ณ หมู่บ้านตาลเฟิ่ง เมืองฉางซา มณฑลหูหนาน เดือน มกราคม ปี 1976
ตุ๊บ!
"อ๊ะ! อู้ย..เจ็บ"
เสิ่นเจียหนิงรู้สึกเหมือนกับว่าตนเองกำลังลอยอยู่ในอากาศ ก่อนที่ร่างของเธอจะตกลงสู่พื้นอย่างแรง เธอเปิดตาขึ้นมาแล้วพบว่าตนเองอยู่ในห้องเล็ก ๆ ที่มีบรรยากาศเก่าแก่
"ทิ..ที่นี่ ฉันคงข้ามเวลามาแล้วสินะ"
สายตาคู่คมมองไปรอบ ๆ เพื่อสำรวจสิ่งข้าวของเครื่องใช้ในห้อง หลอดไฟที่แขวนอยู่เหนือหัวกะพริบเป็นระยะ ๆ เหมือนกับว่ามันกำลังจะดับลงทุกขณะ ในห้องมีชั้นวางของไม้ที่เต็มไปด้วยฝุ่นและที่นอนบาง ๆ ที่ดูเหมือนจะมีอายุหลายสิบปี ไม่มีของใช้ที่ทันสมัยอยู่ในนั้นเลย แม้กระทั่งโทรศัพท์มือถือหรือเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่น ๆ ที่เธอคุ้นชิน
เสิ่นเจียหนิงเริ่มเดินสำรวจห้องด้วยความงุนงง เมื่อเธอสัมผัสผนังที่เย็นเฉียบ ความรู้สึกแปลก ๆ ก็เกิดขึ้นในหัวของเธอ เหมือนกับมีภาพความทรงจำมากมายหลั่งไหลเข้ามาในหัวอย่างรวดเร็ว เธอรู้สึกปวดหัวและอึดอัดใจเมื่อเห็นภาพของผู้หญิงสาวคนหนึ่งที่มีสีหน้าหม่นหมอง นั่นคือเจ้าของร่างที่เธอเข้ามาอยู่
"โอ๊ะ! โอ๊ยนี่..นี่คือภาพความทรงจำของร่างนี้สินะ ชื่อเดียวกับฉันซะด้วย"
ภาพในหัวของเธอเริ่มชัดเจนขึ้น ผู้หญิงคนนี้มีชื่อว่า เสิ่นเจียหนิง ชื่อเดียวกับเธอไม่มีผิดเพี้ยน หญิงสาวคนนี้ถูกบังคับให้แต่งงานกับชายตาบอดที่มีลูกติด ในขณะที่เธอเองยังเป็นเพียงเด็กสาวอายุเพียง 18 ปี ที่มีความฝันและความหวังมากมาย แต่ความหวังนั้นกลับถูกทำลายลงด้วยความอาภัพของโชคชะตา
เจียหนิงถูกพ่อแม่ขายให้กับบ้านหวังทั้งที่เธอไม่เต็มใจ เพื่อจะนะเงินค่าสินสอดที่ได้ 100 หยวนไปสมทบกับเงินที่มีแล้วนำไปแต่งภรรยาให้ลูกชายคนเล็ก
"ทำไมถึงเป็นแบบนี้…"
เสิ่นเจียหนิงพึมพำกับตัวเอง ขณะที่ภาพความทรงจำยังคงหลั่งไหลเข้ามาอย่างไม่หยุดหย่อน ความเศร้าโศกและความสิ้นหวังของร่างนี้ทำให้หัวใจของเธอเจ็บปวดไปด้วย
เธอรู้สึกถึงความคิดที่มืดมนในใจของร่างนี้ มันเป็นความคิดที่หลั่งไหลเข้ามาอย่างรวดเร็ว ภาพที่เธอนั่งอยู่บนเตียงน้ำตาไหลพรั่งพรู และคิดที่จะจบชีวิตด้วยการเลือกการตายเพื่อหลบหนีจากความทุกข์ทรมานนี้ยังฉายชัดอยู่ในโสตประสาท
"อย่า!"
ภาพที่เจ้าของร่างนี้ทิ้งตัวลงจากเก้าอี้เพื่อแขวนคอตัวเองทำให้เจียสุคติงถึงกับน้ำตาไหลเอ่อ ถ้าเธอลองสู้กับโชคชะตาอีกสักนิด ลองทำความรู้จักกับคนที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีอีกสักหน่อย ไม่แน่ว่าทุกอย่างอาจจะดีขึ้นก็ได้
"ฉันจะสู้กับโชคชะตา ฉันจะไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ ขอให้เธอไปสู่สุคติ ร่างนี้ฉันจะใช้ให้คุ้มค่า บุญกุศลที่ฉันทำ ฉันขอแบ่งให้เธอด้วยส่วนหนึ่ง"
เจียหนิงสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดก่อนจะลุกขึ้นแล้วมองออกไปยังนอกหน้าต่าง ขณะนั้นเองเสียงเคาะประตูห้องเธอก็ดังขึ้นพร้อมกับเสียงเล็ก ๆ ของเด็กหญิงตัวน้อย
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
"แมะ..แม่เลี้ยง ข้าวเสร็จแล้วค่ะ พ่อกับซูซูทำกับข้าวเสร็จแล้ว"
แอดดดด
เสิ่นเจียหนิงเปิดประตูออกจากห้องอย่างระมัดระวัง และเธอก็พบว่าตัวเองยืนอยู่ในห้องโถงเล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยกลิ่นหอมของอาหารพื้นบ้าน บนโต๊ะไม้เก่า ๆ มีเพียงปลาเค็มย่างที่มีสีทองกรอบ ผักป่าลวกที่ถูกจัดวางอย่างเรียบง่าย และข้าวต้มที่ดูเหมือนจะมีน้ำมากกว่าข้าว แต่เมื่อเธอมองไปที่ใบหน้าของสองพ่อลูกที่นั่งอยู่ที่โต๊ะ กลับพบว่าพวกเขามีรอยยิ้มที่จริงใจ
หวังเซียวเหริน สามีที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับเธอ ดูหล่อเหลาในแบบที่เสิ่นเจียหนิงไม่เคยคาดคิด แม้ว่าเขาจะมองไม่เห็น แต่ท่าทางที่เขานั่งอยู่และแววตาของเขาที่เป็นประกายก็ทำให้เธอรู้สึกถึงความอบอุ่นและความเข้มแข็งในตัวเขา เสิ่นเจียหนิงรู้สึกตะลึงในความหล่อเหลาของเขา แต่กลับรู้สึกเสียดายที่เขาไม่สามารถมองเห็นเธอได้ ไม่เช่นนั้นคงมีสาว ๆ หลายคนมารุมล้อมเขาแน่ ๆ
"อาหารบ้าน ๆ แบบนี้เธอกินได้ไหม?" หวังเซียวเหรินถามเสียงนุ่ม
"กินได้ค่ะ พี่กับลูกกินเถอะ ต่อไปนี้ฉันจะเป็นคนรับหน้าที่เรื่องทำอาหารเอง"
เสิ่นเจียหนิงตอบกลับด้วยรอยยิ้ม แม้ว่าอาหารจะดูขาดแคลน แต่เธอรู้สึกว่าเธอได้มาอยู่ในจุดนี้แล้ว เธอไม่คิดจะหลีกหนีโชคชะตาและเธอจะทำทุกอย่างให้เต็มที่
"ขอโทษนะที่ต้องพาเธอมาลำบากไปด้วย พี่จะพยายามช่วยเหลือตัวเองไม่ให้เป็นภาระของเธอ"
หวังเซียวเหรินพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสำนึกผิด เขาเองก็ไม่คิดเหมือนกันว่าในยามที่เขาหมดผลประโยชน์ พ่อกับพี่ชายแท้ ๆ จะมองว่าเขาเป็นเพียงตัวภาระที่ต้องผลักไสไปให้คนอื่น
"ซูซูด้วยค่ะ ซูซูจะเก็บผักป่าไปแลกแต้มให้ได้เยอะ ๆ บ้านเราจะได้มีข้าวกินไม่ต้องอดอยาก"
เสิ่นเจียหนิงหันไปมองที่ลูกเลี้ยงที่นั่งอยู่ข้าง ๆ หนูน้อยมีชื่อว่า หวังซูซู อายุ 5 ขวบ เด็กหญิงตัวเล็กมีรอยยิ้มสดใสไร้เดียงสา แม้จะดูเหมือนจะต้องเผชิญกับความยากลำบาก แต่ความหวังในดวงตาของหนูน้อยกลับทำให้เสิ่นเจียหนิงรู้สึกมีแรงฮึดสู้เช่นกัน
เจียหนิงยิ้มบาง ๆ ให้กับสองพ่อลูก ทั้งคู่ดูไม่ได้เลวร้ายหรือน่ากลัวตรงไหน ถึงแม้ว่าข้าวปลาอาหารจะดูขาดแคลน แต่บรรยากาศที่อบอุ่นของครอบครัวนี้ทำให้เธอรู้สึกเหมือนกับว่าเธอสามารถเรียกที่นี่ว่า 'บ้าน' ได้อย่างเต็มปากเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี
"จะเป็นอะไรไหมถ้าฉันอยากทำความรู้จักกับพี่กับลูกอย่างเป็นทางการอีกครั้ง ฉันเป็นคนที่ชอบการพูดคุยตรง ๆ ไม่ชอบอ้อมค้อม ไม่ชอบเอาเปรียบใครและไม่ชอบให้ใครเอาเปรียบ"
เจียหนิงเอ่ยขึ้นในระหว่างที่ทั้งสามคนกำลังนั่งกินข้าวกันอยู่ เธอเชื่อว่าคนที่ต้องอยู่ด้วยกันควรจะรู้จักกันและปรับตัวเข้าหากันถึงจะดีที่สุด
"แบบนั้นก็ดีเหมือนกัน เริ่มจากพี่ก่อน อาหนิงน่าจะได้ยินจากผู้ใหญ่มาบ้างแล้วถึงความเป็นมาของพี่ แต่พี่จะแนะนำตัวให้เธอรู้จักอีกครั้ง ผมหวังเซียวเหริน อายุ 28 ปี ผ่านการแต่งงานมาแล้ว 1 ครั้ง มีลูกสาววัย 5 ขวบ 1 คน ชื่อหวังซูซู"
"..." "..."
"5 ปีก่อนทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ของสำนักงานที่ดินอยู่ที่ เมืองกว่างโจว มณฑลกวางตุ้ง เมื่อ 6 เดือนก่อนหลังจากถูกลอบทำร้ายจนสายตามองไม่เห็นจึงได้กลับมาอยู่บ้านเกิด จากนั้นเพียง 1 เดือน...ภรรยาหรือแม่ของซูซูก็ได้ขอหย่าและจากไปเมื่อ 5 เดือนก่อนครับ"
เสียงของคนตัวโตแผ่วเบาลงเมื่อถึงประโยคสุดท้ายเพราะกลัวจะกระทบจิตใจลูกสาว แต่มันก็คือความจริงที่ทุกคนต้องรับให้ได้
"ซูซู อายุ 5 ขวบค่ะ เป็นลูกสาวคนเดียวของพ่อ ถึงไม่มีใครรัก ขอแค่พ่อรักซูซูคนเดียวก็พอแล้ว แม่เลี้ยงไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ ซูซูจะไม่ดื้อไม่ซน ไม่ทำตัวให้เป็นภาระของแม่เลี้ยงแน่นอนค่ะ"
คนฟังรู้สึกจุกในอกจนพูดอะไรไม่ออก นี่เหรอคือคำพูดของเด็กวัยเพียง 5 ขวบ มือเรียวยื่นออกไปลูบหัวของหนูน้อยตัวจ้อยด้วยความเอ็นดู
"ซูซูเด็กดี ต่อไปนี้ให้หนูเรียกฉันว่าแม่ หรือแม่เจียหนิงก็ได้ตามแต่ที่หนูชอบ เราเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว หนูเป็นลูกแม่ แม่เป็นแม่ของหนู เอาแบบนี้ดีไหมจ๊ะ?"
เมื่อได้ยินแบบนั้นแววตาของหนูน้อยก็เปล่งประกายวาววับ ใจดวงน้อยพลันอบอุ่นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ขนาดแม่แท้ ๆ ของเธอยังไม่เคยพูดดีกับเธอขนาดนี้มาก่อน
"จริงเหรอคะ ซูซูเรียกแม่เจียหนิงได้จริง ๆ เหรอคะ?"
"จริงสิจ๊ะ เรารีบกินข้าวกันเถอะ วันนี้แม่จะทำความสะอาดบ้านครั้งใหญ่ ว่าแต่แถวนี้มีบ่อน้ำไหมคะ ฉันอยากเก็บผ้าไปซัก ดูแล้วฝุ่นค่อนข้างเยอะเต็มไปหมด"
หวังเซียวเหรินที่ได้ยินแบบนั้นก็พลันรู้สึกผิด หากเขามองเห็นคงช่วยเธอได้มากกว่านี้
"ขอโทษด้วยนะเจียหนิง เพราะพี่มองไม่เห็นถึงได้ปล่อยให้บ้านมีฝุ่นละอองเยอะแบบนี้"
"ไม่ใช่ความผิดของพี่ พี่ยังอยู่ในช่วงปรับตัวฉันเข้าใจ"
"เอาเป็นว่าเดี๋ยวกินข้าวเสร็จพี่กับซูซูจะพาเธอเดินไปที่คลองส่งน้ำหลังบ้าน"
ขณะนั้นเองสายตาของเจียหนิงก็สังเกตเห็นถังไม้ซึ่งเป็นงานทำมือที่ค้างคาอยู่ เธอจึงหันไปถามว่าเป็นฝีมือของใคร
"ถังไม้พวกนั้นใครทำเหรอคะพี่เซียวเหริน ฝีมือประณีตมากเลยนะคะ"
"พี่ทำเอง เดิมทีก็เป็นงานอดิเรกที่ทำเป็นประจำตอนมีเวลาว่าง ช่วงนี้ชาวบ้านหลายคนชอบมาสั่งให้ทำให้แลกกับข้าวปลาอาหารเล็ก ๆ น้อย ๆ"
"อย่างนี้นี่เอง ถ้าเปิดร้านขายต้องขายดีแน่ ๆ"
เจียหนิงบ่นพึมพำเมื่อเห็นว่าชิ้นงานที่เซียวเหรินทำค่อนข้างละเอียด
"ขายไม่ได้หรอก ลืมไปแล้วเหรอว่าประชาชนไม่สามารถขายของได้ อีกอย่างเสบียงอาหารที่ชาวบ้านเอามาแลกถังไม้ พี่ก็แบ่งส่วนหนึ่งให้อาโต้วด้วย ถึงจะได้น้อยแต่ก็ได้แบ่งปันกันกิน"
"อาโต้ว? อาโต้วคือใครเหรอคะ"
"พี่ชายอาโต้วคือเพื่อนบ้านของเราค่ะแม่เจียหนิง พี่ชายใจดีมากนะคะ ชอบมาช่วยพ่อตัดไม้ แล้วก็ชอบพาซูซูไปเก็บผักป่าไปส่งคอมมูนเพื่อแลกแต้ม"
เสียงของเด็กหญิงตัวน้อยตอบขึ้นด้วยความภูมิใจ ในหมู่บ้านก็มีแต่พี่ชายอาโต้วคนนี้แหละที่เป็นเพื่อนเล่นกับเธอ แม้เมื่อก่อนแม่ของเธอจะไม่ชอบให้พี่ชายอาโต้วมาที่บ้านก็ตาม
"อย่างนั้นเหรอจ๊ะ ไว้พี่ชายอาโต้วมาเมื่อไหร่ซูซูอย่าลืมแนะนำให้แม่รู้จักด้วยนะ"
"ได้เลยค้า พี่ชายอาโต้วต้องดีใจมากแน่ ๆ"
คนเป็นพ่อแม่ที่ได้ยินเสียงสดใสของเด็กหญิงตัวน้อยก็พลอยมีรอยยิ้มไปด้วย
"เหอจิ่นโต้วเป็นเด็กกำพร้าที่อยู่บ้านข้าง ๆ เมื่อ 3 ปีก่อนแม่กับยายของเค้าตายจากไปเพราะขาดสารอาหาร ปีนั้นแห้งแล้งมากจนชาวบ้านหลายคนตายจากไป ตอนนั้นอาโต้วอายุแค่ 5 ขวบ น่าจะเท่าซูซูของเราตอนนี้"
"เก่งมากเลยนะคะ ถ้าเป็นฉันต้องเสียทุกคนไปตั้งแต่ 5 ขวบคงไม่รู้จะทำยังไงต่อ"
"ก็ได้ผู้นำหมู่บ้านที่แวะเวียนมาดูแลอยู่เป็นประจำ แต่อาโต้วเป็นเด็กดีแล้วก็ขยันมากนะ เรื่องลักเล็กขโมยน้อยหายห่วงได้เลย เค้าจะไม่เข้าใกล้เราเกินกว่าความจำเป็น"
"ถ้าวันไหนมีอาหารก็ชวนอาโต้วมากินด้วยกันนะคะ ฉันไม่ว่าอะไรแน่นอน เด็กดีเราต้องสนับสนุน เผื่อโตมาแกจะได้ทักษะช่างไม้ไปเลี้ยงชีพต่อก็เป็นได้"
สามคนพ่อแม่ลูกเปิดใจคุยกันในระหว่างมื้ออาหารอีกหลายเรื่อง กระทั่งถึงเวลาที่เจียหนิงต้องเก็บผ้าห่มไปซักเธอจึงเดินกลับเข้าห้องตัวเองเพื่อสำรวจมิติที่ชายชราพูดถึง