บทที่ 5 เพียงชิดใกล้

4305 คำ
                                                                    เพียงชิดใกล้หัวใจสุดไหวหวั่น                                                                     ความสัมพันธ์คราอดีตพาจิตหวน                                                                     เพียงกรุ่นกลิ่นกำจายแสนรัญจวน                                                                     มิบังควรหักห้ามใจคลายรักเจ้า "ใครคะคุณ" คุณรัศมีเอ่ยถามสามี เมื่อเห็นว่าวันนี้มีแขกตามมาด้วย ท่าทางคงเป็นคู่ค้าทางธุรกิจ เพราะเท่าที่สังเกตดูแล้ว คนผู้นี้มีบุคลิกที่น่าเกรงขามอยู่ไม่น้อยแม้ว่าจะมีรูปร่างเพรียวบางก็ตาม  "พ่อน้องข้าวจ้าว" "คะ?" ภรรยาส่งสีหน้าฉงนกลับมาซึ่งเปรียบเสมือนตัวแทนของคำถาม พ่อน้องข้าวจ้าวอย่างนั้นหรือ เป็นไปได้อย่างไรกัน ในเมื่อรูปร่างอ้อนแอ้นอรชรแถมหุ่นยังเพรียวบางขนาดนี้ คุณรัศมีคิดว่าพ่อของหลานเป็นชายชาตรีอกสามศอกมาโดยตลอด "เดี๋ยวผมจะอธิบายให้ฟัง ตอนนี้ก็ให้คนตั้งโต๊ะได้เลยนะ เขามาทานข้าวด้วย" คุณรัศมียังสงสัยอยู่แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ เหตุเพราะสามีโทรมาสั่งการแล้วว่าให้เตรียมอาหารเพิ่มเพื่อต้อนรับแขกหนึ่งคน อดที่จะตื่นเต้นไม่ได้ เพราะคฤหาสน์แห่งนี้ไม่เคยได้ต้อนรับใครเลย หากจะคุยธุรกิจหรือจัดงานรื่นเริง เจ้าสัวมักจะจัดตามโรงแรมตลอด แต่คนนี้เห็นทีว่าจะสำคัญจริง ๆ เพราะเจ้าสัวลงทุนเปิดบ้านต้อนรับ  แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นพ่อของน้องข้าวจ้าวแล้ว ก็คงสำคัญมาก ๆ นั่นแหละ โดยที่คุณรัศมีหารู้ไม่ว่าที่เจ้าสัวต้องเปิดบ้านต้อนรับก็เพราะจำใจ เนื่องจากปราบเซียนเหนือกว่ามากในตอนนี้ สิ่งไหนตามใจได้ก็คงต้องทำ แล้วค่อยเอาคืนในอนาคตก็ยังไม่สาย อยากมาทานข้าวบ้านนี้งั้นหรือ แน่นอนว่าเขาจะเปิดบ้านต้อนรับเป็นอย่างดีด้วยอาหารรสจัดจ้านถึงทรวง เหตุเพราะเจ้าสัวได้กำชับต่อท้ายไว้เมื่อตอนโทรมาหาภรรยา ว่าแขกวันนี้ชอบอาหารรสเผ็ดจัด "เชิญนั่งรอในห้องรับแขกก่อน" เจ้าสัวเชื้อเชิญให้ผู้มาเยือนตามไป แต่เหมือนกับว่าปราบเซียนยังไม่อยากตามไปเท่าใดนัก ตาเรียวแหลมสอดส่ายไปทั่วบริเวณบ้านด้วยความหวังว่าจะเจอเจ้าตัวน้อยของเขา แต่ก็ไร้วี่แวว ไปไหนนะ "น้องข้าวไปไหนล่ะเจ้าสัว" ทันทีที่นั่งลงบนโซฟาเบดเรียบร้อยปราบเซียนก็ถามคำถามที่ตนเองสงสัยทันที เจ้าสัวไม่ตอบคำถามของเขา ทำเพียงยกยิ้มมุมปากเท่านั้น ได้สิ อยากเงียบงั้นหรือ งั้นเขาจะเป็นฝ่ายพูดเอง ปราบเซียนยกมือเป็นสัญญาณให้เลขานำของฝากเข้ามา  เต๋าเปิดกระเป๋าถือสีดำแบรนด์ดังออก หยิบขวดแก้วทรงสูงออกมาสองขวด หนึ่งในนั้นเจ้าสัวจำได้ดีว่าเป็นแบรนด์ของเขาเพราะอยู่กับมันมาเป็นยี่สิบปี อีกแบรนด์เป็นของต่างประเทศที่เจ้าสัวรู้ดีว่ารสชาติมันเลิศเลอขนาดไหน "เคยลองยี่ห้อนี้บ้างหรือยังเจ้าสัว" "ก็เคยบ้าง" "หมายถึงขวดนี้" ปราบเซียนยกขวดแก้วที่บรรจุน้ำสีอำพันไว้ในนั้นขึ้นมาวางต่อหน้าเจ้าสัว ซึ่งมันเป็นยี่ห้อที่มีชื่อเจ้าสัวธงชัยลงนามว่าเป็นเจ้าของ คนอายุมากกว่ากัดฟันกรอด คิดว่าเขาเป็นเพื่อนเล่นหรืออย่างไรถึงได้มากลับกลอกทำเหมือนลิงหลอกเจ้าอยู่อย่างนี้ "มากไปแล้วนะปราบเซียน" ปราบเซียนยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ จัดแจงเทของเหลวลงในแก้วที่เตรียมมาเอง ค้อมหัวให้ผู้อาวุโสเล็กน้อย จากนั้นก็วางแก้วลงตรงหน้าเจ้าสัว "เชิญดื่ม" "ทำไมฉันต้องดื่ม" "จะได้รู้ซึ้งสักทีว่ารสชาติมันแย่ขนาดไหน ถามตรง ๆ เลยนะเจ้าสัวที่ผูกขาดอยู่ตอนนี้เป็นเพราะเครื่องดื่มดีจริง หรือมีอะไรแอบแฝง" "หึ รู้มากเหมือนกันนะปราบเซียน" "เซียนรู้ไม่มากหรอก ก็รอเจ้าสัวเล่าให้ฟังอยู่" สายตาแหลมคมของผู้ที่คร่ำหวอดอยู่ในแวดวงธุรกิจมาก่อนมองสบกับคนหนุ่มไฟแรงอายุรุ่นลูกอย่างไม่ลดละ ตอนยังหนุ่มเขาก็ไม่ต่างกับปราบเซียนเท่าไหร่หรอก มุทะลุ แลกได้แลก ชนได้ชน อุดมการณ์มาก่อนเสมอ ปราบเซียนทำให้เขานึกย้อนมองตัวเองในอดีต และทำให้เจ้าสัวมองเห็นชัดเจนทีเดียว ทั้งนิสัยใจคอและการวางท่าประดุจดังว่าตัวเองอยู่เหนือกว่าทุกสิ่ง เหมือนกันกับเขาตอนหนุ่มราวกับแกะ แต่เมื่อเขาได้แต่งงานและมีครอบครัวความคิดทุกอย่างกลับเปลี่ยนไป อุดมการณ์อันแรงกล้าค่อย ๆ กลายร่างเป็นเงินตราเรื่อย ๆ เขาต้องมีทุกอย่าง ต้องปูทางเดินให้ลูกสาวด้วยพรมแดงที่โรยด้วยกุหลาบอีกชั้น เจ้าสัวอยากเป็นพ่อที่สามารถเสกให้ลูกสาวได้ทุกสิ่ง ต้องการสิ่งใดขอแค่เอ่ยปากขอ สิ่งนั้นจะมาวางอยู่แทบเท้าทันที ดีที่เจ้าสาวไม่ใช่คนไม่มีเหตุผลและเอาแต่ใจตัวเอง  เจ้าสัวต้องการขยับขยายธุรกิจ ต้องการมีชื่อเสียงและอยากเป็นแบรนด์เครื่องดื่มแอลกอฮอล์แต่เพียงผู้เดียว การทำความรู้จักกับท่าน ๆ ทั้งหลายจึงได้เริ่มต้นขึ้น เมื่อสนิทและแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ซึ่งกันจนพอใจ บังเกิดเป็นอำนาจและบารมี จนไม่สามารถมีใครเทียบเทียมได้ เป็นเพราะพวกพ้องที่หาผลประโยชน์มาให้กันไม่เว้นวันจึงทำให้กิจการเจ้าสัวเดินทางมาถึงทุกวันนี้ได้ เครื่องดื่มแบรนด์ใหม่ผุดขึ้นทุกวันเหมือนดอกเห็ด แต่ก็ต้องมีอันต้องระเห็จออกจากวงโคจร เพราะเจ้าสัวและหุ้นส่วนได้ทำการผูกขาดกับร้านค้า ร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้าที่มีชื่อเสียงโด่งดังไว้แล้ว ร้านเหล่านั้นต้องจำหน่ายเพียงแค่แอลกอฮอล์ของเจ้าสัวเพียงแบรนด์เดียว หากฝ่าฝืนอำนาจที่มีก็จะถูกใช้และบีบจนร้านนั้น ๆ ทำกิจการต่อไปไม่ไหวในที่สุด เจ้าสัวเองใช่ว่าจะชอบวิธีนี้ แต่ในเมื่อหุ้นส่วนหลายคนต้องการใช้วิธีนี้เขาเองก็ไม่มีทางเลือกมากนัก ในเมื่อยังถือครองผลประโยชน์ร่วมกัน เจ้าสัวก็จำเป็นต้องร่วมมือกันเพื่อทำลายคู่แข่งให้สิ้นซาก ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนก็ตาม  มันคือเส้นทางธุรกิจเส้นใหม่ที่เจ้าสัวเลือกเดิน เพื่อให้คงไว้ซึ่งอำนาจและชื่อเสียงเงินทอง ด้วยเหตุนี้แอลกอฮอล์ของเจ้าสัวจึงเป็นเพียงแบรนด์เดียวที่สามารถโลดแล่นในตลาดแบบผูกขาดได้ เมื่อก่อนก็ไม่ได้หนักหนาขนาดนี้ แต่ในทุนนิยมและอำนาจนิยมเช่นนี้ วิธีการที่บริษัทของเจ้าสัวเลือกใช้ ก็เป็นวิธีการเดียวกับที่บริษัทอื่น ๆ ใช้กัน แอบแปลกใจอยู่ไม่น้อยที่ปราบเซียนสามารถไล่ซื้อหุ้นได้หมดเพียงเวลาแค่หนึ่งสัปดาห์โดยที่เจ้าสัวเองก็ยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ รู้เพียงแต่ว่าการเงินของบริษัทและครอบครัวเข้าขั้นวิกฤตจึงได้เรียกตัวเจ้าสาวกลับมา แบบนี้แน่นอนว่าปราบเซียนต้องไม่ใช่คนธรรมดา และไม่ใช่มือสมัครเล่นเป็นแน่  "ต้องการอะไรปราบเซียน บริษัท ลูกกับเมีย หรืออะไร" "เซียนต้องการลูกกับเมีย" "งั้นคืนหุ้นให้ฉัน" ปราบเซียนยกยิ้ม มันไม่ง่ายขนาดหรอกนะ เจ้าสัวรับปากว่าจะคุยกับเจ้าสาวให้เรื่องหุ้น แต่ปราบเซียนรู้ดีว่าเจ้าสาวจะไม่ยอมจดทะเบียนกับเขาเพียงเพราะแลกกับหุ้นเด็ดขาด ถ้าเจ้าสาวรู้แน่นอนว่าเขาอยู่ที่ไหนเธอต้องตามไปตบหน้าเขาถึงที่แน่ ตัวแสบขนาดนั้น "เซียนว่าเรื่องนี้ต้องคุยกับเจ้าสาวด้วย" "ทำไมล่ะ" "เพราะมันเกี่ยวกับเจ้าสาวโดยตรง เซียนก็โลดแล่นและมีประสบการณ์การเป็นนักธุรกิจมานาน เอาแบบนี้มั้ยล่ะเจ้าสัว" ปราบเซียนนั่งไขว่ห้างแล้ววางมือที่ประสานกันลงบนหัวเข่า ท่าทางอาจจะดูสบายแต่เจ้าสัวรู้ว่าปราบเซียนกำลังจริงจังเป็นอย่างมาก สังเกตได้จากสายตาแน่วแน่นั้นยังไงล่ะ "ระหว่างที่เซียนเข้ามาดูแล เซียนจะเปลี่ยนแปลงและพาบริษัทไปให้ไกลกว่านี้ ต่อจากนี้ไปอาณาจักรแอลกอฮอล์ต้องเสรี ต้องแฟร์กับคู่แข่ง เซียนจะแก้ทุกอย่างให้ตรงจุดทั้งกฎหมายและกฎหมู่" "อุดมการณ์แรงกล้าว่างั้นเถอะ" ปราบเซียนไม่ตอบแต่มองหน้าเจ้าสัวนิ่ง เอาเถอะเขาผิดพลาดเอง แม้จะทำใจให้ยอมรับได้ยากแต่ต้องยอมรับว่าเขาอายุมากแล้ว สมควรที่จะนั่ง ๆ นอน ๆ อยู่บ้านเลี้ยงหลานไปวัน ๆ ให้เด็กรุ่นใหม่ได้ลอง ให้เจ้าสาวได้ดูแลต่อโดยมีคนมากประสบการณ์อย่างปราบเซียนคอยช่วยเหลือ ยังไงปราบเซียนก็เป็นพ่อของหลาน เจ้าสัวไม่รู้ว่าทั้งคู่มีเรื่องบาดหมางอะไรกัน แต่เขารู้ว่าหลานรักจะต้องมีความสุขอย่างแน่นอนที่ได้เจอพ่อ ต่อแต่นี้ไปปราบเซียนคือผู้กุมบังเ**ยนของบริษัทเพราะมีหุ้นมากที่สุด ลองไว้ใจว่าที่ลูกเขยที่เขาเคยคิดอยากต่อยหน้าสักหมัดคงไม่เสียหาย เพราะอย่างน้อยปราบเซียนก็เป็นพ่อของน้องข้าวจ้าว หลานสาวสุดที่รัก คงยากจะทำใจ แต่เจ้าสัวรู้ว่าในอนาคตที่เขามองทะลุไปเห็นแล้วนั้น ปราบเซียนจะยกหุ้นคืนให้เจ้าสาวอย่างแน่นอน "ใคร ๆ ก็อยากมีอำนาจบารมี ฉันเองก็อยากมี การผูกขาดการค้าของฉันแน่นอนว่ามันมาจากเส้นสาย แต่เท่าที่ทราบ เมื่อไม่นานมานี้ฉันเหมือนจะถูกหักหลังด้วยอำนาจของเงิน พวกนั้นเทขายหุ้นจนหมดเพียงเพราะราคาที่ถูกเสนอมาสูงลิบลิ่ว ต่อไปนี้เราคือหุ้นส่วนกัน" ในเรื่องของธุรกิจไม่มีคำว่าศักดิ์ศรี หากต้องการอยู่ต่อ ต้องรู้จักกลืนน้ำลายตัวเอง ปราบเซียนยกยิ้มอย่างพึงพอใจ บทจะง่ายเจ้าสัวก็ง่ายกว่าปอกกล้วยเข้าปากเสียอีก "เรื่องจดทะเบียนก็ปล่อยให้ลูกฉันตัดสินใจเอง" คราวนี้ปราบเซียนหุบยิ้มแทบไม่ทัน นี่สิด่านหินของแท้ "ตอนหนุ่มไฟแรงฉันก็เหมือนเธอนี่แหละ อุดมการณ์แรงกล้า แต่ตกม้าตายตอนมีลูกมีเมีย" "เซียนไม่ตกม้าตายแน่นอน หลังจากแอลกอฮอล์ถูกซื้อขายอย่างเสรี เซียนหวังว่าเจ้าสัวจะพอใจกับกำไรที่ได้รับ" "อย่าทำบริษัทฉันพังก็แล้วกัน"   แก้วที่บรรจุน้ำสีอำพันถูกยกขึ้นแตะกันจนบังเกิดเสียงกระทบบางเบา จากนั้นทั้งคู่ก็กระดกของเหลวในแก้วเข้าสู่ปากแล้วกลืนผ่านลำคอรวดเดียวหมด ถือเป็นคำสัญญาของนักธุรกิจ   "ปะปี๊" "น้องข้าว" "ปะปี๊ทำงานเสร็จแล้วเหรอคะ" เด็กหญิงตัวเล็กที่เดินลงมาจากชั้นบนของบ้านพร้อมด้วยหญิงสาวผู้เป็นแม่ที่มองเขาด้วยดวงตาเชือดเฉือนคล้ายอยากจะกินเลือกกินเนื้อเขายังไงยังงั้น น้องข้าวปล่อยมือจากผู้เป็นแม่ทันทีที่เดินลงมาจากบันไดแล้วเท้าเล็กเหยียบลงพื้นระดับเดียวกันกับที่เขายืนอยู่  ปราบเซียนย่อตัวลงรับร่างเล็กที่วิ่งมาหาเขาพร้อมอ้าแขนรอ เด็กหญิงตัวน้อยวิ่งเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดเขาแล้วยกมือกอดคอปราบเซียนไว้เช่นเดียวกัน เจ้าสาวเม้มปากแน่นจนเป็นเส้นตรง น้องข้าวจ้าวคงจะดีใจมากที่เจอกับเขา ตลอดเวลาที่อยู่กับเธอลูกไม่เคยแสดงออกเลยสักครั้งว่าโหยหาพ่อเพียงไร จนมาถึงวันนี้วันที่เธอได้เห็นกับตาและรับรู้ได้ว่าลูกมีความสุขเพียงใด "ปะปี๊มีของมาฝาก" "ของฝากเหรอคะ" น้องข้าวจ้าวเอียงคอถามอย่างน่ารัก เต๋าที่ยืนดูอยู่ห่าง ๆ ขยับเข้ามาใกล้ผู้เป็นนายแล้วยื่นของในกระเป๋าให้ กระเป๋าเดียวกันกับที่เขาใส่ขวดเครื่องดื่มมึนเมามานั่นแหละ "ว้าวเจ้าหญิง" "เอาไว้เป็นเพื่อนกับเจ้าหญิงคนก่อนไงคะ" ปราบเซียนหมายถึงตุ๊กตาตัวก่อนหน้าที่เขาซื้อมาให้จากอิตาลี เด็กน้อยพยักหน้ารับคำพร้อมกับเขย่งปลายเท้าขึ้นจุ๊บแก้มเขาเป็นการขอบคุณ ซึ่งการกระทำทุกอย่างอยู่ในสายตาของเจ้าสาวทั้งสิ้น คนตัวเล็กเบือนหน้าหนีจากภาพที่เห็นตรงหน้า และการกระทำของเจ้าสาวก็ไม่รอดพ้นสายตาของปราบเซียนไปได้เช่นเดียวกัน "มี๊คะปะปี๊กลับมาแล้ว" "ค่ะ" "มี๊บอกว่าปะปี๊ไปทำงานค่ะ น้องข้าวก็ร๊อรอทุกวัน ปะปี๊ไปนานมากเลย" มือเรียวยกขึ้นลูบหัวลูกสาวด้วยความรู้สึกผิดอยู่เต็มหัวใจ ตลอดเวลาที่ผ่านมาน้องข้าวคงโหยหาเขามาก จากนี้ต่อไปเขาจะไม่ทำให้ลูกรู้สึกแบบนั้นอีกแล้ว ข้าวจ้าวต้องมีครอบครัวที่อบอุ่น "ปะปี๊กลับมาแล้วค่ะ" "ปะปี๊จะมาอยู่กับน้องข้าวมั้ยคะ" ปราบเซียนสะอึกกับคำถามของเด็กน้อย เขาอยากอยู่ตั้งแต่ตอนนี้เลย แต่ติดตรงที่เจ้าสาวเพียงคนเดียว คนที่คุกเข่าอยู่บนพื้นส่งสายตาไปหาหญิงสาวที่ยืนอยู่ด้านหลังของลูกสาว ซึ่งคนช่างสังเกตและขี้สงสัยอย่างน้องข้าวจ้าวก็มองตามทันที "มี๊คะ ปะปี๊จะมาอยู่กับน้องข้าวมั้ยคะ" ลูกสาวของเขาช่างฉลาดเสียเหลือเกิน ขอบคุณเจ้าสาวที่ดูแลเลี้ยงดูมาอย่างดี "ปะ ปะปี๊ก็มีบ้านของปะปี๊นะคะ" เจ้าสาวตอบอึกอัก เธอไม่อยากเรียกปราบเซียนว่าปะปี๊เลยสักนิด "นี่ไม่ใช่บ้านของปะปี๊เหรอคะ" "ไม่ใช่ค่ะ" เป็นปราบเซียนที่เป็นฝ่ายตอบคำถามของลูกสาว "บ้านปะปี๊ไม่ใช่ที่นี่ บ้านปะปี๊คือที่ที่มีห้องนอนเจ้าหญิงอย่างที่ปะปี๊เคยบอกไงคะ" "ว้าว น้องข้าวอยากเห็นจังค่ะ" "เดี๋ยวเราค่อยไปดูด้วยกันดีมั้ยคะ ชวนมี๊ไปด้วย" "เย้ ดีที่สุดเลยค่ะ" เด็กหญิงยกมือขึ้นหนึ่งข้าง อีกข้างกอดตุ๊กตาเจ้าหญิงตัวใหม่ที่ปะปี๊เพิ่งเอามาฝากแล้วกระโดดโลดเต้นไปมา ปราบเซียนมองดูด้วยสายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยประกายความสุข ส่วนเจ้ากลับมองด้วยความหนักใจ "มาทานข้าวกันเถอะ" คุณรัศมีที่ลอบมองอยู่นานเอ่ยขึ้นเพื่อขัดบรรยากาศอึมครึมของลูกสาว แล้วน้องข้าวจ้าวก็เป็นฝ่ายจูงมือปะปี๊เดินเข้าไปยังห้องอาหาร แถมยังถือวิสาสะนั่งลงบนตักของปะปี๊อีกด้วย "มานั่งตรงนี้เถอะค่ะข้าวจ้าว จะได้ทานข้าวอย่างสะดวก" "ปะปี๊สะดวกไหมคะ" "สะดวกค่ะ" "น้องข้าวนั่งตรงนี้ค่ะ" น้องข้าวจ้าวหมายถึงจะนั่งบนตักของปะปี๊ต่อ สามคนพ่อแม่ลูกมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ไม่ทราบว่าทั้งน้องข้าวจ้าวและปราบเซียนไปสนิทกันตอนไหน ส่วนคนที่หนักสุดคงจะหนีไม่พ้นเจ้าสาว ลูกไม่เคยไม่สนใจเธอเลยสักครั้ง วันนี้น้องข้าวจ้าวเปลี่ยนไป ดูจะสนใจแต่ปราบเซียนเป็นพิเศษ กลัวเหลือเกินกลัวว่าปราบเซียนจะได้รับความรักจากน้องข้าวจ้าวมากกว่า แต่มันก็ไม่แปลกเพราะเขาคือพ่อ แต่เธอก็ไม่ชินกับเหตุการณ์แบบนี้อยู่ดี "น้องข้าวไม่กินแครอท" ปราบเซียนชะงักมือที่กำลังวางแครอทที่ตักมาจากถ้วยแกงจืดลงบนจานข้าวของน้องข้าวจ้าวเอาไว้จริงสินะ เขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับลูกเลย ไม่รู้ว่าลูกชอบหรือไม่ชอบอะไร ไม่รู้ว่าข้าวชอบกินหรือกินอะไรได้บ้าง มีโรคประจำตัวหรือเปล่า เขาไม่รู้อะไรเลย "ใช่ค่ะปะปี๊ น้องข้าวไม่กีง" "แล้วอาหารตรงหน้านี้น้องข้าวไม่กินอะไรอีกบ้างคะ" ปราบเซียนทำใจดีเอาไว้ เขาพยายามอย่างเต็มที่ที่จะได้เรียนรู้และรู้จักน้องข้าวจ้าวให้มากขึ้น แต่ดูเหมือนว่าเจ้าสาวจะไม่ยอม "น้องข้าวมานั่งกับมี๊เร็วค่ะ จะได้ทานข้าวเร็วขึ้น อีกอย่างก็รบกวนการทานอาหารของคุณ ของปะปี๊ด้วย" เจ้าสาวเองก็พยายามอย่างมาก ที่จะเรียนรู้และเอ่ยเรียกสรรพนามของคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามให้ชิน "น้องข้าวกีงไข่เจียวค่ะ แกงจืดน้องข้าวก็กีง แต่ว่าตอนนี้ในถ้วยแกงจืดมีแครอท น้องข้าวกีงแกงจืดแต่ไม่กีงแครอทค่ะ ถึงแม้จะงงงวยกับประโยคบอกเล่าของลูกสาวแต่ปราบเซียนก็จับใจความได้ว่าบนโต๊ะอาหารมื้อนี้ น้องข้าวกินไข่เจียวและแกงจืด แต่ไม่กินแครอท โอเคเข้าใจแล้ว "งั้นกินไข่เจียวดีกว่าเนอะ" น้องข้าวจ้าวพยักหน้าเห็นด้วย เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยจนเจ้าสัวนึกหมั่นไส้ การป้อนอาหารเป็นไปอย่างทุลักทุเล ปราบเซียนไม่เคยป้อนข้าวให้ใครจึงยังทำได้ไม่ดีนัก บางครั้งข้าวก็หก บางครั้งไข่เจียวก็หล่นหายระหว่างทางก่อนที่ข้าวในช้อนจะถึงปากลูกสาว และเขาเองก็ไม่รู้ว่าขนาดของข้าวต้องประมาณเท่าไหร่ถึงจะพอดีคำ ทั้งที่ความจริงเขาไม่จำเป็นต้องกังวลอะไรด้วยซ้ำ แต่เพราะสายตากดดันของทั้งสามพ่อแม่ลูกที่มองมาที่เขาและน้องข้าวบ่อย ๆ ทำให้ปราบเซียนอดที่จะประหม่าไม่ได้ ยิ่งเป็นสายตาอาฆาตของเจ้าสาว ยิ่งทำให้เขากังวลกลัวว่าจะดูแลลูกได้ไม่ดี กลายเป็นว่าเขามัวแต่สนใจลูกสาว ไม่ได้รับประทานอาหารจานพิเศษที่เจ้าสัวสั่งทำไว้ให้เลย การแกล้งปราบเซียนด้วยอาหารรสจัดจ้านจึงไม่สำเร็จ เจ้าสัวเองก็แอบเสียดายอยู่ไม่น้อย "อิ่มแล้วค่ะ" "เก่งจังเลยค่ะ น้องข้าวทานข้าวไปตั้งเยอะ" "ปะปี๊ต้องให้รางวัลนะคะ" "หืม" ปราบเซียนงวยงง นี่เขาต้องไปหาซื้อตุ๊กตาเจ้าหญิงมาเป็นรางวัลใช่มั้ย ร่างสูงรีบหันซ้ายหันขวามองหาลูกน้องทันที เต๋าหายไปไหนแล้วนะ กะจะสั่งให้เตรียมตัวออกไปหาซื้อตุ๊กตาสักหน่อย "จุ๊บแจ้มค่ะ" ลูกสาวเอียงแก้มมาให้ และปราบเซียนก็ไม่อิดออดรีบกดจมูกลงกับแก้มย้วยนุ่มนิ่มนั้นทันที โอเคเขาจะจำไว้ ว่าให้รางวัลคือการจุ๊บแก้ม ไม่ใช่ตุ๊กตาเจ้าหญิง การกระทำทั้งหมดตกอยู่ในสายตาของทุกคนที่อยู่ในห้องรับประทานอาหาร และทุกคนต่างก็อมยิ้มในความน่ารักน่าเอ็นดูของน้องข้าวจ้าว แต่ก็ดูเหมือนว่าจะมีเพียงคนเดียวที่ไม่พอใจ "เจ้าอิ่มแล้ว ขอตัวก่อนนะคะ" ไม่รอให้ใครเอ่ยอนุญาต เจ้าสาวรีบลุกขึ้นและเดินออกไปจากตรงนี้ทันที ปราบเซียนเห็นดังนั้นก็รีบลุกขึ้นบ้าง กระซิบกระซาบเพื่อให้ลูกสาวเข้าใจว่าเขามีเรื่องต้องคุยกับเจ้าสาว และให้ลูกรออยู่ตรงนี้ ซึ่งน้องข้าวก็พยักหน้าเข้าใจแล้วหันไปสนใจกับตุ๊กตาเจ้าหญิงที่นอนเดียวดายอยู่บนเก้าอี้ข้างกายต่อทันที   "เจ้าสาว" "ตามมาทำไม" คนตัวเล็กหยุดเดิน เธอแค่อยากออกมาสงบสติอารมณ์เพียงเท่านั้น เพราะเกรงว่าหากนั่งอยู่ที่นั่นต่ออาจจะเผลอแสดงกิริยาอาการที่ไม่น่ารักให้ลูกสาวเห็น เช่นการไล่ให้ปะปี๊ของลูกกลับ "บ้านนี้ไม่ต้อนรับคุณ" "คุณกำลังกลัว" "อย่ามาทำเป็นรู้ดี" เจ้าสาวหันมาเผชิญหน้ากับเขา ปราบเซียนนิสัยไม่ดีเลยสักนิด นอกจากขี้โกงแล้วยังมาทำนิสัยรู้ดีไปเสียหมดทุกเรื่องอีก "คุณเห็นใช่มั้ยว่าน้องข้าวมีความสุข" เห็นสิทำไมจะไม่เห็น เธอถึงได้รีบหนีออกมาไง เพราะบางครั้งก็กลัวว่าเสียน้ำตาเพราะความน้อยใจ "คุณต้องการอะไรปราบเซียน ทั้งหุ้นทั้งลูก คุณกำลังแย่งมันไปจากเจ้าทุกอย่าง" "นั่นคุณคิดเองฝ่ายหรือเปล่าเจ้าสาว" ปราบเซียนโต้ตอบได้น้ำเสียงนุ่มนวล "เมื่อตอนกลางวันเซียนเสนอจะคืนหุ้นให้เจ้าสัวทั้งหมด แลกกับการที่คุณต้องจดทะเบียนสมรสกับเซียน" "ฝันไปเถอะ!" "เพราะรู้ไงว่าคุณไม่มีวันยอม เซียนเองก็ไม่อยากบังคับ เพราะงั้นในตอนนี้บริษัทอยู่ในมือเซียนแล้ว มันกำลังเปลี่ยนแปลงเจ้าสาว ยอมรับเถอะว่าคุณยังต้องเรียนรู้อีกมาก" "เรียนรู้จากคนขี้โกงแบบคุณงั้นสินะ" ปราบเซียนกัดกรามแน่น เขากำลังอารมณ์ดีเพราะได้อยู่กับลูก แต่ตอนนี้เจ้าสาวกำลังทำให้เขามีน้ำโห จากคำพูดที่บอกว่าเขาเป็นคนขี้โกง  "ส่วนเรื่องน้องข้าวจ้าว ถ้าหากว่าคุณไม่ยอมให้เซียนเจอลูก เซียนฟ้องแน่" เจ้าสาวแสยะยิ้มอย่างคนถือดีเมื่อปราบเซียนพูดจบ "คุณคิดว่าเจ้ากลัวเหรอปราบเซียน คุณฟ้องไม่ได้หรอก เจ้าเป็นแม่ เจ้าเลี้ยงลูกคนเดียวมาโดยตลอด เจ้ามีสิทธิ์ในตัวน้องข้าวทุกอย่าง ถ้าคุณฟ้องคุณก็ไม่มีทางชนะ" "งั้นหรือ" ปราบเซียนย่างสามขุมเข้ามาใกล้ เจ้าสาวเป็นคนฉลาด ต้องแบบนี้สิเมียและว่าที่แม่ของลูกคนที่สองสามสี่ห้าของเขา "อย่ายกเรื่องนี้มาขู่เจ้าให้ยาก" "เคยได้ยินมั้ยเจ้าสาว กฎหมายก็แค่กฎหมา ศาลก็แค่ศาลา อัยการก็ไม่ต่างกับเห็บหมัดที่คอยสูบเลือด เซียนมีเงิน อืม...มีมากเสียด้วยสิ ถ้าเอามาใช้ลงทุนกับกระบวนการยุติธรรมที่บูชาเงินเนี่ย ก็น่าลุ้นนะ" "ปราบเซียน" "กฎ มันก็แพ้เงินหมดนั่นแหละ มีเงินก็ช่วยคดี แบบนี้คุณคิดว่าใครจะได้ตัวน้องข้าวจ้าวกันล่ะถ้าเซียนฟ้อง" "..." "อันนี้พูดแค่ในกรณีที่หากว่าคุณไม่ยอมให้เซียนเจอลูกนะ ไม่ต้องกลัวหรอกถ้าคุณยังให้เซียนเจอลูกได้เซียนก็จะไม่ฟ้อง" "ฉันไม่ได้กลัว" ปราบเซียนขยับเข้ามาใกล้อีกก้าว ลดใบหน้าลงเล็กน้อยเพื่อที่จะได้สามารถจ้องตากับตัวเล็กกว่าได้ถนัด กลิ่นกายเจ้าสาวทำเขาเคลิ้ม กลิ่นหอมอ่อน ๆ ช่วยให้ผ่อนคลายเมื่อได้สูดดม ไม่รู้ว่าเป็นกลิ่นสบู่หรือครีมอาบน้ำยี่ห้อไหน แต่มันทำให้เขาอยากอยู่ใกล้เธอตลอด ยิ่งได้กลิ่นยิ่งหลงใหลอยากใกล้ชิด "คุณกลัวเจ้าสาว คุณกำลังกลัว กลัวว่าลูกจะรักเซียนมากกว่า กลัวว่าลูกจะไม่สนใจคุณใช่มั้ย" เจ้าสาวเม้มปากแน่น ใช่แล้วเธอกำลังกลัว กลัวว่าน้องข้าวจ้าวจะสนใจเธอน้อยลง กลัวว่าลูกจะมอบความรักให้ปราบเซียนมากกว่าทั้งที่เขาก็เป็นพ่อ แต่จากที่อยู่กับลูกมาตลอดน้องข้าวไม่เคยเป็นแบบวันนี้เลย ลูกขัดคำสั่ง ไม่เชื่อฟังเธอเพียงเพราะมีปะปี๊อยู่ด้วย เธอยังไม่ชินจึงเริ่มกลัวและกังวลจนอาจจะแสดงออกชัดเจนให้ปราบเซียนรับรู้ได้ "ฟังนะเจ้าสาว" คนตัวสูงกว่ารวบกอดเอาร่างเล็กมาไว้แนบอก เจ้าสาวขัดขืนแต่ก็ทำอะไรเขาไม่ได้ ปราบเซียนกอดแน่นวงแขนของเขาแข็งแกร่งราวคีมเหล็กทำให้เธอไม่สามารถขยับตัวได้ จึงต้องตกอยู่ในอ้อมกอดของเขาไปโดยปริยาย "คุณคือมี๊ของน้องข้าว และคุณมีคนเดียว ลูกไม่มีวันรักใครมากกว่าคุณทั้งนั้น คุณเลี้ยงลูกคนเดียวมาตั้งหลายปี คนที่รู้จักน้องข้าวจ้าวดีที่สุดคือคุณนะ" คนในอ้อมกอดมีท่าทางอ่อนลงปราบเซียนจึงพูดต่อ "คุณอ่อนแอได้นะเจ้าสาว คุณไม่อยากให้ใครเห็นแต่เซียนอยากเห็น คุณแสดงออกทุกความรู้สึกต่อหน้าเซียนได้เลย ที่ผ่านมาคุณเข้มแข็งมามากพอแล้ว เซียนไม่เคยคิดที่จะแย่งลูกไปจากคุณเลย เซียนแค่อยากเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตคุณกับลูกเท่านั้น เซียนอยากให้เราเป็นครอบครัว คุณเห็นน้องข้าวจ้าวใช่มั้ย เห็นใช่มั้ยดวงตาลูกเต็มไปด้วยประกายแห่งความสุขตอนที่เราอยู่พร้อมหน้า" "..." ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเธอที่หวนคิดถึงอดีต คิดถึงตอนที่ต้องเลี้ยงลูกเพียงลำพัง คิดถึงช่วงเวลาที่ทั้งสุขและเศร้าเหล่านั้น หรือเป็นเพราะคำพูดที่ปราบเซียนบอก ว่าเธอสามารถแสดงทุกความรู้สึกตอนอยู่ต่อหน้าเขาได้ที่ทำให้บ่อน้ำตาของเจ้าสาวพังครืนลงเรียบร้อยแล้วในตอนนี้ สิ่งที่อยากแสดงในตอนนี้คือความอ่อนแอ และปฏิเสธไม่ได้ว่าอ้อมกอดของปราบเซียนช่างอบอุ่น และเธอกำลังรู้สึกว่าได้รับการปลอบประโลมผ่านมือเรียวที่กำลังลูบผมเธอขึ้นลงอย่างแผ่วเบาอยู่ในตอนนี้ ทั้งที่เขาคือบุคคลอันตรายที่ตามอารมณ์ไม่ทัน เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย เมื่อวานพูดแบบหนึ่ง วันนี้ทำอีกแบบหนึ่ง แต่เจ้าสาวกลับวางใจเขา ไว้ใจให้เขากอดต่อเพียงเพราะคำพูดและคารมคมคายที่บอกว่าให้เธอแสดงความรู้สึกทุกอย่างกับเขาได้ เหมือนถูกตามใจ เหมือนถูกหว่านล้อมให้เดินออกจากกรอบของเส้นความอดทนอดกลั้นเพราะต้องเข้มแข็งต่อหน้าลูกน้อย  ตลอดเวลาที่ผ่านมาเจ้าสาวไม่เคยแสดงออกให้ใครเห็นเลยว่าเธอเองก็อ่อนแอ แม้บางครั้งต้องร้องไห้ แต่เธอก็ทำเพียงคนเดียวเงียบ ๆ เธอแสดงออกต่อหน้าทุกคนว่าสบายดี ซึ่งนั่นแหละคือหน้ากากที่เธอต้องการให้คนอื่นรับรู้  รู้แค่ว่าเธอมีความสุขดีก็พอแล้ว แต่กับปราบเซียนมันไม่ใช่เพียงแค่นั้น เจ้าสาวเองก็สงสัยและสับสน ว่าเธอกล้าที่จะแสดงความอ่อนแอและร้องไห้ต่อหน้าเขาได้อย่างไร  มันเหมือนกับว่าปราบเซียนชักจูงให้เจ้าสาวเชื่อใจ แต่ก็ยอมรับว่าเธอรู้สึกแบบนั้นจริง ๆ เธอรู้สึกว่าปราบเซียนสามารถเป็นที่พึ่งทางใจให้เธอได้ "กำแพงที่คุณสร้างไว้สูงเท่าไหร่เจ้าสาว เซียนจะเป็นคนพังมันลงมาเอง"
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม