แม้ว่าเงินเดือนอาจจะไม่สูงมากนักหากเทียบกับที่อื่น แต่ถ้ามองถึงความสะดวกสบายอื่นๆ เช่น ใกล้บ้าน ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเดินทางหรือค่าเช่าที่พัก หักลบในส่วนของรายจ่าย นับว่ารายได้ที่เขาได้จากที่นี่ในทุกๆ เดือน ก็มากพอที่จะเก็บออมและใช้จ่ายแบบพอเพียงได้อย่างไม่ลำบากเลยทีเดียว
ธารนทีขับรถไปจอดยังที่จอดใต้ร่มไม้ใหญ่อันเป็นจุดที่จอดประจำของเขา ก่อนก้าวลงจากรถก็ไม่ลืมหยิบกระเป๋าเครื่องมือแพทย์อันเป็นเครื่องมือทำมาหากินประจำตัวลงมาด้วย
ร่างสูงเดินดุ่มๆ เข้าไปในส่วนของออฟฟิศ เอ่ยทักทายลุงยามที่เฝ้าอยู่หน้าประตู แล้วเดินเข้าไปข้างในยังโต๊ะทำงานของตน วันนี้เขามีรายงานที่ต้องเคลียร์ส่งเจ้าของไร่นิดหน่อย คงต้องทำให้เรียบร้อยก่อน แล้วค่อยออกไปที่ฟาร์มอีกที ที่นั่นมีน้องๆ หนูๆ ให้เขาดูแลเยอะทีเดียว
น้องๆ หนูๆ หึๆ คิดไปก็ยิ้มไป ขณะที่มือก็หยิบโน้ตบุ๊กออกมาเปิดเตรียมพร้อมทำงานไปด้วย
“ว่าไงปุ๊กกี้ วันนี้ถ่ายดีไหมเอ่ย”
ธารนทียกมือลูบหัวแม่วัวนมตัวโตที่ชะงักการกินหญ้าและเอาหัวดุนดันกับมือของเขาเป็นเชิงรับรู้ มันรักเขา ธารนทีคิดแบบนั้น เพราะเขาเป็นคนทำคลอดมันแล้วก็ช่วยคนที่นี่ดูแลและเลี้ยงมันมาตั้งแต่เล็กๆ ความผูกพันจึงแน่นแฟ้น แม้จะเป็นคนละประเภทสิ่งมีชีวิต ก็ไม่อาจขวางกั้นความรักได้
“มูมู่ มาหาพ่อเร็ว”
เอ่ยเรียกเจ้าลูกวัวตัวเล็กที่เป็นลูกของปุ๊กกี้อีกที คิดดูเถอะ เขาต้องทำคลอดให้ทั้งแม่ทั้งลูก และมันก็น่ารักมากด้วยเจ้ามูมู่นี่ เพราะพอเขาเรียก มันก็วิ่งเหยาะๆ มาหาทันที
เขาเคยคิดว่าชีวิตคงจะเหงาเมื่อกลับมาอยู่ที่บ้านเกิด แต่พอได้งานที่นี่ความคิดทุกอย่างก็เปลี่ยนไปหมด เขาไม่เคยเหงาอีกเลยเมื่อมีสิงสาราสัตว์ในไร่มากมายให้ต้องดูแล
แม้ว่าเจ้าของไร่ที่นี่จะใจดี อนุญาตให้เขาเข้ามาดูแลสัตว์ได้สัปดาห์ละสามถึงสี่ครั้ง แต่เพราะความรักที่มีต่อสัตว์เล็กสัตว์ใหญ่ จึงทำให้เขาเข้ามาที่นี่แทบทุกวัน แม้จะไม่มีสัตว์ตัวไหนป่วย แต่เขาก็มีความสุขทุกครั้งที่ได้มายืนมองพวกมันและเล็มกินหญ้า
ใครจะเชื่อว่าผู้ชายหน้าตาธรรมดาอย่างเขาจะอ่อนโยนได้ขนาดนี้ แต่มันก็คือความจริง
ธารนทีอมยิ้ม เมื่อเห็นเจ้ามูมู่สะบัดหางไปมาแรงๆ ด้วยความรำคาญแมลงที่ไต่ตอมตามตัวไม่หยุด ขณะที่ยัยปุ๊กกี้คนเป็นแม่ด้วยวัยที่อาวุโสกว่าจึงเก็บอาการได้ดี ทำแค่เพียงสะบัดหางไปมาเบาๆ เพื่อไล่แมลงที่มาตอมตัวเองเท่านั้น
“คันเหรอมูมู่ มานี่เดี๋ยวพ่อช่วยเกาให้นะ”
เขาหยิบกิ่งไม้แห้งขึ้นมา ก่อนจะเดินเข้าไปหาเจ้าลูกวัวไฮเปอร์ พอมันเห็นเขาถือไม้มาใกล้ก็มองอย่างระแวง มันคงคิดว่าเขาจะลงโทษมันเรื่องอะไรในเมื่อไม่ได้ทำผิดเสียหน่อย
มันทำท่าเหมือนจะก้าวถอยหลังหนี ก่อนจะหยุดชะงักนิ่งเมื่อเขายื่นไม้มาใกล้แล้วขูดๆ ขีดๆ ไปตามลำตัวของมัน ประหนึ่งเหมือนไม้ช่วยเกา มันคงรู้สึกดีมากถึงขนาดหลับตาพริ้ม ก่อนจะทรุดกายลงนอนแผ่ไปกับพื้น
บางจังหวะก็มองเขาตาปริบๆ ในยามที่เขาหยุดไม้ ราวกับจะบอกว่า เกาต่อเถอะนะกำลังฟิน อารมณ์ประมาณนั้นเลย
แสงตะวันค่อยๆ อ่อนแรงลง พร้อมๆ กับที่ภารกิจวันนี้ของเขาเสร็จสิ้น รถคันเดิมพาเขากลับมายังบ้านหลังน้อยที่มีแต่ความรักและความอบอุ่น ก่อนจะนิ่วหน้าด้วยความสงสัย เมื่อเห็นมารดาออกมายืนรอรับที่หน้าบ้านด้วยสีหน้าท่าทางร้อนรน
“มาแล้วเหรอลูก” นางสุดาเอ่ยทักทันทีที่เขาลงจากรถและเดินตรงดิ่งมาหา
“มีอะไรเหรอครับแม่ ทำไมแม่หน้าตาดูไม่สบายใจเลย” ผู้เป็นลูกชายถามด้วยความเป็นห่วง
“เข้าบ้านก่อนเถอะลูก จะได้คุยกัน”
ชายหนุ่มหันหลังกลับไปฉวยเอาถุงผลไม้ที่ซื้อติดมือกลับบ้านจากเบาะหลังของรถ ก่อนจะรีบเดินตามมารดาเข้าไปในบ้านด้วยความกังวล
“น้ำจะกินข้าวเลยมั้ยลูก หรือจะอาบน้ำก่อน แม่ทำกับข้าวไว้รอแล้ว”
“แม่ครับ น้ำอยากรู้ว่าแม่มีอะไรจะคุยกับน้ำ เห็นแม่ไม่สบายใจแล้วน้ำเป็นห่วง” เขาท้วงเสียงเรียบ เป็นการบอกให้รู้ไปในตัวว่าจะยังไม่กินข้าวหรืออาบน้ำตอนนี้
“ไม่ได้มีอะไรไม่ดีหรอกลูก แม่ก็แค่ไม่รู้ว่าจะตอบเขายังไง”
“มันเรื่องอะไรกันแน่ครับ แล้วต้องตอบอะไรใครกัน” ใบหน้าหล่อเหลางงงวยกับสิ่งที่ได้ยิน
“น้ำจำบ้านที่คุณยายเคยไปทำงานเป็นแม่บ้านให้เขาได้ไหมลูก”
ธารนทีครุ่นคิดตามไปด้วย ภาพความทรงจำจางๆ ไหลเข้ามาในหัว บ้านหลังใหญ่ในเมืองกรุงกับเด็กหนุ่มหล่อผู้เป็นลูกชายของเจ้าของบ้านที่อายุมากกว่าเขาสิบหกปี ที่เคยพาเขาไปวิ่งเล่นด้วยกันรอบๆ สนามหญ้าหน้าบ้านสีเขียว ผุดขึ้นมาในความคิด
“บ้านของคุณนนท์น่ะเหรอครับ”
“ใช่จ้ะ ตอนนี้ลูกคุณนนท์โตแล้วนะ เห็นว่าเพิ่งจบมัธยมปลายทั้งสองคนเลย”
“โห ไวจังเลยนะครับ เหมือนก่อนหน้านี้แม่เพิ่งเล่าให้น้ำฟังเอง ว่าคุณนนท์มีลูกสาวแล้วสองคน” ธารนทียิ้มให้มารดาเมื่อนึกถึงเรื่องราวของเจ้านายของคุณยาย
คุณยายของเขาไปทำงานในกรุงเทพฯ ตั้งแต่ยังสาว ได้งานเป็นแม่บ้านของเศรษฐีซึ่งก็คือคุณปู่และคุณย่าของคุณนนท์ พอพ่อของคุณนนท์แต่งงานก็เป็นช่วงจังหวะที่ยายขอกลับมาเยี่ยมบ้าน และตอนนั้นยายเขาและคุณตายังเป็นแฟนกันอยู่ พอมีจังหวะที่ยายกลับมาเยี่ยมบ้านพอดี ตาจึงให้พ่อแม่มาสู่ขอและผูกข้อไม้ข้อมือก่อนจะจดทะเบียนกัน
หลังแต่งงานคุณยายตั้งใจว่าจะขอลาออกจากงานแม่บ้านอย่างถาวรจากเดิมที่ลากลับมาเพียงสองสัปดาห์ เพื่อสร้างครอบครัวกับคุณตา แต่ทางบ้านเจ้านายกลับขอให้ไปช่วยดูแลบ้านให้อีกสักระยะ เพราะตอนนี้ยังหาแม่ครัวและคนดูแลบ้านคนใหม่ไม่ได้ และก็ไม่อยากได้คนอื่น แถมพวกเขายังยื่นข้อเสนอขอให้คุณตาไปช่วยงานทำสวนด้วยก็ได้จะได้ไม่ต้องห่างกัน นั่นเลยทำให้คุณยายไม่สามารถลาออกจากงานนั้นได้อย่างที่ใจคิด
กระทั่งคุณยายคลอดแม่เขา และแม่เขาก็อยู่กับคุณตาคุณยายที่บ้านหลังนั้นจนเกือบหกขวบ คุณตาจึงขอพาแม่เขากลับมาอยู่ที่บ้านเกิดที่สระบุรี โดยที่คุณยายไม่สามารถลาออกได้อีกแล้ว เพราะภรรยาของคุณพ่อคุณนนท์ตั้งครรภ์พอดี พวกเขาอยากให้คุณยายช่วยเป็นพี่เลี้ยงกึ่งๆ แม่นมให้ลูกหรือก็คือคุณนนท์ที่กำลังจะเกิดมา
คุณตาจึงตกลงกับคุณยายว่าจะไปมาหาสู่กันทุกสัปดาห์ จากนั้นเก้าเดือนให้หลังคุณแม่ของคุณนนท์ก็คลอดคุณนนท์พอดี หลังจากนั้นคุณยายก็อยู่ที่นั่นยาว โดยที่คุณตาและแม่ก็ไปเยี่ยมสม่ำเสมอไม่ได้ขาด
กระทั่งแม่เขาแต่งงานตอนอายุประมาณยี่สิบ และมีเขา อีกทั้งคุณตาก็แก่แล้ว เดินทางลำบากจึงไม่ได้ไปหาคุณยายที่กรุงเทพฯ บ่อยๆ เหมือนเคย ทางบ้านของคุณพ่อคุณนนท์ก็เห็นใจ จึงยอมให้คุณยายลาออกมาพักอยู่ที่บ้านกับครอบครัวได้ โดยที่พวกเขาก็เป็นฝ่ายขับรถมาเยี่ยมเยียนตลอดมิได้ขาด เพราะคุณนนท์ที่ติดคุณยายเขาตั้งแต่เด็กจนโต ก็คอยแต่จะร้องหาคุณยายตลอด
กลายเป็นว่าสองครอบครัวเลยสนิทสนมกัน เป็นมากกว่าเจ้านายและลูกจ้าง ทั้งเงินทองค่าจ้างค่าแรงที่บ้านเจ้านายให้ ก็มากพอที่คนมัธยัสถ์อย่างคุณตาและคุณยายสามารถเก็บหอมรอมริบได้ ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของครอบครัวดีขึ้นตามลำดับ
จนกระทั่งพักหลังๆ นี่เองที่พวกเขาไม่ได้มาอีกแล้ว ด้วยคุณนนท์ก็โตขึ้น และคงเพราะภารกิจของชีวิตที่ต้องดำเนินกันต่อไป กระนั้นก็มีโทรศัพท์ถามข่าวคราวกันบ้างนานๆ ที
“ทางคุณนนท์อยากขอความช่วยเหลือให้ลูกสาวคนเล็กของเขามาอยู่ฝึกงานกับน้ำที่นี่น่ะลูก เขาบอกว่าลูกเขาทั้งดื้อทั้งรั้นบอกอะไรไม่ฟังก็เลยอยากจะดัดนิสัย ลองให้มาอยู่อย่างลำบากดูบ้าง จะได้คิดเป็นเสียที เห็นเขาว่าอย่างนี้นะ น้ำจะว่ายังไงล่ะลูก แล้วที่ไร่ของน้ำเขาจะรับเด็กจบมัธยมไปทำงานได้ด้วยเหรอ”
เสียงพูดยาวเหยียดของแม่ยังดังอยู่ในหูเขา ไม่อยากเชื่อว่าคนเป็นพ่อจะคิดส่งลูกสาวมาอยู่กับคนอื่น สงสัยจะดื้อจนเกินเลี้ยงกระมัง ถึงได้อยากส่งดวงใจตัวเองมาเผชิญกับความลำบาก
ถึงแม้เขาจะไม่ได้สนิทหรือคุ้นเคยกับคุณนนท์มากนัก แต่ก็เคยได้เจอกับบ้างตอนที่เขาเป็นเด็กๆ และในเมื่ออีกฝ่ายกล้าโทรมาขอความช่วยเหลือ หากเขาปฏิเสธก็คงจะดูแล้งน้ำใจมาก
ในเมื่ออีกฝ่ายกล้าไว้ใจ เขาก็จะรับความไว้ใจนั้นไว้ก็แล้วกัน…