ้งน้ำตาคลอเบ้าอะ?”
ฉันเงยหน้าขึ้น ใช้มือพัดน้ำตาไม่ให้ไหลมา กลั้นมันไว้สุดความสามารถ
น้ำตาครั้งนี้ ไม่ได้มาเพราะควันหมูกระทะแต่อย่างใด แต่มาจากเพลงในร้านหมูกระทะต่างหาก
“เพลงมันเศร้าอะเจ๊”
“เฮ้ย จะร้องทำไม เพลงเศร้าก็ต้องชนดิวะ”
พี่กวางหยิบหมูสามชั้นขึ้นมาชนเข้ากับหมูสามชั้นในมือฉัน เราเอาหมูสามชั้นเกรียม ๆ เข้าปากแล้วกอดคอกันร้องตามเพลงที่กำลังเปิดอยู่
“เหนื่อยพอแล้วที่พยายามทำให้เธอรัก”
“แต่ไม่ได้ ให้รักเธอทั้งหัวใจคงไม่พอ”
“รู้แล้วว่ารักไม่มีความหมาย”
“พึ่งเข้าใจ ว่าคนมันไม่ใช่ก็คือไม่ใช่อยู่ดี”
เพลงนี้มันเหมือนมีดกรีดลงกลางหัวใจฉันซ้ำ ๆ หน้าพี่ต้องเตลอยมาซ้อนทับกับเตาหมูกระทะในตอนนี้ เฮ้อ บางทีฉันก็ถามตัวเองนะว่าตอนนี้กำลังทำอะไรอยู่ ทั้งที่ฉันเองรู้ดีอยู่แล้วว่า
‘คนมันไม่ใช่ ก็คือไม่ใช่อยู่ดี’
กลับกลายเป็นว่า วันนี้ไม่ได้กินหมูกระทะเพียงอย่างเดียวแต่ได้กินน้ำตาด้วย อยากฝากถึงร้านหมูกระทะทุกร้านไว้ตรงนี้เลยนะคะ ถ้าจะเปิดเพลงเศร้าขนาดนี้เตรียมเหล้าไว้ให้หนูด้วย
“ไง หมดสภาพเลยดิ”
“อย่าแซวได้ปะ” ฉันบอกพี่กายด้วยเสียงแหบแห้ง เนื่องจากร้องเพลงกับพี่กวางเยอะไปหน่อย
“ทีอย่างนี้ละ ทำมาเป็นอาย ตอนกอดคอร้องเพลงกลางร้านหมูกระทะกับไอ้กวางไม่เห็นอาย”
“ไม่พูดด้วยแล้ว จอดด้านหน้าเลยค่ะ บ้านผักบุ้งอยู่ด้านหน้านี้แล้ว”
ตอนแรกฉันจะนั่งรถกลับบ้านเอง แต่พี่กวางไม่ยอม เธอเลยให้พี่ชายของเธอมาส่งฉันที่บ้านส่วนตัวเธอเองนั้น แฟนมารับกลับไปก่อนหน้านี้แล้ว
ฉันคิดว่าพี่กายคงไม่มาส่งฉันแน่เพราะไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่เขาต้องมาส่งแต่สุดท้าย เขากลับขับรถมาส่งฉันถึงบ้านจริง ๆ
“เธออยู่บ้านคนเดียวเหรอ”
“ยุ่งไรด้วยค่ะ”
“เหอะ ปากดีจริงนะ”
เมื่อรถจอดหน้าประตูบ้าน ฉันจึงเปิดประตูเดินลงไป จังหวะที่กำลังจะปิดประตู สำนึกดีบางอย่างก็เข้ามาในหัว ฉันเลยยื่นหน้าเข้าไปขอบคุณคนในรถ ถึงเขาจะหยาบคายแต่อย่างน้อยเขาก็เลี้ยงหมูกระทะ และมาส่งฉันถึงบ้าน
“ขอบคุณ” พูดจบฉันก็รีบวิ่งเข้าบ้าน
เมื่อได้ยินเสียงรถขับออกไป ฉันจึงหันกลับไปมอง ทำไมกันนะ ทำไมถึงรู้สึกว่าหัวใจเต้นแรงขนาดนี้เป็นเพราะรอยยิ้มของพี่กายเมื่อครู่อย่างนั้นเหรอ
“ผักบุ้ง กลับมาแล้วเหรอ” เสียงที่คุ้นเคยทางด้านหลังเรียกให้ฉันหันกลับไปมอง
“พี่ต้องเต”