เพียงแรกพบสบตาพาใจสั่น
อดีตพลันแจ่มชัดในดวงจิต
อุบัติเหตุอุบัติให้ได้ใกล้ชิด
ใจแอบคิดพิศดวงหน้าคราคล้ายกัน
เท้าเล็กนุ่มนิ่มในรองเท้าผ้าใบใส่สบายเพราะต้องเดินทางไกลเหยียบลงบนพื้นซีเมนต์แข็งแกร่งพร้อมกัน ทั้งคู่เหยียบลงบนผืนแผ่นดินบ้านเกิดเป็นครั้งแรกของปีนี้ หลังจากที่ต้องย้ายไปอยู่ต่างประเทศเป็นเวลาเกือบห้าปี
แน่นอนว่าทุกปีเจ้าสาวย่อมพาลูกน้อยกลับบ้านเสมอ บางปีมากสุดก็สามครั้งเพราะอยู่ที่นั่นเธอต้องดูแลร้านอาหารของตัวเองจึงไม่ค่อยมีเวลาว่างมากนัก
แต่ในตอนนี้เจ้าสาวได้ขายมันไปแล้ว แม้ราคาจะสูงและเป็นที่พอใจแต่เจ้าสาวก็ยังทำใจไม่ได้อยู่ดี เนื่องจากร้านอาหารที่ชื่อ 'ข้าวจ้าว' เป็นธุรกิจอย่างแรกที่เจ้าสาว มีเป็นของตัวเอง แต่ในเมื่อตอนนี้ครอบครัวกำลังตกที่นั่งลำบากอะไรที่พอช่วยได้เธอก็จะช่วย แม้จะเป็นการฝืนใจตัวเองแค่ไหนก็ตาม
"หิวมั้ยคะ"
ก้มตัวลงเล็กน้อยเพื่อที่จะได้ถามเด็กตัวเล็กที่เดินจับมือเธอมาตลอดทาง
"ไม่ค่ะมี๊"
เด็กน้อยตอบกลับมาพร้อมรอยยิ้มสดใส เจ้าสาวลูบผมลูกสาวเบา ๆ อย่างใคร่เอ็นดู
"เข้าห้องน้ำมั้ย"
น้องข้าวจ้าวพยักหน้าหงึกหงัก แล้วเจ้าสาวก็จูงมือลูกเดินเลี้ยวไปตามป้ายเหนือหัวที่มีรูปภาพและลูกศรชี้นำทางไปยังห้องน้ำทันที
เจ้าสาวคิดว่าคงต้องปล่อยให้เจ้าสัวและหม่าม๊าที่เดินทางมารับถึงสนามบินรอไปก่อน เพราะลูกสาวสุดที่รักของเธออยากทำภารกิจส่วนตัวเสียก่อน
เด็กน้อยให้เหตุผลว่าตัวเองโตแล้ว และจะทำภารกิจเองไม่ให้มี๊เข้าไปด้วย ซึ่งเจ้าสาวก็ไม่ได้ห้ามอะไร เพราะตั้งแต่หลายเดือนก่อนเวลาออกไปข้างนอกหรืออยู่ในบ้านลูกสาวมักจะขอเข้าห้องน้ำเองโดยปฏิเสธการช่วยเหลือของมี๊ตลอด เจ้าสาวทำเพียงกำชับให้ลูกรักรอเพียงเท่านั้น เพราะเธอเองก็ต้องเข้าไปทำภารกิจส่วนตัวเช่นเดียวกัน
เพียงเวลาไม่นานเด็กน้อยตัวเล็กก็ทำภารกิจส่วนตัวเสร็จสิ้น และข้าวจ้าวไม่ได้ยืนรอหม่ามี๊ในห้องน้ำแต่อย่างใด หลังจากล้างมือเสร็จเด็กน้อยก็เดินออกมาจากห้องน้ำหวังมายืนรอคุณมี๊ที่ด้านนอก เพราะด้านในมีคนยืนอยู่หลายคนซึ่งเด็กน้อยไม่ค่อยชอบสักเท่าไหร่นัก
ตุบ!
"แงงงงงงงงงงงงงง"
เนื่องจากเป็นพื้นต่างระดับทำให้เด็กน้อยไม่ทันได้สังเกตเลยก้าวพลาดและสะดุดลงไปกองอยู่บนพื้น
"หนูคะ"
คนที่บังเอิญเดินเข้ามาหวังทำภารกิจส่วนตัวบ้างย่อตัวลงอุ้มเด็กตัวน้อยขึ้นแนบอก กดศีรษะเล็กลงกับไหล่ของตัวเองแล้วลูบหลังลูบไหล่เบา ๆ เพื่อหวังปลอบประโลมให้หายจากอาการเจ็บปวด
"ฮืออออออ"
"ชู่วววววว ไม่ร้องนะคะคนเก่ง"
"น้องข้าวเจ็บ"
"เจ็บตรงไหนคะ"
เมื่อมาถึงเก้าอี้ปราบเซียนก็วางเด็กน้อยลงบนนั้นแล้วตัวเองก็ถอยออกมานั่งคุกเข่าอยู่ตรงพื้น ยกมือขึ้นมาปัดปอยผมออกจากใบหน้าให้เด็กคนนั้นอย่างเบามือ
"หัวเข่าค่ะ"
เนื่องจากเด็กคนนั้นใส่กระโปรงเวลาหกล้มจึงเป็นธรรมดาที่จะต้องเจ็บหัวเข่า ผ้าเช็ดหน้าผืนน้อยที่พกติดตัวโดยตลอดถูกนำออกมาจากกระเป๋าเสื้อแล้วบรรจงซับน้ำตาให้เด็กคนนั้น
"เล่นซนเหรอเรา"
"เปล่านะเจ้าแค่สะดุด"
"ระวังตัวหน่อยสิ"
เด็กน้อยเม้มปากแน่นคล้ายว่ากลัวจะถูกดุ อะไรกัน เขาไม่ได้จะดุสักหน่อยแค่พูดด้วยธรรมดานะเนี่ย
"พี่ไม่ได้ดุสักหน่อย อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิคะคนเก่ง"
เด็กคนนั้นเงยหน้ามามองเขาตาใสแจ๋ว ปราบเซียนฉีกยิ้มกว้างส่งไปให้ ขนาดมีคราบน้ำตายังน่ารักขนาดนี้ ดวงตากลมโต จมูกเล็ก ริมฝีปากรูปกระจับบางเฉียบสีแดงระเรื่อ เด็กคนนี้โตไปต้องน่ารักแน่นอนปราบเซียนฟันธง
"นี่...เก็บไว้เช็ดน้ำตานะ เวลาที่เธอหกล้ม"
ไม่รู้ว่าเพราะอะไรดลใจให้ปราบเซียนยกผ้าเช็ดหน้าของตัวเองให้เด็กคนนั้นฟรี ๆ ทั้งที่ไม่เคยสนใจหรือคิดจะแบ่งอะไรให้ใครมาก่อนเลย หากแต่น้ำตาของเด็กน้อยคนนั้นทำให้เขาทนเห็นไม่ได้ ใบหน้าจิ้มลิ้มแก้มฟูขาวผ่องอมชมพูนั้นไม่เหมาะกับน้ำตาสักนิด แม้หยดเดียวก็ไม่เหมาะ หากแต่เหมาะกับรอยยิ้มที่สุดแสนจะสดใสต่างหาก
"ขอบคุณนะคะ"
เด็กน้อยคนนั้นโน้มคอคนที่สูงกว่า ตัวโตกว่า และน่าจะอายุมากกว่าเธอหลายปีลงมาหา แล้วจุ๊บลงตรงแก้มนุ่มของพี่คนนั้นเป็นรางวัลที่เขาได้ช่วยเหลือเธอไว้
ปราบเซียนตาโต ให้ตายสิยัยเด็กนี่เขาอุตส่าห์ช่วย เจ้าตัวกลับมาขโมยหอมแก้มเขางั้นเหรอ แสบจริง ๆ
"คุณเซียนครับ"
"..."
"คุณปราบเซียนครับ"
ปราบเซียนหลุดจากภวังค์ความคิด ให้ตายสิ เขาไม่ได้สนใจเด็กตรงหน้าเท่าที่ควรเลย เอาแต่นึกถึงเด็กคนนั้นในอดีตที่หน้าตาละม้ายคล้ายกันอย่างกับแกะ
จะว่าไปหากเด็กคนนั้นโตแล้ว ก็ไม่แปลกที่จะมีลูก และหากบังเอิญว่าเด็กคนนี้เป็นลูกสาวของเด็กน้อยที่เขาเคยช่วยไว้ตอนหกล้มเช่นกันเมื่อหลายปีก่อนก็ไม่แปลกเพราะใบหน้าเรียวเล็กและส่วนประกอบของเครื่องหน้าคล้ายกันมาก คล้ายจนเขาเผลอคิดว่าเป็นคนคนเดียวกันเสียอีก
แต่มันแปลกที่ตัวเขา ทำไมถึงได้เจ็บแปลบที่กลางอกราวกับกรดไหลย้อนแบบนี้นะ เพียงแค่คิดว่าเด็กคนนั้นมีครอบครัวแล้ว
"ว่าไงเต๋า"
ปราบเซียนสะบัดหัวไล่ความคิดออกไปแล้วสนใจเด็กตรงหน้าที่ในตอนนี้คราบน้ำตาได้เหือดหายไปแล้วและกำลังมองเขาตาใสแจ๋ว
"ได้เวลาแล้วครับ"
"จะไปไหนเหรอคะ"
เอาล่ะ เด็กคนนี้พอเลิกร้องไห้ก็จ้อใหญ่เลยนะ สงสัยอะไรขนาดนั้น ปราบเซียนเองก็ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่เหมือนกันที่เด็กคนนี้หยุดร้องและคราบน้ำตาบนใบหน้าเล็กในตอนนี้ก็ได้หายไปแล้ว เพราะมัวแต่คิดถึงความหลังเมื่อครั้งมัธยมต้นอยู่จึงไม่ได้สนใจเด็กตรงหน้าเท่าที่ควร
"ทำงาน"
ร่างสูงที่คุกเข่าอยู่บนพื้นตอบสั้น ๆ จะห้วนไปรึเปล่านะ พูดกับเด็กต้องพูดเพราะใช่มั้ย เขาเองก็ไม่ชินที่ต้องพูดคุยกับเด็กเช่นกัน ทั้งที่ความจริงตัวเขาเองนี่แหละที่เจรจากับคู่ค้ามานับครั้งไม่ถ้วน และทุกครั้งเขาก็ประสบความสำเร็จและได้ร่วมลงทุนกับคู่ค้าเหล่านั้น แถมยังได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ แต่พอต้องคุยกับเด็กเขากลับคิดมากและประหม่างั้นหรือ
"ปะปี๊"
"ห๊ะ!"
ปราบเซียนหันหน้าหันหลัง เผลอคิดไปว่าพ่อของเด็กน้อยคนนี้คงมาตามหา และอยู่เบื้องหลังเขาในตอนนี้ แต่พอหันซ้ายแลขวาก็ไม่พบผู้ใดมายืนอยู่ตรงนี้เลย มีแต่ผู้คนที่เดินขวักไขว่ไปมาเท่านั้น และแล้วปราบเซียนก็ต้องขมวดคิ้วมุ่นเมื่อมองตามสายตาของเด็กน้อยไปและมันก็หยุดจ้องอยู่ที่เขา
"ปะปี๊"
"มั่วแล้วหนู"
เลขาหนุ่มยืนมองเจ้านายที่นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นและคุยกับเด็กบนเก้าอี้ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม หากปราบเซียนมีครอบครัวและมีลูกภาพนี้คงเป็นภาพที่หาดูได้เป็นปกติ แต่ตอนนี้เจ้านายของเขาโสดสนิทไม่มีผู้ใดครอบครองตัวและหัวใจเลยสักคนเดียวการที่ต้องมานั่งคุยกับเด็กแทนคู่ค้าที่เขาเห็นจนชินตาจึงดูค่อนข้างที่จะแปลกประหลาดนิดหน่อย
"ปะปี๊"
เด็กน้อยตรงหน้าเรียกอีกครั้งหนึ่ง และคราวนี้ปราบเซียนก็อดใจไม่ไหวกับแก้มฟู ๆ อมชมพูนั้น จึงยกข้อนิ้วขึ้นไล้แก้มเด็กน้อยเบาๆ อย่างนึกเอ็นดู
'นุ่มจัง' ปราบเซียนคิดในใจ
"ทำไมถึงเรียกแบบนี้ล่ะ"
คนถามยิ้มอบอุ่นไปให้ อยู่กับเด็กต้องใจเย็นและมีเหตุผลใช่มั้ยนะ
"มี๊บอกว่าปะปี๊ไปทำงาน ตอนนี้ปะปี๊บอกว่าจะไปทำงาน เพราะงั้นปะปี๊ก็คือปะปี๊ของน้องข้าวค่ะ"
อดไม่ได้ที่จะอมยิ้มจนแก้มปริ และหัวเราะให้กับความไร้เดียงสาของเด็กน้อย แค่เขาบอกว่าจะไปทำงานเด็กคนนี้ก็ทึกทักเอาเองว่าเขาเป็นปะปี๊ของเธอแล้วเหรอ พูดกับคนอื่นกี่คนแล้วเนี่ย พ่อแม่เด็กไปไหนนะถึงไม่เตือนเวลาที่ลูกตัวเองเทียวไปเรียกคนอื่นแบบนี้ เลี้ยงลูกยังไงกัน
"กลับมาตอนไหนคะปะปี๊"
"อาทิตย์หน้า"
ปราบเซียนยอมตามน้ำ
"อย่าลืมของฝากน้องข้าวนะคะ น้องข้าวอยากได้ตุ๊กตาเจ้าหญิงตัวใหม่"
เด็กหนอเด็ก เมื่อครู่ยังร้องไห้เจ็บปวดอยู่เลย พอหายแล้วก็จ้อใหญ่เชียว
"ชื่อข้าวเหรอเรา"
"ค่ะชื่อน้องข้าวจ้าว"
"ไม่เจ็บแล้วเหรอ"
"ปะปี๊เป่าเพี๊ยงให้น้องข้าวเลยค่ะ"
เด็กน้อยชี้ไปยังตำแหน่งหัวเข่าของตนเองแล้วยิ้มจนตาปิด คนที่อดทนต่อความน่ารักไม่ไหวบีบแก้มนุ่มนั้นเบา ๆ แล้วเป่าเพี๊ยงลงยังตำแหน่งหัวเข่าของเด็กน้อยทันทีตามที่เด็กร้องขอ
"หายแล้วค่ะ"
"น่ารักจัง"
"ได้เวลาแล้วครับนาย"
ทำไมครั้งนี้เขาไม่อยากไปขึ้นเครื่องเลยล่ะ ใจของปราบเซียนอยากอยู่ที่นี่ต่อ ความจริงวันนี้เขาต้องบินไปคุยงานและจัดการกับการก่อสร้างอาคารที่ประเทศอิตาลีหนึ่งอาทิตย์ แต่ตอนนี้ปราบเซียนกลับอยากยกเลิกและนั่งคุยกับเด็กคนนี้ต่อ ตกเครื่องก็ช่างมัน
"เก็บนี่ไว้นะ เอาไว้เช็ดน้ำตาเวลาหกล้ม"
ผ้าเช็ดหน้าถูกยื่นไปต่อหน้าของเด็กน้อย และข้าวจ้าวก็พนมมือไหว้และรับไว้พร้อมคำขอบคุณที่มาพร้อมรอยยิ้มสดใส ภาพในอดีตตอนเด็กหญิงคนนั้นรับผ้าเช็ดหน้าจากเขาฉายทับขึ้นมาอีกครั้ง
"อย่าลืมซื้อตุ๊กตาเจ้าหญิงมาฝากน้องข้าวนะคะปะปี๊"
ปราบเซียนลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ยื่นมือมายีหัวเด็กน้อยด้วยความมันเขี้ยว ส่งยิ้มอบอุ่นพร้อมพยักหน้าเป็นการรับคำกลาย ๆ จากนั้นก็สาวเท้าจากไป
ไม่เป็นไรที่นี่คือสนามบิน เขากำลังรีบจึงไม่ได้ส่งเด็กน้อยให้ถึงมือของครอบครัว แต่หากครอบครัวของหนูน้อยข้าวจ้าวต้องการตามหาก็แค่เดินไปที่ประชาสัมพันธ์แล้วประกาศ เด็กคนนี้ดูท่าทางฉลาดไม่นานคงเจอกับครอบครัว หรือเจอกับแม่แน่
พอนึกมาถึงตรงนี้แล้วปราบเซียนก็ได้แต่ถอนหายใจ หากเด็กซุ่มซ่ามในอดีตคนนั้นมีครอบครัวแล้ว เขาคงจะเสียใจไม่น้อย เพราะเขาเองก็เฝ้ารอคอยความบังเอิญที่จะพบเด็กคนนั้นตอนโตอยู่ตลอด
ไม่รู้ว่าสามารถเรียกว่ารักแรกพบได้หรือไม่ เพราะเขาถูกใจและเฝ้าคิดถึงดวงหน้าของเด็กน้อยคนนั้นอยู่เสมอ แต่หากไม่สมหวังดังใจที่จะได้เจอกันอีกครั้ง ปราบเซียนรู้ดีว่าสิ่งที่เขาจะได้ดีที่สุดนั่นก็คือ ทำใจ
"น้องข้าว!"
"มี๊""มี๊ตามหาตั้งนาน น้องข้าวเป็นอะไรคะลูก ทำไมมานั่งอยู่ตรงนี้"
"หกล้มค่ะ แต่ปะปี๊ช่วยไว้"
"ปะปี๊"
เจ้าสาวทวนคำคิ้วขมวด นอกจากถามหาปะปี๊จากเธอน้อยมากจนนับครั้งได้ มีครั้งนี้ที่น้องข้าวจ้าวพูดคำว่าปะปี๊ออกมา และเป็นประโยคบอกเล่า ไม่ใช่ประโยคคำถามเหมือนครั้งก่อนแล้ว นั่นทำให้เจ้าสาวอดที่แปลกใจไม่ได้
"โน่นค่ะปะปี๊"
มือเล็กป้อมที่ชี้ชวนให้มารดามองตามไปในทางที่ปะปี๊เพิ่งเดินจากไป และดวงตาเป็นประกายของลูกสาวคืออะไรกันแน่ เจ้าสาวมองตามไปก็ไม่เห็นว่าจะมีใคร เพราะตอนนี้ผู้คนก็กำลังเดินไปเดินมาอยู่ หรือลูกสาวเธอจะโหยหาอีกคนที่มาเติมเต็มคำว่าครอบครัวจนเริ่มเพ้อแล้ว
"ปะปี๊ให้นี่มาค่ะ บอกว่าเก็บไว้เช็ดน้ำตาตอนน้องข้าวหกล้ม"
"นี่...เก็บไว้เช็ดน้ำตานะเวลาที่เธอหกล้ม"
ประโยคนี้แวบเข้ามาในหัวของเจ้าสาว เพราะเธอช่างคุ้นกับประโยคนี้เหลือเกิน ประโยคที่เมื่อหลายปีก่อนก็เคยมีคนบอกเธอแบบนี้เช่นกัน
"ปะปี๊เหรอคะ"
เจ้าสาวเอียงคอสงสัย ลูกสาวเธอไม่เคยเรียกใครว่าปะปี๊ และไม่เคยถามถึงมานานมากแล้วเพราะเมื่อใดที่ถามเธอก็ได้แค่บอกลูกว่าเขาไปทำงานยังไม่กลับมา
ข้าวจ้าวเลิกเซ้าซี้และถามถึง คงเพราะเข้าใจว่าปะปี๊ของตัวเองไปทำงานตามที่เธอบอก หรือไม่ก็ไม่เข้าใจอะไรเลยแต่ที่ไม่ถามก็เพราะว่าลูกไม่ได้รู้สึกว่าขาดอะไร เธอเป็นทั้งพ่อและแม่ให้กับข้าวจ้าวได้ ต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้วสิ เพราะเธอดูแลและเลี้ยงดูลูกคนเดียวมาตลอด
"ค่ะ ปะปี๊ไปทำงาน อาทิตย์หน้าจะกลับ"
เจ้าสาวขมวดคิ้วแล้วสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ดูเหมือนว่าลูกสาวจะเข้าใจตามที่เธอบอกว่าปะปี๊ไปทำงาน แล้วเขาเป็นใครกันน้องข้าวจ้าวถึงได้เชื่ออย่างสนิทใจแบบนี้
"น้องข้าวเจ็บตรงไหนมั้ยคะ"
คนเป็นแม่เปลี่ยนเรื่องแล้วพลิกตัวลูกสาวไปมาเพื่อสำรวจเผื่อว่าจะมีบาดแผล
"ไม่แล้วค่ะ ปะปี๊เป่าเพี๊ยงน้องข้าวหายเลย"
ดูสายตาตอนที่ลูกสาวพูดถึงปะปี๊ของเขาสิ ดวงตาเป็นประกายรอยยิ้มสดใส เห็นแล้วเจ้าสาวก็ได้แต่กลืนก้อนความขมขื่นลงในอก น้องข้าวโหยหาอีกคนมาตลอดเลยสินะ เพียงแต่ไม่ได้เอ่ยปากคุยกับเธอก็แค่นั้น
ฉับพลันภาพเหตุการณ์เมื่อห้าปีก่อนก็ฉายชัดขึ้นมาในหัว เธอจำเขาได้ จำใบหน้า จำคำพูด จำการกระทำหลังตื่นมาเจอกันได้ดี คนแบบนั้นจะเป็นพ่อที่ดีของลูกเธอได้หรือ
เจ้าสาวยอมรับว่าหลังจากวันนั้นเธอไม่ได้กินยา ไม่ได้คิดถึงการป้องกันทันที เพราะมัวแต่โมโหและนึกถึงสาเหตุที่ทำให้เธอต้องอยู่กับเขาในสภาพนั้น แต่นึกยังไงก็นึกไม่ออก กว่าจะรู้ว่าต้องป้องกันตัวเองก็ผ่านไปหลายวันแล้ว
ยอมรับว่าเธอสะเพร่าและบกพร่องในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก หลังจากกินยาก็ดันชะล่าใจคิดว่าปลอดภัยแล้ว แต่ที่ไหนได้เธอกลับพลาด เมื่อมีอาการของคนแพ้ท้องและเมื่อไปหาหมอก็ได้รู้ว่าตัวเองตั้งครรภ์ได้สี่สัปดาห์แล้ว
เหมือนฟ้าผ่าลงกลางหัว แต่เจ้าสาวก็ไม่ได้คิดที่จะทำแท้งเด็กคนนี้ เธอมีความสามารถและทุนทรัพย์ที่จะเลี้ยงเด็กคนนี้ได้ แม้ความพร้อมจะยังไม่ค่อยมีก็ตาม
พ่อกับแม่ไม่ถามเธอสักคำว่าใครเป็นพ่อของเด็ก เหมือนรอให้เธอบอกเอง แต่เธอก็ไม่สามารถบอกได้เหมือนกันว่าเขาเป็นใคร บอกว่าเขาคือความผิดพลาดครั้งใหญ่ในชีวิตได้มั้ยนะ
you got me feeling like a psycho.....
"ค่ะม๊า"
เจ้าสาวหลุดจากภวังค์เมื่อเสียงเรียกเข้าของสมาร์ตโฟนเครื่องหรูดังขึ้น หม่าม๊าคงรอเธอนานแล้วถึงได้โทรตาม
"เจ้าอยู่ไหนลูก ม๊าเช็คดูเครื่องที่หนูนั่งมาลงจอดนานแล้วนะ เกินครึ่งชั่วโมงแล้วนะลูก"
"เจ้ากับน้องข้าวเข้าห้องน้ำอยู่ค่ะ เดี๋ยวก็ออกไปแล้ว"
"กระเป๋าล่ะ เจ้าอยู่ตรงไหนเดี๋ยวม๊าไปหา ให้เด็กไปขนกระเป๋าด้วย"
เจ้าสาวบอกมารดาถึงตำแหน่งที่ตนอยู่ และเพียงไม่นานป๊ากับม๊าก็มาพร้อมกับลูกน้องของป๊าอีกสองสามคน กระเป๋าสี่ห้าใบถูกขนขึ้นรถเรียบร้อย ถึงเวลาที่จะต้องกลับมาใช้ชีวิตที่นี่อย่างเต็มตัวแล้วสินะ และคงถึงเวลาที่เจ้าสาวจะต้องกลับมาทำหน้าที่ลูก ช่วยป๊าดูแลธุรกิจครอบครัวสักที แม้ลึกๆ เจ้าสาวจะคิดว่ามันอาจจะสายเกินไปก็ตามที
"เด็กคนนั้นน่ารักดีนะครับ"
หลังจากขึ้นมานั่งบนเครื่องได้แล้วเลขาข้างกายก็พูดขึ้นทำลายความเงียบ
ปราบเซียนยกยิ้มเมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ น่าเสียดายที่เขาต้องเห็นแก่ตัวทิ้งเด็กคนนั้นออกมาก่อน แต่ว่าป่านนี้ครอบครัวของเด็กก็คงตามหาเจอแล้วล่ะ
"ว่างตอนไหน"
คนถามหมายถึงเวลาว่างในตอนที่เขาต้องทำงานที่อิตาลี ภายในหนึ่งอาทิตย์นี้เขาจะมีเวลาว่างเมื่อไหร่ หรือไม่มีเลย
เลขาที่พ่วงหน้าที่บอดี้การ์ดเข้าใจคำถามเป็นอย่างดี ปราบเซียนก็เป็นแบบนี้ พูดน้อยและชอบถามคำถามห้วน ๆ โดยไม่มีปี่มีขลุ่ย
"หนึ่งชั่วโมงก่อนเดินทางไปขึ้นเครื่องกลับครับ"
"เผื่อเวลาด้วยนะ จะไปซื้อตุ๊กตาเจ้าหญิง"
ลูกน้องหันมองหน้าผู้เป็นนายอย่างไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง ปราบเซียนจะไปซื้อตุ๊กตาเจ้าหญิงงั้นเหรอ โดนเด็กตกเข้าแล้วมั้ยล่ะนั่น
ปราบเซียนอมยิ้มน้อยๆ 'ปะปี๊' งั้นเหรอ รู้สึกชุ่มชื่นและอบอุ่นหัวใจแปลกๆ แฮะ หรือว่าเขาเริ่มแก่แล้วอายุก็สามสิบสามแล้วด้วย นี่เขาอยากมีครอบครัว อยากมีลูกหรือไรถึงได้เอาแต่คิดถึงคำเรียกขานของเด็กน้อยคนเมื่อครู่
จะให้มีได้ไงล่ะในเมื่อผู้หญิงที่ถูกใจก็ไม่มีสักคน ปราบเซียนเอาแต่ทำงาน ดื่ม แล้วก็หาความสุขให้ร่างกายแบบไม่ผูกมัดบ้างเป็นบางครั้ง และเขาก็ป้องกันเสมอไม่มีขาดตกบกพร่องในเรื่องนี้
"บ้าเอ๊ย"
ปราบเซียนสบถเบา ๆ เมื่อภาพในอดีตลอยเข้ามาในหัว ผู้หญิงอวดดีคนนั้น ป่านนี้จะเป็นยังไงบ้างนะ เขาแค่อยากรู้เพราะเด็กน้อยคนเมื่อครู่กระตุ้นความคิดของเขาหลาย ๆ อย่าง มีแค่ครั้งนั้นที่เขาไม่ได้ป้องกัน และปราบเซียนก็ปล่อยเบลอไม่สนใจมาหลายปีแล้ว แต่เพราะเด็กคนนั้นอีกนั่นแหละที่ทำให้เขาคิดได้ว่า หากมีลูกคงรุ่นราวคราวเดียวกัน นี่เขาเอ็นดูน้องข้าวจ้าวอะไรนั่นจนอยากมีลูกเป็นของตัวเองเลยเหรอ
"ช่วยเช็ครถคันนี้ให้ที ว่าเป็นของใคร"
ยื่นกระดาษแผ่นน้อยให้เลขา เขาจดจำทะเบียนรถคันนั้นได้ดี จำได้แม้กระทั่งสีรถและแววตาคนด้านในกระจกเมื่อตอนที่เงยหน้ามามองเขา เธอคนนั้นคงเสียใจที่เสียครั้งแรก แต่เขาเพิ่งจะมาจริงจังตามหาตอนนี้เนี่ยนะ มันจะสายเกินไปหรือเปล่าปราบเซียน