แสงอาทิตย์ยามเช้าสาดส่องกระทบกระจกหน้ารถ เสียงเครื่องยนต์รถสัญชาติอังกฤษดังก้องเร้าใจสายลุย เมื่อผสมผสานกับเสียงเพลงโปรดที่เปิดเบา ๆ ถือเป็นการต้อนรับวันใหม่ที่มีชีวิตชีวาไม่น้อย เริ่มต้นการเดินทางอันแสนพิเศษในวันนี้ เป้าหมายของเธอคือเมืองฉางซา เมืองเก่าแก่ที่มีเสน่ห์ดึงดูดใจ
ตลอดเส้นทางที่ยาวไกลกว่า 1,480 กิโลเมตร เสิ่นเจียหนิงขับรถไปเรื่อย ๆ ชมวิวทิวทัศน์สองข้างทางที่เปลี่ยนแปลงไปตามระยะทาง ท้องฟ้าสีครามสดใส อากาศบริสุทธิ์ ทำให้เธอรู้สึกผ่อนคลายเป็นอย่างมาก เมื่อรู้สึกเหนื่อยล้า เธอก็แวะพักตามปั๊มน้ำมัน หรือร้านกาแฟเล็ก ๆ ตามข้างทาง เพื่อดื่มกาแฟสักแก้ว หรือทานอาหารเบา ๆ เวลาหิวก็แวะชิมอาหารพื้นเมืองของแต่ละเมืองที่ผ่านไป ทำให้การเดินทางของเธอเต็มไปด้วยรสชาติและสีสัน
เวลาสองวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว เสิ่นเจียหนิงก็มาถึงเมืองฉางซาตามที่ตั้งใจไว้ เธอจองห้องพักไว้ที่หมู่บ้านโบราณกลางหุบเขา ซึ่งเป็นที่ที่เงียบสงบและเหมาะแก่การพักผ่อน เธอต้องการใช้เวลาอยู่คนเดียวเพื่อทบทวนตัวเองและสำรวจเมืองฉางซาให้ทั่วถึง แม้จะมีญาติห่าง ๆ อาศัยอยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้ แต่เธอขอเลือกที่จะพักผ่อนตามลำพัง ไม่ต้องการรบกวนใคร
ในช่วงบ่ายของวันเธอจึงขับรถไปที่สุสานของครอบครัว เพื่อจุดธูปกราบไหวพ่อแม่และบรรพบุรุษ
"พ่อคะ แม่คะ หนูมาเยี่ยมแล้วนะคะ หวังว่าพ่อกับแม่จะมีความสุข ส่วนหนูสบายดีค่ะ หนูใช้ชีวิตได้ดีมาก ๆ มีการงานที่มั่นคง บ้าน รถ เงินเก็บหนูมีครบแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วงหนูนะคะ"
มือเล็กใช้ผ้าปัดกวาดบริเวณป้ายวิญญาณที่เขียนชื่อพ่อแม่ของเธอเอาไว้ ก่อนจะวางดอกโบตั๋น ดอกไม้ที่แม่ของเธอชื่นชอบเอาไว้ที่หน้าป้ายวิญญาณ ระหว่างนั้นเองก็ลมลมเย็นพัดผ่านร่างกายของเจียหนิงราวกับเป็นการตอบรับจากดวงวิญญาณของผู้ที่ได้รับการสักการะ
"พ่อกับแม่ช่วยอวยพรให้หนูด้วยนะคะ จากนี้ไปขอให้หนูเจอคนที่รักจริง เจอคนที่จริงใจ เจอความรักที่บริสุทธิ์ ไม่อย่างนั้นหนูคงไม่กล้าเปิดใจให้ใครแน่ ๆ เลยค่ะ"
หลังจากกราบไว้พ่อแม่เสร็จ เสิ่นเจียหนิงก็ขับรถกลับไปที่ที่พักของเธอ ระหว่างทางเธอได้จอดรถมองดูบ้านหลังเก่าที่ผุพังไปตามกาลเวลา แต่ไม่ได้ลงไปดูใกล้ ๆ เพราะมีหญ้าและวัชพืชโอบล้อมจนน่ากลัวว่าจะมีสัตว์เลื้อยคลานที่มีพิษ
เวลา 1 ทุ่ม
กลับมาถึงที่พักเสิ่นเจียหนิงก็นอนหลับเป็นตายไปหลายชั่วโมง กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็พบว่าเป็นเวลา 1 ทุ่มแล้ว พอมองออกไปนอกหน้าต่างเธอเห็นว่ามีร้านอาหารและไฟแสงสีส่องระยิบระยับเต็มฟากฝั่งสองข้างแม่น้ำ เธอจึงรีบหยิบเสื้อคลุมพร้อมกับโทรศัพท์แล้วเดินออกจากห้องทันที
"กินอะไรดีน๊า..."
ตามทางเดินมีร้านอาหารมากมายรายรอบอยู่ในพื้นที่ แต่ทุกร้านในตอนนี้เนืองแน่นไปด้วยผู้คนและนักท่องเที่ยวที่ควงคู่กันออกมากินข้าวท่ามกลางอากาศที่เย็นสบาย เจียหนิงได้แต่เดินหาร้านไปเรื่อย ๆ เพราะเธอไม่ชอบความวุ่นวาย
"หวนคืนชะตา ชื่อร้านแปลกจัง แต่ตกแต่งร้านได้เก๋ดีแฮะ"
เจียหนิงเดินมาจนถึงร้านที่ตกแต่งเป็นแนวย้อนยุค คล้ายกับว่าเธอได้ย้อนเวลาเข้าไปอยู่ในยุค 70 ก็ไม่ปาน เธอรู้สึกเหมือนถูกบางอย่างดึงดูดให้เดินเข้าไปข้างในทั้งที่ร้านไม่มีลูกค้าเลยสักคน
แอดดดด
"มาถึงแล้วสินะ รออยู่ตั้งนาน"
ทำพูดของชายชราที่เป็นเจ้าของร้านทำให้เจียหนิงอดสงสัยไม่ได้ ทั้งที่เธอก็มาที่นี่เป็นครั้งแรกและไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่อีกฝ่ายกลับพูดเหมือนกับรู้มาก่อนว่าเธอจะมา
"..."
"เลือกที่นั่งได้เลยแม่หนู ตาเค้าก็รอลูกค้าทุกคนที่เราต้องให้บริการนั่นแหละ เอาเป็นโต๊ะริมหน้าต่างดีไหมจ๊ะ เดี๋ยวยายจะยกชาไปให้"
"ได้ค่ะ ว่าแต่ที่นี่มีอะไรให้กินบ้างคะ"
"เรื่องนั้นแม่หนูไม่ต้องเป็นห่วง ร้านเรามีอาหารเพียงอย่างเดียว ไม่ว่าใครมาก็ต้องกินน้ำแกงข้ามกาลเวลาของเรา"
"น้ำแกงข้ามกาลเวลา!"
พอได้ยินชื่อเมนูอาหารเจียหนิงก็ยิ่งรู้สึกว่าร้านนี้แปลกจนน่ากลัว
"ใช่จ้ะ ไปนั่งเถอะ เดี๋ยวยายจะยกไปให้"
เสิ่นเจียหนิงเลือกที่นั่งริมหน้าต่างบานใหญ่ มองออกไปสู่ทิวทัศน์ของหมู่บ้านหุบเขาที่เงียบสงบ ระหว่างนั้นเธอก็ได้กลิ่นหอมของน้ำแกงตลบอบอวลไปทั่วร้าน กลิ่นของมันหอมมากจนท้องไส้ของเธอเริ่มปั่นป่วน
"มาแล้วจ้ะ นี่คือชาเสริมพลัง ส่วนนี่คือน้ำแกงข้ามกาลเวลา ส่วนหยกนี่คือประตูมิติขนาดย่อม"
ของทั้งสามอย่างถูกวางเรียงกันมาในถาดไม้ ชื่อสิ่งของทำให้เจียหนิงรู้สึกขนลุกซู่ไปทั่วทั้งตัว และที่สำคัญก็คือจี้หยกเนื้อดีที่ถูกวางมาในถาดทำให้เจียหนิงต้องหันไปถามคุณยายเจ้าของร้านด้วยความสงสัย
"หยกนี่คืออะไรเหรอคะ?"
อยู่ ๆ ไฟในร้านก็ดับลง ทำให้เสิ่นเจียหนิงได้มองเห็นภาพความวุ่นวายด้านนอกได้อย่างชัดเจน มีผู้คนและเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังล้อมวงดูอะไรบางอย่าง เสิ่นเจียหนิงจึงเดินเข้าไปดูใกล้ ๆ แต่ภาพที่เห็นมันทำให้เธออึ้งจนทำอะไรไม่ถูก
"นะ..นั่นมันฉันนี่คะ! มะ..หมายความว่ายังไง หนูตายแล้วอย่างนั้นเหรอ?"
ความรู้สึกสับสนปนเปวิ่งชนกันให้วุ่นในหัวของเธอ ร่างกายของเจียหนิงสั่นเทิ้ม น้ำสีใสค่อย ๆ ไหลรินเมื่อเห็นร่างของตนเองถูกยกขึ้นรถปอเต็กตึ๊งไปอย่างรวดเร็ว ครั้งเธอพยายามปัดป่ายจับร่างของเธอเอาไว้ก็ไม่ได้ผล
"เรื่องนี้เจ้าก็เตรียมใจไว้แล้วไม่ใช่เหรอแม่หนู"
เสียงของชายชราดังขึ้นทำให้เจียหนิงได้สติ ใช่! เธอรู้ตัวอยู่ก่อนแล้วว่าตัวเองมีภาวะลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดหัวใจ ซึ่งได้รับการถ่ายทอดจากกรรมพันธุ์ บวกกับการทำงานที่กดดันตัวเองจนเกิดความเครียดและพักผ่อนน้อย
"อึก ใช่ค่ะ หนูรู้ก่อนแล้ว แต่ไม่คิดว่าจะต้องตายเร็วขนาดนี้"
"เจ้ากลัวความตายอย่างนั้นเหรอ?"
เสิ่นเจียหนิงส่ายหัวเบา ๆ เธอไม่กลัวว่าตัวเองจะต้องตาย แค่เสียดายที่ยังไม่ได้ใช้ชีวิตให้คุ้มค่า ใครจะไปรู้ว่าอาการเจ็บที่หัวใจก่อนจะเดินเข้ามาในร้านนี้ มันจะเป็นช่วงเวลาสุดท้ายในชีวิตของเธอ
"แค่เสียดายค่ะ ยังมีหลายอย่างที่ยังไม่ได้ทำ แต่ยังไงก็ไม่มีอะไรต้องห่วงแล้ว"
ชายชรามองเจียหนิงด้วยแววตาที่ยากจะหยั่งถึง ก่อนที่หญิงชราจะทำให้ภาพบางอย่างฉายชัดบนกำแพง เป็นเรื่องราวของครอบครัวหนึ่งที่อยู่ในยุคปฏิวัติ หัวหน้าครอบครัวเป็นชายตาบอดที่เป็นผลจากการโดนทำร้ายร่างกาย ไม่ใช่ตาบอดแต่กำเนิด
ภรรยาของเขาทิ้งแล้วหนีไปทันทีที่รู้ว่าสามีตาบอด พ่อกับพี่ชายก็เอารัดเอาเปรียบ มีเพียงแม่ของเขาเท่านั้นที่แอบหยิบยื่นอาหารมาให้บ่อย ๆ ถึงชายตาบอดคนนี้จะพยายามสู้ชีวิต ทุกครั้งที่จะลืมตาอ้าปากได้ก็ถูกพ่อกับพี่ชายยิ่งชิงทุกอย่างไปจนหมด
นอกจากผู้เป็นพ่อจะยึดเงินที่ได้จากค่าชดเชยทั้งหมดไป เขายังต้องการตัดชายตาบอดออกจากการเป็นภาระของครอบครัว ด้วยการหาภรรยามาให้แต่ต้องแลกด้วยการตัดขาดไม่ยุ่งเกี่ยวกันอีก ทว่าภรรยาคนใหม่ที่แต่งเข้ามาก็ถูกบังคับจิตใจจนเธอเลือกที่จะฆ่าตัวตาย
"เห็นหรือไม่ว่ายังมีคนอื่นที่ชะตาชีวิตอาภัพกว่ารอให้เจ้าเข้าไปช่วยเหลือ"
เจียหนิงหันไปทางหญิงชราด้วยความสงสัย ต่อให้ใครต้องการช่วยเหลือแต่เธอจะทำอะไรได้ ขนาดตัวเธอก็ยังกลายเป็นวิญญาณไร้ญาติแบบนี้
"ถึงสงสารแต่จะไปทำอะไรได้ล่ะคะ ขนาดตัวฉันก็ยังเป็นแค่วิญญาณเร่ร่อน"
"หึ! ถ้าเจ้าตอบตกลง เจ้าจะได้เข้าไปอยู่ในร่างของเด็กสาวคนนั้น และได้เริ่มต้นใช้ชีวิตใหม่ตามที่ใจเจ้าปรารถนา แก้วแหวนเงินทองที่เจ้าหามาในชาตินี้ เราจะให้เจ้านำติดตัวไปในมิติ"
ชายชราพยายามหว่านล้อมเด็กสาวให้ยินยอมแต่โดยดี เพราะนี่คือหน้าที่ที่ท่านได้รับมอบหมายมา
"คุณตากำลังจะบอกว่า... การเดินทางข้ามกาลเวลามีอยู่จริงอย่างนั้นเหรอคะ?"
ใบหน้าของเจียหนิงเต็มไปด้วยความตื่นเต้น นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่เธอได้รู้สึกแบบนี้
"หากเจ้าตกลงว่าจะไปใช้ครึ่งชีวิตที่เหลือที่นั่น ก็ดื่มชาเสริมพลังกับน้ำแกงข้ามกาลเวลานั่นซะ อาจจะลำบากใจช่วงแรก แต่บั้นปลายย่อมเติมเต็มสิ่งที่ขาดหายในชีวิตเจ้าได้"
เจียหนิงหันไปมองที่โต๊ะอีกครั้ง ตอนนี้เธอไม่มีอะไรต้องห่วงแล้ว เธอจึงตัดสินใจยกชากับน้ำแกงขึ้นดื่มจนหมด
อึก อึก อึก
"หยกชิ้นนี้ห้อยคอเอาไว้ มันเป็นประตูมิติในยามที่เจ้าต้องการสิ่งของ ส่วนเรื่องราวและความทรงจำต่าง ๆ ของร่างเดิมจะเข้ามาในหัวของเจ้า จงเรียนรู้จากความทรงจำเหล่านั้นแล้วปรับตัวให้เข้ากับที่นั่นให้ได้"
ชั่วพริบตาเดียวดวงวิญญาณของเธอก็ถูกดูดไปยังสถานที่ที่มีอากาศบริสุทธิ์ ธารน้ำใสไหลเอื่อย แปลงผักเขียวขจี มีเป็ดไก่หลายสิบตัวเดินหากินอย่างมีความสุข
"นี่มันที่ไหนกัน ทำไมสวยงามน่าอยู่ขนาดนี้"
ตุ๊บ