ความพลาดพลั้งหนึ่งครั้งในอดีต
คอยตามติดตามดวงจิตไม่ห่างหาย
ถึงวันนี้ได้พบเจอเพียงร่างกาย
คงมิวายมีสักวันได้พบใจ
ปราบเซียนวางข้อมูลที่เพิ่งได้รับจากลูกน้องเมื่อตอนหัวค่ำลงบนโต๊ะทำงานอย่างอ่อนแรง ไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ ผู้หญิงคนนั้น เมื่อห้าปีก่อน ผู้หญิงเพียงคนเดียวที่เขาทำผิดพลาด ไม่คิดไม่ฝันว่าเรื่องมันจะเป็นแบบนี้
แบบที่เขาหรือใครก็ไม่ได้คาดคิดมาก่อน นี่สินะที่เรียกว่าความผิดพลาดเพียงครั้งเดียว กลายเป็นความผิดพลาดไปตลอดชีวิต
เพราะน้องข้าวจ้าวคนเดียว เด็กที่เขาเจอวันนั้นทำให้ปราบเซียนมีลางสังหรณ์แปลก ๆ เขารู้สึกเหมือนผูกพัน รู้สึกว่าน้องข้าวจ้าวต้องมีอะไร สักอย่างไม่ทางใดทางหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับเขา แต่ในใจลึกๆ ที่ปราบเซียนตัดสินใจตามหาผู้หญิงเมื่อห้าปีก่อน ก็เป็นเพราะว่าน้องข้าวจ้าวมีใบหน้าละม้ายคล้ายกับเธอ และคล้ายกับเด็กคนนั้นที่เขาเคยช่วยเหลือเธอไว้เมื่อครั้งเขายังเรียนอยู่มัธยม เด็กผู้หญิงที่ตราตรึงอยู่ในความทรงจำเขาเสมอ ตามมาด้วยการตามหาผู้หญิงคนหนึ่งจากเลขทะเบียนรถ
"เจ้าสาว...งั้นเหรอ"
ปราบเซียนมองดูข้อมูลในมือ เจ้าสาว วรกิจเจริญเลิศ อายุ 28 ปี อืม...แบบนี้ตอนนั้นเธอคงเพิ่งเรียนจบ คณะบริหารธุรกิจเสียด้วยสิ ไม่แปลกที่เธอจะเรียนทางด้านนี้ เจ้าสัวธงชัยพ่อของเธอคงอยากให้ลูกสาวมารับช่วงต่อ เขาเดาว่าคงเป็นเพราะเกิดเรื่องนั้นขึ้น เธอจึงได้ย้ายไปอยู่อังกฤษทันที
"ทำไมเธอถึงไม่เคยบอกเลยนะ"
ถ้าเขาเป็นคนที่ทำให้น้องข้าวจ้าวเกิดมา เป็นพ่อของน้องข้าวจ้าว อย่างน้อยเธอก็ควรที่จะให้โอกาสเขาได้รับรู้บ้าง ถึงจะเที่ยวเล่นไร้สาระ หาความสุขใส่ตัวไม่คิดผูกมัดกับใคร อย่างน้อยเธอก็น่าจะบอกให้เขาได้รับรู้บ้างก็ยังดีว่ากำลังตั้งครรภ์ลูกของเขาอยู่
ปราบเซียนเปิดดูรูปด้วยหัวใจที่คล้ายว่าปวดร้าว ในไอจีของเจ้าสาวที่เลขาไปหามาให้มีรูปที่เธอถ่ายกับลูกสาวเพียงน้อยนิด ส่วนใหญ่จะเป็นรูปอาหารเสียมากกว่า ปราบเซียนรู้ว่าเจ้าสาวเปิดร้านอาหารไทยอยู่ที่นั่น
และตอนนี้ก็ขายไปเรียบร้อยแล้ว สาเหตุคงเป็นเพราะการเงินและธุรกิจของครอบครัว ต้องยอมรับว่าเลขาของเขาทำงานได้ละเอียดยิบเลยทีเดียว
แม้เธอจะพรั่งพร้อมด้วยทรัพย์สมบัติมากมาย แต่การเลี้ยงลูกเพียงคนเดียวในต่างถิ่นมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิดเดียว ปราบเซียนยอมรับว่าเจ้าสาวเก่งมาก ๆ และน้องข้าวจ้าวก็เก่งมากเช่นเดียวกัน
ปราบเซียนปวดใจไม่น้อยที่ตัวเองพลาดโอกาสที่จะได้ดูแลลูกไปถึงห้าปี ทั้งที่เวลาในแต่ละวันของเขาควรจะได้แบ่งมาดูแลลูกและอยู่กับลูกบ้าง แต่ก็ทำได้เพียงใช้ไปโดยเปล่าประโยชน์ เจ้าสาวคิดอะไรอยู่ ถึงไม่เคยบอกเขาเลย
"หรือเพราะเราไม่รู้จักกัน"
อาจจะเป็นเหตุผลนี้ เมื่อห้าปีก่อนเจ้าสาวมากับใคร แล้วจบลงบนเตียงกับเขาได้อย่างไรปราบเซียนก็ยังงง รู้เพียงว่าเขาเจอเธอที่ทางเข้าห้องน้ำ เธอขอให้ช่วยและขอมากับเขาเพียงเท่านั้น จะไม่ให้คิดว่าเธอมีความต้องการแบบเดียวกับเขาก็คงไม่ได้ ในสถานที่แบบนั้น สถานการณ์แบบนั้นเขาคงไม่คิดว่าเธอจะขอให้ไปส่งที่บ้านหรอกนะ เป็นใครก็ต้องคิดอยู่แล้วว่าเธอจะชวนเขาไปมีความผูกพันทางกายแต่ไม่ผูกมัด ครั้งเดียวคืนเดียว จบและแยก
ปราบเซียนทิ้งน้ำหนักตัวลงพิงกับพนักเก้าอี้ เงยหน้าขึ้นมองเพดานแล้วหลับตานิ่ง
ต้องรู้ให้ได้ว่าเจ้าสาวคิดอะไรทำไมไม่บอกเขา และที่สำคัญกว่านั้น ก็คือการเอาลูกสาวสุดน่ารักของเขามาไว้ในอ้อมอกให้ได้ พ่วงแม่มาด้วยก็ไม่เห็นเสียหาย เพราะฟังจากที่เต๋ารายงาน ตอนอยู่อังกฤษก็ไม่มีใครมายุ่มย่ามกับเธอเลยสักคน
"พรุ่งนี้ก่อนขึ้นเครื่องกลับ ผมแจ้งคนขับรถให้แล้วว่าคุณเซียนจะแวะห้างก่อนครับ"
"แวะห้างทำไม"
เต๋าขมวดคิ้วทำท่าสงสัย งานเยอะจนลืมไปแล้วเหรอเนี่ยเจ้านายเรา
"ซื้อตุ๊กตาเจ้าหญิงครับ"
"ซื้อตามห้างเหรอ"
"เอ่อ...ครับ"
คราวนี้ปราบเซียนขมวดคิ้วบ้าง ตุ๊กตาเจ้าหญิงต้องซื้อตามห้างเหรอ นี่เขานึกเอาเองว่ามันมีร้านที่ขายของพวกนี้เฉพาะอยู่แล้ว แบบนี้ต้องจำไว้ เพราะอีกไม่นานเขาก็จะได้พาน้องข้าวไปซื้อบ่อยๆ
"โอเค ไปพักผ่อนเถอะ"
ไล่ลูกน้องไปแล้วแต่เขายังอยู่ที่เดิม ปราบเซียนยังนั่งมองรูปในมืออยู่แบบนั้น
"คุณกับเราใครใจร้ายกันแน่เจ้าสาว"
เปรยกับตัวเองเบา ๆ ปราบเซียนไม่รู้ว่าตอนนี้ควรรู้สึกอย่างไร ไม่คิดเลยว่าเกิดมาหนึ่งครั้งจะต้องมาเจอกับอะไรแบบนี้ เขาใจร้ายงั้นหรือ เปล่าเลย...เขาแค่ไม่รู้ แล้วเจ้าสาวใจร้ายเหรอ เปล่าเลย...เธอแค่อยากจะปกป้องตัวเองจากคำครหาของคนอื่นว่าเธอท้องไม่มีพ่อ แต่ทำไมไม่ยอมบอกเขาล่ะ อย่างน้อยก็มาที่ร้านเดิม มาถามว่าเขาคือใครก็ได้ เขาไม่ใช่คนไม่มีความรับผิดชอบขนาดนั้น หรือเพราะไม่ใช่คนรัก เจ้าสาวถึงไม่คิดที่จะบอก และเธอคงคิดว่าเขาคงไม่มีทางรับผิดชอบเป็นแน่
หลากหลายเหตุผลตีกันยุ่งเหยิงไปหมดจนปราบเซียนเริ่มปวดหัว เขาควรพักผ่อนได้แล้ว พรุ่งนี้มีงานแต่เช้า และตอนเย็นเขาต้องบินกลับต้องรีบเคลียร์งานให้เสร็จ ความคิดฟุ้งซ่านเมื่อครู่คงต้องวางมันทิ้งไปก่อน
"ขอเอกสารให้เจ้าศึกษาก่อนได้มั้ยคะป๊า ระหว่างที่เจ้าว่างสองสามวันก่อนทำงานที่บริษัท"
"เดี๋ยวป๊าบอกเลขาให้ แต่ยังไงหนูก็ต้องให้เลขาป๊าสอนงานให้อยู่ดี"
เจ้าสาวเอ่ยขอเอกสารเกี่ยวกับบริษัทที่ตนจะต้องศึกษาและทำความเข้าใจก่อนที่จะได้บริหารงาน
เป็นเรื่องใหญ่และท้าทายความสามารถได้เป็นอย่างดี เมื่อเจ้าสาวต้องดูแลบริษัทแอลกอฮอล์ใหญ่โตของบิดา ไม่ใช่เพียงในประเทศ แต่ยังรวมถึงสาขาเล็ก ๆ ที่มีโรงงานอยู่ทั่วเอเชียอีกด้วย
"เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องงานหรอกนะ ให้ธันวาเป็นคนสอนให้ก็ได้ ส่วนเรื่องเจรจาธุรกิจน่ะ ป๊ามีคอนนอคชั่นเยอะไม่ต้องกังวล"
"เจ้าไม่ชอบเลยค่ะคำว่าคอนเนคชั่น"
"ม๊าว่าพอได้ลองทำงานนี้จริงจังเดี๋ยวเจ้าคงชอบเองแหละเรื่องคอนเนคชั่นเนี่ย"
เจ้าสาวพยักหน้าน้อย ๆ เธอไม่ชอบคำนี้เอาเสียเลย มันดูเหมือนว่าเอาเปรียบคนอื่น เอาเปรียบคนที่มีความเก่งและความพยายาม บางครั้งไม่ต้องขยับกายทำอะไรเลยด้วยซ้ำ แค่มีคอนเนคชั่นเยอะก็สามารถชนะได้แล้ว ต่างจากคนที่พยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการ แต่สุดท้ายก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับคำว่าคอนเนคชั่นคำเดียว
"พูดเรื่องอะไรกันคะ น้องข้าวปวดหั๊วปวดหัว"
ลูกสาวตัวเล็กที่นั่งข้างกายเจ้าสาวเอ่ยขึ้น พร้อมกับทำท่าทางเอามือบีบขมับเหมือนที่เคยเห็นคนเป็นยายทำบ่อยๆ
การกระทำของเด็กน้อยเรียกเสียงหัวเราะและรอยยิ้มเอ็นดูได้เป็นอย่างดีทีเดียว การรับประทานอาหารเช้าวันนี้ของเจ้าสัวและภรรยาไม่เงียบเหงา เพราะมีลูกสาวและหลานตัวน้อยคอยเจื้อยแจ้วเรียกเสียงหัวเราะได้เสมอ
"เจ้าจะไปบริษัทกับป๊ามั้ย"
"ไว้วันหลังนะคะ เจ้าขอศึกษาเอกสารที่บ้านก่อน"
"แต่น้องข้าวอยากไปเล่นบริษัทกับคุณตาปะป๊าค่ะ"
"ไม่อยากอยู่กับมี๊เหรอคะ"
เจ้าสาวก้มลงถามลูกน้อยพร้อมกับที่ยกมือขึ้นหยิบเม็ดข้าวออกจากปากให้ลูกสาว กินไม่ระวังเลยเด็กน้อยคนเก่งของเธอ
"น้องข้าวเบื๊ออออออเบื่ออยู่บ้านค่ะมี๊"
"เบื่ออะไรกันคะ เพิ่งกลับมาได้อาทิตย์เดียวเองนะ"
"ให้น้องข้าวไปกับป๊าเถอะ"
เจ้าสาวพยักหน้าเห็นด้วย น้องข้าวจ้าวไปที่บริษัทบ่อยจนชินแล้ว ย้อนกลับไปในอดีตทุกครั้งที่เธอพาลูกสาวกลับมาเมืองไทย น้องข้าวจ้าวก็จะขอไปเล่นที่บริษัทบ่อย ๆ จนสนิทกับพนักงานหลายคนแล้ว
"เมื่อไหร่ปะปี๊จะมาคะ"
คนเป็นแม่ตกใจเมื่อลูกสาวโพล่งขึ้นมากลางโต๊ะอาหารที่มีป๊ากับม๊าเธอนั่งอยู่ด้วย หลังจากวันนั้นที่สนามบินน้องข้าวก็ไม่เคยพูดคำนี้อีก จนมาถึงเมื่อครู่นี้
"หืม ปะปี๊เหรอคะ"
คุณรัศมีถามหลานสาว เธอและสามีไม่เคยเอ่ยปากถามหาพ่อเด็กเลยตั้งแต่เจ้าสาวตั้งครรภ์ เหตุก็เพราะว่าเธอแอบไปได้ยินเสียงร้องไห้ปานจะขาดใจของลูกสาวนั่นเอง จึงไม่คิดจะเซ้าซี้ถามต่อ หากเจ้าสาวพร้อมคงจะเป็นฝ่ายบอกเอง
"ปะปี๊ไปทำงานค่ะ บอกว่าจะกลับแต่ไม่กลับสักที"
เจ้าสาวไม่รู้ว่าต้องตอบลูกสาวอย่างไร จึงได้แต่ส่งสายตาไปมองป๊าและม๊าสลับกัน
"ตาว่าเดี๋ยวคงกลับค่ะ หนูอยู่กับมี๊ไม่สนุกเหรอคะ"
"สนุกค่ะคุณตาปะป๊า แต่ว่าน้องข้าวอยากอยู่กับปะปี๊บ้าง ปะปี๊เอาแต่ทำงานไม่มาอยู่กับน้องข้าวเลย"
ยิ่งเห็นสีหน้าสลดของลูกสาวเจ้าสาวก็ยิ่งอยากร้องไห้
"อืมมมม เดี๋ยวตาเร่งปะปี๊ของน้องข้าวให้กลับมาเร็ว ๆ ดีมั้ยคะ"
"ดีค่ะคุณตาปะป๊า"
เด็กน้อยยิ้มกว้างแล้วกระโดดลงจากเก้าอี้วิ่งไปหาผู้เป็นตาแล้วกอดไว้แน่น ด้วยความรักใคร่ล้นใจเจ้าสัวธงชัยก็กอดหลานรักไว้แน่นเช่นกัน หากเจ้าสาวยังบอกทุกคนไม่ได้เรื่องพ่อของเด็ก คงต้องรอให้น้องข้าวโตกว่านี้ค่อยบอกความจริงที่แสนจะเจ็บปวดให้หลานรักได้รับรู้
เจ้าสัวโกรธไม่น้อยตอนรู้ความจริง แต่จะทำอย่างไรได้ในเมื่อเจ้าสาวไม่ยอมบอก และนี่ก็คือลูกสาวและหลานของเขา จะให้ตัดหางปล่อยวัดเห็นทีจะไม่ได้ ท่านเลี้ยงเจ้าสาวมาอย่างดี ประคบประหงมทุกอย่างยุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม ไม่ใช่ว่าเข้าข้างลูกสาวหรือรู้จักนิสัยของลูกดี แต่ท่านเชื่อว่าคนอย่างเจ้าสาวไม่มีทางปล่อยเนื้อปล่อยตัว ทำตัวเหลวแหลกจนท้องไม่มีพ่อแน่นอน
มันต้องมีอะไรที่ผิดพลาดสักอย่าง คงได้แต่รอให้เจ้าสาวปริปากบอก ว่าไอ้หน้าตัวเมียคนนั้นมันเป็นใคร และถ้าเจอเจ้าสัวเตรียมพร้อมอยู่แล้วที่จะต่อยหน้าผู้ชายคนนั้นสักครั้ง
"นายจะไปไหนเต๋า"
เวลาสิบโมงกว่าๆ ที่เลขาคนสนิททำท่าว่าจะเตรียมตัวเดินทางไปไหนสักที่ วันนี้มีงานที่ไหนทำไมเต๋าไม่ยอมบอกเขาล่ะ
"บริษัทเจ้าสัวครับ"
"ตอนนี้ชั้นต้องทำอะไรมั้ย"
"มีคุยกับลูกค้าตอนบ่ายสองครับ"
เลขาหนุ่มค้อมหัวให้แล้วบอกตารางงานที่เขาจำได้ขึ้นใจให้เจ้านายรับรู้
"ไปด้วยสิ อยากไปสำรวจบริษัทหุ้นส่วนสักหน่อย"
"ครับ"
ปราบเซียนลุกขึ้นจากเก้าอี้หนังบุนวมราคาหลายแสนที่เขาใช้นั่งทำงานเป็นประจำ ติดกระดุมชุดสูทสีเขียวเข้มหนึ่งเม็ดแล้วออกเดินนำหน้าลูกน้องไป
ไหน ๆ ก็จะได้รับข่าวดีแล้ว ข่าวดีที่ว่าอีกไม่กี่วันหุ้นอีกสองเปอร์เซ็นต์ที่เขาให้เต๋าตามตื๊ออยู่เจ้าของของมันจะขายให้เขา หากว่าราคาเป็นไปตามที่เจ้าของหุ้นพอใจ แน่นอนว่าปราบเซียนยินดีจ่ายเพราะมันคุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้ม
บริษัทพ่อตาที่มีลูกเขยอย่างเขาเป็นคนถือหุ้นรายใหญ่ และจะได้เข้าไปบริหารกิจการเครื่องดื่มแอลกอฮอล์รายใหญ่รายเดียวในประเทศไทยอย่างเต็มตัว แค่คิดก็น่าสนุกแล้ว
เพียงก้าวแรกที่เดินเข้ามาในสำนักงานใหญ่ของบริษัทที่กำลังจะเป็นของเขาในไม่ช้าปราบเซียนก็เป็นต้องยิ้มแก้มปริ เพราะตรงนั้น ตรงโต๊ะประชาสัมพันธ์มีเด็กหญิงตัวเล็กที่กำลังจะทำให้ชีวิตเขาเปลี่ยนไปตลอดกาลนั่งเล่นตุ๊กตาอยู่บนพื้น โดยที่มีเสื่อนุ่มๆ รองรับร่างนุ่มนิ่มไว้อีกที
ปราบเซียนไม่คิดไม่ฝันว่าการที่นี่ในวันนี้จะพบเจอกับคนที่เขาเฝ้าคิดถึงมาหลายวัน
"เต๋า"
"ครับ"
"ช่วยไปหยิบ 'ของ' ในรถให้หน่อยสิ"
ลูกน้องอมยิ้มเมื่อมองตามสายตาผู้เป็นนายแล้วเจอเข้ากับเด็กผู้หญิงในวันนั้น และเขาเองก็เพิ่งรู้เมื่อไม่นานมานี้ว่าเธอคือบุตรสาวของเจ้านายที่เกิดจากความพลาดพลั้งในอดีต
"เล่นด้วยได้มั้ยคะ"
เด็กหญิงตัวน้อยเงยหน้าจากการเปลี่ยนชุดให้เจ้าตุ๊กตาตัวโปรดมามองคนมาใหม่ รอยยิ้มปรากฏให้เห็นเต็มใบหน้าเล็ก ข้าวจ้าวทิ้งตุ๊กตาตัวนั้น ยืนขึ้น แล้วโถมตัวเข้าหาคนที่นั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าจนปราบเซียนเซไปเล็กน้อย
"ปะปี๊!"
เด็กน้อยอุทานด้วยความดีใจ ความอบอุ่นที่ได้สัมผัสทำเอาปราบเซียนน้ำตาซึม อยากจะก่นด่าและทำลายทุกอย่างที่ทำให้เขาและลูกเจอกันช้าไป ทั้งอยากโกรธ และอยากขอโทษที่เขาไม่ได้มีช่วงเวลาดี ๆ กับลูกสาวเลยตั้งสี่ปี ไม่ได้ดูแลตอนผู้หญิงคนนั้นตั้งท้องตั้งเกือบปี รวมแล้วก็ห้าปีที่เขาพลาดโอกาสที่จะได้ดูแลลูกน้อยไปอย่างน่าเสียดาย
"ปะปี๊กลับมาแล้ว"
"ไหนใครฝากซื้อเจ้าหญิงน้า"
รับของมาจากมือลูกน้องแล้วคลายอ้อมกอดที่แสนอบอุ่นออกอย่างน่าเสียดาย ชูตุ๊กตาเจ้าหญิงที่ยืนยิ้มอยู่ในกล่องพลาสติกสีหวานให้เด็กน้อยดู
"ว้าวววววว"
เด็กน้อยร้องเสียงหลงด้วยความดีใจ รับตุ๊กตาจากมือของปราบเซียนไปกอดไว้ โดยที่ไม่ลืมไหว้ขอบคุณตามที่หม่ามี๊คอยพร่ำสอนเสมอ
"ขอบคุณค่ะปะปี๊"
ริมฝีปากจิ้มลิ้มที่แย้มยิ้มและเจื้อยแจ้วเมื่อครู่ประทับลงตรงแก้มนุ่มของคนอายุมากกว่าโดยที่ปราบเซียนไม่ทันได้ตั้งตัว ความอบอุ่นทาทาบไปถึงขั้วหัวใจจนปราบเซียนตัวชาวาบ
"ปะปี๊จะมาอยู่กับน้องข้าวรึยังคะ"
อยากจะอุ้มกลับไปอยู่ด้วยใจจะขาด น่ารักแบบนี้แม่เขาต้องชอบมากแน่ ๆ รู้เลยว่าจะสปอยล์หลานขนาดไหน เพราะคนเป็นแม่ชอบบ่นว่าอยากให้เขามีลูกอยู่เรื่อยเลย หากบอกไปว่ามีแล้วและตอนนี้อายุประมาณสี่ขวบก็เกรงว่าแม่เขาจะเป็นลมเป็นแล้งไปเสียก่อน
เอาเป็นว่าค่อยเป็นค่อยไป และไม่เกินหนึ่งอาทิตย์แน่นอน ลูกสาวของเขาจะได้ไปอยู่ที่บ้านอย่างถาวร
"ปะปี๊ขอทำงานก่อนนะคะเด็กดี อาทิตย์หน้าหนูค่อยไปอยู่กับปะปี๊ดีมั้ย เดี๋ยวจะทำห้องนอนเจ้าหญิงไว้ต้อนรับ"
"เย้"
เด็กน้อยดีใจและลุกขึ้นกระโดดโลดเต้นไปมาไม่สนใจตุ๊กตาในมือที่ร่วงหล่นลงสู่พื้นเลยสักนิดเดียว สร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะให้แก่ผู้ที่พบเห็นได้ไม่น้อยทีเดียว
สมองอันชาญฉลาดของเขาประมวลผลอย่างรวดเร็ว นึกออกแล้วล่ะว่าจะพาลูกสาวสุดที่รักไปอยู่ด้วยโดยวิธีไหน และแน่นอนว่าวิธีนี้จะพ่วงแม่ของเด็กไปด้วยแน่นอน
ฉลาดหลักแหลมไม่มีใครเทียบเท่าจริง ๆ เลยปราบเซียน
"น้องข้าว"
เสียงหวานที่เรียกจากทางด้านหลังทำเอาปราบเซียนลมหายใจสะดุด เด็กหญิงตัวน้อยหยุดเต้นแล้วเดินเข้ามาโอบกอดเขาไว้อีกครั้งคล้ายกับว่าไม่อยากจากไปไหน
"ได้เวลาทานข้าวแล้วค่ะ ท่านประทานเรียกแล้ว"
ปราบเซียนถอนหายใจหนักหน่วง นึกไว้ว่าคงเป็นแม่ของหนูน้อยแน่นอน แต่ดีที่ไม่ใช่ เพราะเขายังไม่ทันได้เตรียมใจจะพบเจอเธอเลยยังไงล่ะ ปราบเซียนถึงได้เสียวสันหลัง
แต่ก็ยังการันตีไม่ได้ว่าถ้าเจอแล้วเธอจะยังจำเขาได้รึเปล่า แต่เขาน่ะจดจำเธอได้ขึ้นใจเลย
"ปะปี๊ตั้งใจทำงานนะคะ แล้วรีบกลับมาหาน้องข้าวเร็วๆ ด้วย"
ปราบเซียนพยักหน้าหงึกหงัก น้องข้าวจ้าวคงถูกหลอกล่อด้วยประโยคที่ว่า 'คุณพ่อไปทำงาน ยังไม่กลับ' อยู่เป็นประจำจนชินสินะถึงได้ดูไม่ค่อยอาลัยอาวรณ์เขาอย่างที่ควรจะเป็น หรืออาจเป็นเพราะเราทั้งคู่เพิ่งได้พบเจอกันความผูกพันจึงยังมีไม่มากพอ
ก่อนจากเด็กน้อยยังโน้มคอเขาลงมาจุ๊บอีกครั้ง ปราบเซียนนั่งนิ่งราวกับรูปปั้นอยู่แบบนั้น จนคนที่มาเรียกเก็บข้าวของที่น้องข้าวจ้าวเล่นเมื่อครู่ไปจนหมด จนเลขาได้เรียกสติเขากลับคืนมาด้วยการแตะไหล่เบา ๆ ปราบเซียนถึงได้หลุดจากภวังค์
รออีกนิด ไม่นานเราต้องได้อยู่ด้วยกันแน่ลูกรัก
"ปราบเซียน ชิณวรรณ"
เจ้าสาวเปรยกับตัวเองเบา ๆ เมื่อเห็นความผิดปกติบางอย่าง อาทิตย์ที่แล้วเขาซื้อหุ้นไปได้ถึง 49% เพียงเวลาแค่สามวัน ซึ่งนั่นแปลว่าตอนนี้เขาถือหุ้นเป็นรองป๊าเธออยู่แค่ 1% เพราะหุ้นของป๊าเธอมีทั้งหมดที่รวมของเธอและของหม่าม๊าเข้าไปแล้ว 50% เท่านั้นเอง และเหมือนเจ้าสาวจะเห็นความผิดปกติเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งอย่าง หุ้นอีก 2% กำลังจะถูกขายทอดตลาด
หากไม่มีอะไรผิดพลาด เขาคนนี้ต้องซื้อไปเป็นแน่ คำถามต่อมาคือเขาเป็นใคร และต้องการอะไร แล้วเกิดการซื้อหายหุ้นมากมายขนาดนี้ไม่มีใครรับรู้เลยหรืออย่างไร
"คุณต้องการอะไรกันแน่"
เจ้าสาวหน้านิ่วคิ้วขมวด บริษัทที่ป๊าเธอลงทุนลงแรงมากับมือกำลังจะถูกคนที่ไหนไม่รู้มาชุบมือเปิบในช่วงขาลงเอาไปงั้นหรือ ครอบครัวเธอคงกำลังถึงขั้นวิกฤตจริง ๆ แล้วสินะ
และเจ้าสาวควรมีแผนสำรองไว้เตรียมรับมือกับการถูกฟ้องล้มละลายไว้ให้ดี หากคนคนนี้คิดจะเล่นตุกติก เพราะดูจากเจตนาที่กว้านซื้อหุ้นไปมากมายขนาดนี้เขาคงไม่ได้มาดีเป็นแน่
"คุณไชโยยอมขายหุ้นแล้วครับ 85 ล้านบาท"
"หึ หุ้นสองเปอร์เซ็นต์ราคาเกือบร้อยล้าน คุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้ม"
"คุณปราบเซียนจะทำยังไงต่อครับ"
ปราบเซียนยกแก้วไวน์ขึ้นจิบ สายตาแน่วแน่มองตรงออกไปดูความศิวิไลของแสงไฟในเมืองกรุงภายนอกคอนโดอย่างไร้จุดหมาย
"พาลูกมาอยู่บ้าน อ้อ...ถ้าเมียมาด้วยยิ่งดีใหญ่ แม่จะได้เลิกบ่นสักที แจ็คพอตเลยนะเต๋า มีเมียด้วยมีลูกด้วยแถมลูกยังโตแล้วอีกต่างหาก"